ทั่วไป
แล้วต้นไม้ใหญ่ในป่าวรรณกรรมก็ต้องพายุสังขารจากไปอีกต้นหนึ่ง สำหรับข้าพเจ้าแล้วรู้สึกว่าไม้ต้นนี้เป็นไทรใหญ่ ที่ให้ความร่มเย็นแก่ฝูงนกกาได้อาศัย ได้คุณูปการจากไทรต้นนี้มากยากที่ใครจะพรรณนาได้ถ้วน และยากจะลืมเลือน
แล้วต้นไม้ใหญ่ในป่าวรรณกรรมก็ต้องพายุสังขารจากไปอีกต้นหนึ่ง สำหรับข้าพเจ้าแล้วรู้สึกว่าไม้ต้นนี้เป็นไทรใหญ่ ที่ให้ความร่มเย็นแก่ฝูงนกกาได้อาศัย ได้คุณูปการจากไทรต้นนี้มากยากที่ใครจะพรรณนาได้ถ้วน และยากจะลืมเลือน
ข้าพเจ้ารู้จักนามสุวัฒน์ วรดิลก จากปิยะมิตรรายสัปดาห์ที่เพื่อนร่วมชั้นมัธยมต้น แอบหอบหนังสือที่พี่สาวรักมาให้อ่าน กำชับว่าต้องรีบอ่านให้จบโดยเร็วก่อนที่พี่สาวจะกลับจากกรุงเทพ ฯ ห้ามทำขาด-ยับ-เปรอะเปื้อนให้ผิดสังเกต ถ้าพี่สาวจับได้เป็นไม่ได้อ่านอีกแน่นอน
ข้าพเจ้าเลยต้องอ่านจินตนิยาย เรื่อง "เปลวสุริยา"-"ราชินีบอด" โดยพยายามปิดแสงตะเกียงน้ำมันก๊าด มิให้หลวงพี่จับได้ว่าแอบอ่านหนังสืออ่านเล่น โดยไม่หลับไม่นอนเกือบตลอดคืน หลายคืนตะเกียงล้มไฟเกือบไหม้มุ้ง และคลอกตัว
ต่อมาเมื่ออยู่มัธยมปลาย พี่สาวของเพื่อนที่เป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดประชาชน ช่วยเป็นใจให้พวกเราได้อ่านก่อนใครๆ เวลาเดลิเมล์วันจันทร์ออก พอโรงเรียนเลิก พวกเราขาประจำจะรีบวิ่งไปให้ถึงห้องสมุดโดยเร็ว เพื่อใครจะได้ครอบครองเป็นคนนั่งในสุด ได้โอกาสอ่าน และเป็นผู้เปิดหนังสือ ส่วนคนที่ถึงช้า ก็ได้แต่ชะโงกหน้าอ่านตาม ใครอ่านช้าจะถูกเพื่อนๆ ที่อ่านจบก่อนเสียดสีว่าอ่านหนังสือเป็นเต่า ฉะนั้น ไม่ว่า "นางไพร" โดย สุวัฒน์ วรดิลก ภูตพิศวาส หรือ "ลูกทาส" โดย รพีพร และเรื่องเกี่ยวกับความลึกลับในป่าดงพงไพรโดย ไพร วิษณุ ในนิตยสารต่างๆ ต่อๆ มา รวมทั้ง "นางสาวโพระดก" ในสกุลไทย และอีกบางเรื่องในนิตยสารดวงดาว (ที่คุณสุวัฒน์เป็นที่ปรึกษาอยู่เบื้องหลัง และ สนธิกาญจน์ กาญจนาสน์ กับผู้เขียนไปควบคุมคอลัมน์กลอนอยู่ด้วย) จึงไม่พ้นการติดตามของเราในยุคนั้น
จนกระทั่งเมื่อผู้เขียนเกษียณอายุงาน (ตอนอายุ 55 ปี) จากบริษัทเชลล์แห่งประเทศไทยเมื่อปี 2533-2534 ตั้งใจจะไปทำงานในสมาคมนักเขียน เพื่อตอบแทนสังคมที่ทำให้ตนมีชื่อเสียงในวงวรรณศิลป์ คุณสุวัฒน์ ซึ่งตอนนั้น ต้องมารับเป็นนายกสมาคม ฯ (หลังจากอยู่เบื้องหลังในฐานะผู้หนึ่งที่ตั้ง "ชมรมนักเขียน 5 พฤษภา" (2511) มาด้วยกันกับผู้อาวุโสในวงการ) ได้ให้โอกาสผู้เขียนกับภรรยา ร่วมเดินทางไปในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักเขียนจีน (หลังจากที่มีผู้ถอนตัวกะทันหัน) เป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนได้ใกล้ชิด และรู้จักตัวตนของนักประพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ในสายตาตนมาแต่เด็ก รวมทั้งนิสัยใจคอที่ทำให้เราประทับใจจนเรียก "พี่อู๊ด" ด้วยความสนิทปากสนิทใจตราบจนวันนี้
การที่ได้เดินทางไปประชุมพบปะนักเขียนต่างจังหวัด ตามนโยบาย "นักเขียนสัญจร" ของนายกสมาคม ฯ สุวัฒน์ ทำให้ข้าพเจ้ากับคุณหญิงได้เปิดโลกทัศน์ในวงการนักเขียน ไม่ว่าขึ้นเขาลงห้วยแสนทุลักทุเลที่อีสาน หรือไปเปิดวงสักวา (เรื่องสามก๊กตอนขงเบ้งตกเบ็ด-ที่พี่อู๊ดเป็นคนแนะเค้าโครงให้) อย่างกะทันหันที่นครศรีธรรมราช ซึ่งต้องไปดึงเอาเพื่อนอาจารย์ (มะเนาะ-วันเนาว์ ยูเด็น และมรว. ประกายฉัตร สุขสวัสดิ์ จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (วิทยาเขตปัตตานี) และไปลากเอาอาจารย์บุญเสริม (รัตนธาดา) แก้วพรหม และสมใจ สมคิด นักกลอนเมืองนครศรีธรรมราชให้มาช่วยสร้างความสนุกสนานในโอกาสคล้ายวันเกิดของนายกสมาคม ฯ (14 กรกฎาคม) ปีหนึ่ง
จนรู้สึกว่า "พี่อู๊ด" จะไว้วางใจพอสมควร จนเรียกผู้เขียนเข้าไปร่วมพิจารณารางวัล "ศรีบูรพา" นับตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา (กองทุนเริ่มก่อตั้งประมาณปี 2530) และเมื่อพี่อู๊ดรวบรวมเงินให้พวกเราช่วยกันเก็บงำไว้ จากการจัดงานต่างๆ บ้าง ที่มีผู้รักใคร่มอบให้ไว้ในงานวันเกิดบ้าง จากเงินเดือนศิลปินแห่งชาติที่ไม่ได้ใช้เพื่อตนเองบ้าง ฯลฯ (นับแต่นายกสมาคม ฯ คนต่อจากพี่อู๊ด คือ คุณธนิต ธรรมสุคติ 2 สมัย ผู้เขียนอีก 2 สมัย) สามารถตั้ง "มูลนิธิรพีพรเพื่อสวัสดิการนักเขียน" สำเร็จ พี่อู๊ดก็สั่งน้องๆ ใกล้ชิด เช่น ธัญญา ชุนชฎาธาร มาลีรัตน์ แก้วก่า ชมัยภร แสงกระจ่าง ฯลฯ ว่า "ให้ประยอมเป็นประธานมูลนิธินะ"ผู้เขียนเลยต้องรับหน้าที่เป็นตัวแทนพี่อู๊ดไปทำกิจกรรมต่างๆ ในนามประธานกองทุนศรีบูรพา และมูลนิธิรพีพร ฯ ตลอดมา ไม่ว่าการมอบรางวัลศรีบูรพา หรือเป็นกรรมการร่วมจัดงานเชิดชูเกียรติ "100 ปี ศรีบูรพา" ในช่วงที่พี่อู๊ดเจ็บป่วยมาหลายปี ไม่สะดวกในการเดินทางไปทำหน้าที่ได้ ทั้งๆ ที่มีใจเต็มร้อย และมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ความทรงจำต่างๆ และความคิดอ่านที่จะทำโครงการต่างๆ ดีเยี่ยมตลอดมา
