พิเศษ
และ ประธาน เจเนอรัล มอเตอร์ส เอเชีย แปซิฟิค
จีเอม ผู้ผลิตรถยนต์ ยักษ์ใหญ่ เตรียมพลิกสถานการณ์ กลับมาผงาดในตลาดโลกอีกครั้ง เรามีโอกาสสัมภาษณ์ นิค ไรล์ลี ซึ่งมาเยือนประเทศไทย เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ฟอร์มูลา : ผลการดำเนินงานของ จีเอม ทั่วโลกในปีที่แล้วเป็นอย่างไร ?
ไรล์ลี : ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาการดำเนินงานของบริษัท ฯ ในอเมริกาเหนือขาดทุนนับพันล้านเหรียญสหรัฐ จากค่าใช้จ่ายเรื่องสวัสดิการการดูแลสุขภาพ และเงินบำนาญของพนักงานกว่าล้านคนที่เกษียณอายุ ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จำนวนค่าใช้จ่ายเหล่านั้น รวมแล้วเท่ากับเป็นค่าที่เพิ่มขึ้นถึงกว่า 1,000 เหรียญสหรัฐต่อราคารถ 1 คัน ในขณะที่คู่แข่ง โดยเฉพาะผู้ผลิตที่เพิ่งเข้ามาทำตลาดในสหรัฐ ไม่มีค่าใช้จ่ายสะสมเหล่านี้ และแม้บริษัทจะมีปัญหาในอเมริกาเหนือ แต่สถานะการเงินยังแข็งแกร่งอยู่ และไม่ได้ลดการลงทุนในผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเฉพาะการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในภูมิภาคเอเชีย
ที่ผ่านมา ได้ประกาศปิดโรงงานต่างๆ ในสหรัฐ ฯ และลดจำนวนพนักงานลงกว่า 35,000 คน ผลประกอบการล่าสุดเริ่มดีขึ้น แม้ไม่ได้กำไร แต่ยังอยู่ในระดับคุ้มทุน และเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน ธุรกิจภาคอื่นๆ ที่เหลือของ จีเอม ทั่วโลก กำลังดำเนินการไปได้ดีมาก อย่างไรก็ตาม ยังต้องวางแผนเพื่อการเติบโตต่อไป โดยเฉพาะการพัฒนาธุรกิจในอเมริกาเหนือจากที่คุ้มทุน ให้อยู่ในระดับคงที่ และสามารถทำกำไรได้ในระยะยาว
แม้ไตรมาสแรก ยอดขายรถยนต์ทั่วโลกของ จีเอม จะน้อยกว่า โตโยตา เป็นเพราะการวางแผนงานของบริษัท ฯ ที่ลดยอดขายรถยนต์แก่บริษัทเช่ารถในสหรัฐ ฯ ลง ส่งผลให้ยอดขายรวมตกลง แต่ยังสามารถทำยอดขายแก่ลูกค้าที่ซื้อปลีกในสหรัฐอเมริกา และภูมิภาคอเมริกาเหนือได้มากขึ้น
นอกจากนี้ ไตรมาสแรกของปี 2550 จีเอม สามารถทำยอดขายได้เป็นประวัติการณ์ มียอดจำหน่ายสะสมในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิคเพิ่มขึ้น 20 % สร้างผลกำไรเพิ่มจาก 90 ล้านเหรียญสหรัฐในปีที่ผ่านมา เป็น 150 ล้านเหรียญสหรัฐ และเพิ่มขึ้น 17 % ในละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง ส่วนยุโรปเพิ่มขึ้น 6 % ส่งผลให้ยอดจำหน่ายสะสมทั่วโลกเพิ่มขึ้น
ฟอร์มูลา : มีการวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีใหม่อย่างไร ?