แม้กระทั่งวันที่ทำพิธีเปิดสำนักงานสมาคม ฯ ณ บริเวณบ้านเก่าของนักเขียนผู้มีน้ำใจงาม ลุง เสาว์ บุญเสนอ หรือ ส. บุญเสนอ มอบให้ไว้ในยุคที่คุณประภัสสร เสวิกุล เป็นนายก ฯ และการก่อสร้างมาสำเร็จในสมัยนายก ฯ ไมตรี ลิมปิชาติ) พี่อู๊ดอุตส่าห์ยอมเหนื่อยนอนมาทำพิธีเปิดสมาคม ฯ ที่พี่เขาปรารถนาอยากจะให้มีมาตลอดเวลายาวนาน
คงมีคนเขียนถึงประวัติอันทรงเกียรติด้านอื่นๆ ของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ปี 2534 ที่ชื่อ สุวัฒน์ วรดิลก มากหลากหลายทัศนะ ซึ่งในปีนั้นนอกจากมีนักเขียนเรื่องสั้นชั้นเยี่ยมชื่อ อาจินต์ ปัญจพรรค์ (พี่ชายที่รักข้าพเจ้า และข้าพเจ้ารัก-เคารพยิ่งอีกคนหนึ่ง) ได้รับการประกาศเกียรติพร้อมกันด้วย และที่พิเศษยิ่งกว่านั้น พี่ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก ยังได้รับการประกาศเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (นักร้องเพลงสากล) พร้อมกัน แม้กระทั่งน้องชาย-ทวีป วรดิลก ( กวีเรืองนามขวัญใจชาวโดมเหลือง-แดง นาม ทวีปวร) ก็ได้รับการประกาศเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (คู่กับ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ พี่ชายที่ข้าพเจ้ารักยิ่งอีกคน) ในปี 2538 นับเป็นเพียงครอบครัวเดียวที่ได้รับการประกาศเกียรติน่าภาคภูมิใจยิ่งฉะนี้
ข้าพเจ้าต้องการจะเน้นย้ำว่านอกจาก สุวัฒน์ วรดิลก จะทิ้งมรดกที่เป็นทรัพยากรภูมิปัญญาผ่านงานวรรณศิลป์ ทั้ง นวนิยาย เรื่องสั้น สารนิยายเชิงชีวประวัติ สารคดี บทความ บทละคร (เวที) บทภาพยนตร์ บทละคร (โทรทัศน์) หรือที่ให้ความคิดอ่านผ่านข้อเขียนในนาม สุวัฒน์ วรดิลก ส.วรดิลก รพีพร ไพร วิษณุ ศิวะ รณชิต สันติ ชูธรรม หรือการนำนักขียน-นักหนังสือพิมพ์ และศิลปินไปเปิดม่านไม้ไผ่ที่เมืองจีนปี 2500 จนเป็นที่ได้รับการกล่าวขวัญจากบุคคลสำคัญของจีนต่อๆ มา การเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งที่ร่วมก่อตั้ง "ชมรมนักเขียน 5 พฤษภา" ที่กลายมาเป็นสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ในปัจจุบัน การตั้ง "กองทุนศรีบูรพา" เพื่อเป็น "รางวัลที่นักเขียนมอบให้แก่นักเขียน" มาแล้วถึง 18 คน (และเรายังจะสืบทอดต่อไปอีก เพราะมีเงินทุนจากการจัดงาน 100 ปีศรีบูรพาสมทบ) "มูลนิธิรพีพรเพื่อสวัสดิการนักเขียน" ล้วนเป็นมรดกทรงคุณค่าต่อวงวรรณกรรมไทย
เราคงจะลืมบุคลากรที่มีค่ายิ่งคนนี้ไม่ได้ไปอีกตราบนานเท่านาน
เรื่องโดย : ประยอม
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2550
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/8893