ไรล์ลี : ปีที่ผ่านมา ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 29 รุ่นในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค ขณะนี้ กำลังก่อสร้างโรงงานใหม่ ในภูมิภาคเอเชีย ด้านเทคโนโลยี ได้ลงทุนพัฒนาระบบพลังงานทางเลือก ซึ่ง จีเอม เป็นผู้นำด้านการใช้พลังงานชีวภาพในอเมริกาเหนือและอื่นๆ เช่น บราซิล รวมทั้งเทคโนโลยีด้านฟิวเอลเซลล์ส์ (FUEL CELLS) ที่ให้กำเนิดพลังงานไฟฟ้า นอกจากนี้ได้พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานแบบผสมผสาน ทั้งพลังงานชีวภาพและพลังงานระบบไฟฟ้า ซึ่งสามารถช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันได้อย่างมาก
ฟอร์มูลา : มองการเติบโตของธุรกิจในภูมิภาคเอเชียอย่างไร ?
ไรล์ลี : ธุรกิจของบริษัทในประเทศจีน อินเดีย และเกาหลี ซึ่งใช้ชื่อบริษัทว่า จีเอม แดวู แม้ยังไม่มีกำไรมาก แต่ก็มีอัตราการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด สำหรับ จีเอม ประเทศไทย นับเป็นส่วนสำคัญที่สร้างการเติบโตให้แก่ จีเอม และ จีเอม เอเชีย แปซิฟิค แม้ปัจจุบันไทยจะประสบภาวะการขาดเสถียรภาพทางการเมือง ความตกต่ำทางเศรษฐกิจ และการขาดความเชื่อมั่นของผู้บริโภค แต่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นในช่วงสั้นเท่านั้น ระยะยาว มองว่าไทยยังมีความแข็งแกร่ง และสามารถดึงดูดการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติได้ ซึ่งบริษัท ฯ จะยังไม่ปรับลดแผนการลงทุนในประเทศไทยและในภูมิภาคนี้ลง ล่าสุด ได้ลงทุนกว่า 6 ล้านดอลลาร์ (240,000 ล้านบาท) ในภูมิภาคนี้
ปีนี้ บริษัท ฯ มียอดผลิตรถยนต์ในภูมิภาคนี้ประมาณ 2 ล้านคัน มากกว่า 20 % ของการผลิตทั้งหมดของ จีเอม ทั่วโลก ซึ่งบางส่วนส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศนอกภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค เมื่อมองย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้ว บริษัท ฯ มียอดจำหน่ายรถในภูมิภาคนี้เพียง 2 แสนคันเท่านั้น
ยอดจำหน่ายรถยนต์รวมปีนี้น่าจะมีประมาณ 700,000 คัน หรือน้อยกว่านั้น และคาดว่าปี 2553 การเติบโตจะเพิ่มเป็น 800,000-900,000 คัน เปรียบเทียบกับประเทศจีน ซึ่งปัจจุบันมียอดจำหน่ายรถยนต์รวมประมาณ 8 ล้านคัน คาดว่าปี 2553 ยอดจำหน่ายจะมากกว่า 10-11 ล้านคัน ส่วนตลาดอินเดีย มียอดจำหน่ายเริ่มต้นที่ 2 ล้านคัน คาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น 10-15 % ในช่วง 2-3 ปี โดยบริษัทตั้งเป้าการเติบโตของส่วนแบ่งการตลาดในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น จาก 2 % ในช่วง 5-6 ปีที่แล้ว เป็น 7 % และพยายามจะเพิ่มให้สูงกว่านี้อีก มองว่าประเทศที่มีศักยภาพมากที่สุดในภูมิภาคนี้ คือ จีน อินเดีย อยู่ในอันดับ 2 ประเทศในอาเซียนโดยรวมเป็นอันดับ 3 และเกาหลี อยู่ในอันดับ 4
ฟอร์มูลา : วางแผนงานการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างไร ?
ไรล์ลี : ประเทศไทยเป็นตลาดที่สำคัญมากสำหรับ จีเอม และคาดว่าจะเติบโตได้อย่างมากในอนาคต ซึ่ง จีเอม มีเครือข่ายดีเลอร์ที่แข็งแกร่งในประเทศไทย ซึ่งบริษัท ฯ ยังมุ่งพัฒนาในด้านนี้ต่อไป
งานมอเตอร์ โชว์ ที่ผ่านมา ได้เปิดตัวรถรุ่นใหม่ เชฟโรเลต์ แคพทีวา ซึ่งรถรุ่นดังกล่าวมียอดจองเป็นอันดับ 3 ในงาน และภายในปีนี้ บริษัท ฯ จะเปิดตัวรถรุ่นใหม่อีก เช่น เชฟโรเลต์ ออพทรา/โคโรลาโด ที่ปรับโฉมใหม่
ฟอร์มูลา : จากการที่ ริค แวกอเนอร์ ประธานกรรมการบริหาร เจเนอรัล มอเตอร์ส คอร์พอเรชัน สหรัฐอเมริกา ได้ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อ 2 ปีที่แล้วว่า เป็นไปไม่ได้ที่ โตโยตา จะมียอดจำหน่ายแซงขึ้นเป็นอันดับ 1 โดยพูดว่า "จีเอม เป็นผู้นำ โตโยตา มากว่า 73 ปีติดต่อกัน และจะยังเป็นผู้นำต่อไปเมื่อปี 2550 สิ้นสุดลง" คุณมีความคิดเห็นอย่างไร ?
ไรล์ลี : ผมจำไม่ได้ว่าเขาพูดเรื่องนี้ แน่นอนว่า จีเอม อยากเป็นผู้นำ อยากเป็นที่ 1 แต่การดำเนินงานก็ต้องระวังเสถียรภาพความมั่นคงของบริษัท ฯ ด้วย ที่ผ่านมาบริษัท ฯ ประสบปัญหาในสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่วนหนึ่งของแผนการแก้ปัญหา คือ ลดยอดขายในสหรัฐอเมริกาลง ผมไม่รู้ว่าเมื่อครบปี 2550 บริษัท ฯ จะยังเป็นผู้นำอยู่ และไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ สิ่งสำคัญคือ ต้องการขยายธุรกิจให้เติบโตทั่วโลก บริษัท ฯ ต้องต่อสู้เพื่อยอดขาย และนับถือคู่แข่งที่เก่งมาก ถ้าปีนี้คู่แข่งขึ้นเป็นผู้นำ ในปีต่อไปบริษัท ฯ จะพยายามกลับขึ้นเป็นผู้นำอีกให้ได้
ฟอร์มูลา : แผนการขยายการลงทุนไปยังประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค เช่น จีน เวียดนาม มีผลกระทบต่อการลงทุนในประเทศไทยหรือไม่ ?
ไรล์ลี : การเติบโตในประเทศจีน อินเดีย และประเทศอื่นๆ สำคัญสำหรับ จีเอม มาก และจะไม่กระทบกับการลงทุนในไทย โดยจีนเป็นตลาดใหญ่อันดับ 2 ของโลก คาดว่าปีนี้จะมียอดจำหน่ายถึง 8 ล้านคัน อีก 10 ปีข้างหน้าคาดว่าจีนจะเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในโลกแทนที่สหรัฐอเมริกา แน่นอนว่า การเป็นตลาดใหญ่ ย่อมดึงดูดบริษัทใหญ่ๆ เกือบทั้งหมดให้ไปทำธุรกิจที่นั่น จีเอม สามารถรักษาอันดับ 1 ได้ในจีน เนื่องจากการทำงานอย่างหนัก
อย่างไรก็ตาม มองว่าในอนาคตการแข่งขันในประเทศจีนคงเป็นไปด้วยความลำบากมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตในจีน ทั้งบริษัทท้องถิ่น และบริษัทร่วมทุน ล้วนมีความแข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เมื่อผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น ย่อมทำให้ราคารถถูกลง ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาตลาดในจีนมีการแข่งขันด้านราคาสูงมาก และจะยังเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้จะเป็นการโอกาสที่ค่อนข้างยาก แต่ก็นับเป็นโอกาสใหญ่
ฟอร์มูลา : พอใจกับการเติบโตของธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิคในไตรมาสแรกหรือไม่ ?
ไรล์ลี : พอใจมาก แม้จะมีคู่แข่งที่แข็งแกร่งมาก ตลาดอื่นนอกเหนือจากประเทศไทยก็มีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วมากในขณะนี้ บางแห่งเติบโตเร็วกว่าตลาด การเพิ่มส่วนแบ่งในภูมิภาคนี้ให้สูงขึ้น จำเป็นต้องเพิ่มการเติบโตในหลายประเทศ ซึ่งขณะนี้ บริษัท ฯ ให้ความสำคัญกับการเพิ่มส่วนแบ่งในประเทศอินเดียให้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมองกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งเป็นแผนระยะยาว ส่วนแผนระยะสั้นจนถึงปี 2553 บริษัท ฯ หวังว่าประเทศไทยและประเทศในกลุ่มอาเซียนจะเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยให้บริษัท ฯ เติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดรถพิคอัพขนาด 1 ตัน
การเติบโตในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค ต้องแยกเป็นประเทศ ประเทศจีน น่าจะเติบโตถึง 9.5 ล้านคันในปี 2551 และอาจจะเติบโตเป็น 1 ล้านคัน/ปีในอนาคต ประเทศอินเดีย มีอัตราการเติบโตปีละ 15 % ส่วนในญี่ปุ่นตลาดค่อนข้างทรงตัว ตลาดในประเทศออสเตรเลียมีอัตราการเติบโตประมาณ 1 ล้านคัน/ปี และค่อนข้างจะอยู่ตัว โดยน่าจะมีอัตราการเติบโต 2-3 % ต่อปี
ตลาดในประเทศเกาหลีใต้ค่อนข้างอ่อนตัวในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา โดยมีอัตราการเติบโต 1.3 ล้านคัน และมีศักยภาพว่าจะเติบโตได้ 1.5-1.6 % ในปี 2551 ทั้งนี้ มองว่าตลาดในภูมิภาคอาเซียนในระยะยาวน่าจะมีอัตราการเติบโตที่ 7-8 % ยกเว้นในออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ซึ่ง จีเอม คาดว่า จะสามารถเติบโตจาก 6 % เป็น 12-15 % ทั่วภูมิภาค
ฟอร์มูลา : เหตุใด จีเอม จึงเน้นทำตลาดรถพลังงานทางเลือกในตลาดอื่น แทนที่จะเป็นตลาดเอเชียแปซิฟิค ตามที่ จีเอม เคยบอกว่าจะเป็นตลาดแห่งอนาคต ?
ไรล์ลี : การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ส่วนมากมักมาจากสหรัฐอเมริกา หรือยุโรป แต่ในกลุ่มประเทศเอเชียกลับมีความต้องการมากกว่า เนื่องจากความกังวลเรื่องราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทั้งปัญหาการนำเข้าน้ามันที่เพิ่มสูงขึ้นตามความต้องการใช้งาน การพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับพลังงานทางเลือก ค่อนข้างใช้เงินลงทุนสูง และมีราคาแพง ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตหลายราย ยังต้องการการทำวิจัยอีกมาก เพื่อให้ได้วัตถุดิบที่ถูกลง แม้ว่าประเทศในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค เริ่มตื่นตัวเรื่องการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การหันมาใช้พลังงานทางเลือก ไม่ได้เฉพาะผู้ผลิตเท่านั้นที่จะลงมือทำ ภาครัฐของแต่ละประเทศควรให้การสนับสนุนด้วยเช่นเดียวกัน เช่น การวางนโยบายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านพลังงานของแต่ละประเทศ
ฟอร์มูลา : บแรนด์ใดของ จีเอม ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและเอเชีย แปซิฟิค และมีแผนที่จะนำรถบแรนด์อื่นเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยหรือไม่ ?
ไรล์ลี : บแรนด์ที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค คือ เชฟโรเลต์ ซึ่งเป็นบแรนด์หลักของโลกในทุกๆ ด้าน ยกเว้นในประเทศออสเตรเลียซึ่งใช้บแรนด์ โฮลเดน นอกจากนี้ กำลังวางแผนที่จะแนะนำบแรนด์ใหม่ในกลุ่มประเทศเอเชีย คือ แคดิลแลค ซึ่งกำลังแนะนำใน จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน นอกจากนี้ยังมีรถเฉพาะกลุ่ม คือ ฮัมเมอร์ โดยบริษัท ฯ หาโอกาสที่จะนำมาจำหน่ายในเอเชียบางตลาด อย่างไรก็ตาม ยังคงให้ความสำคัญกับการทำตลาด เชฟโรเลต์
ฟอร์มูลา : คุณคาดการณ์ตลาดรถยนต์เมืองไทยในปัจจุบันและอนาคตอย่างไร ?
ไรล์ลี : ปีนี้ตลาดรถยนต์เมืองไทยน่าจะเติบโตลดลงอย่างเห็นได้ชัด มากกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมาจากการขาดความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เมื่อผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ความต้องการก็จะกลับมา และตลาดก็จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว คาดว่าน่าจะมียอดจำหน่าย 700,000-750,000 คัน หรือเติบโตประมาณ 5 % ต่อปี ส่วนแนวโน้มในระยะยาวยังดีอยู่
ฟอร์มูลา : มีโครงการนำรถเล็กเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยหรือไม่ ?
ไรล์ลี : จีเอม มีจุดยืนที่แข็งแกร่งสำหรับตลาดรถเล็กในยุโรป และเริ่มจำหน่ายได้มากขึ้นในสหรัฐอเมริกา ประเทศไทยมีรถพิคอัพเป็นตลาดใหญ่ แต่หากมองอีกด้านหนึ่งในขณะที่เศรษฐกิจเติบโตมากขึ้น ทางเลือกในตลาดก็จะมากขึ้น ตลาดรถยนต์ในเมืองไทยจะมีความหลากหลายมากขึ้น มองว่ามีโอกาสมากสำหรับการทำตลาดรถเล็กในประเทศไทย
เรื่องรถยนต์ประหยัดพลังงาน หรือ อีโคคาร์ บริษัท ฯ ให้ความสนใจมานานแล้ว ที่ผ่านมา ได้มีการพูดคุยกับรัฐบาลหลายครั้ง หลายรัฐบาล หากรัฐบาลต้องการผลักดันโครงการนี้ บริษัท ฯ ก็สามารถปฏิบัติตามนโยบายได้ อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นต้องการทราบแผนที่แน่นอนจากภาครัฐก่อน มองว่าหากมีข้อจูงใจด้านภาษี และผลิตรถที่มีราคาถูกพอควร ตลาดรถประเภทนี้น่าจะเติบโตต่อไปได้อย่างรวดเร็ว
ฟอร์มูลา : ในความคิดเห็นของคุณ เหตุใด โตโยตา จึงขึ้นแซงหน้า จีเอม ได้ในไตรมาสแรก ?
ไรล์ลี : มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งให้ โตโยตา เป็นผู้นำในไตรมาสแรกของปีนี้ คือ การบริหารงานของ จีเอม ที่ลดยอดจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา ที่บริษัท ฯ จำหน่ายให้แก่บริษัทเช่ารถลง คาดว่าจะลดลงประมาณ 100,000 คัน โตโยตา รวมทั้งค่ายรถบแรนด์อื่น จึงถือโอกาสนี้สร้างยอดจำหน่ายในตลาดรถเช่าให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัท ฯ มีความแข็งแกร่งในตลาดรถพิคอัพขนาดใหญ่ แต่เนื่องจากที่ผ่านมาผู้บริโภคหันไปใช้รถเก๋งและรถเล็กมากขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งในตลาดนี้ โตโยตา แข็งแกร่งมานานแล้ว ซึ่ง จีเอม เองก็พยายามทำตามความต้องการของตลาด
จีเอม เป็นอันดับ 1 ในทั้ง 11 ตลาดที่โตเร็วที่สุดในโลก เช่น จีน รัสเซีย บราซิล ซึ่งบริษัท ฯ แซงหน้า โตโยตา แม้ตอนนี้ตลาดเหล่านี้จะยังเล็ก แต่จะเติบโตอย่างรวดเร็วในอนาคต แม้บริษัท ฯ จะขาดทุนในสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ แต่บริษัท ฯ ก็มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดอื่นๆ แม้ไม่มากพอที่จะชดเชยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐ แต่ จีเอม ยังมีจุดยืนที่สามารถดำรงฐานะอยู่ได้
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : พิเศษ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/8918