พิเศษ
บันทึกปลายฤดูใบไม้เปลี่ยนสี
AUTUMN IN JAPAN
บันทึกปลายฤดูใบไม้เปลี่ยนสี
จาก นาโงยา ถึง คามาคูระ
เที่ยวเมืองโตโยตา ไหว้พระไดบุสึ
ญี่ปุ่นยามฤดูใบไม้ร่วง ชวนหลงใหลกว่าทุกช่วงเวลา ด้วยสีสันของใบไม้หลากพรรณ ที่พร้อมใจกันเปลี่ยนวรรณะจากเขียวเข้ม เป็นเขียวอ่อน เหลือง และแดง ทุกแห่งหน มองไปทางใด หัวใจเต้นแรง เหมือนอยู่กลางวงล้อมสาวรุ่นร่าเริงสดใส
บันทึกปลายฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เริ่มที่เมืองโตโยตา ในนาโงยา ที่ตั้งของสำนักงาน และโรงงานผลิตรถยนต์ โตโยตา หลายแห่ง รวมถึงโรงงาน สึสึมิ (TSUTSUMI) ที่ผมได้ชม หลังลงเครื่องที่เซนทแรร์ (CENTRAIR) สนามบินแห่งใหม่ของนาโงยาไม่ถึงชั่วโมง
จากนั้น ชินคันเซน สายโนโซมิ 16 (NOZOMI 16) พาผมทะยานไปบนรางด้วยความเร็วหัวกระสุนตามสมญา พุ่งสู่กรุงโตเกียว ซึ่งเป็นที่พำนักตลอด 5 คืน แต่เวลาส่วนใหญ่ถูกใช้ไปที่ ฮาโกเน ในปฏิบัติการเชียร์ข้ามโลก สองนักแข่งไทยชิงชัย วิทซ์เรศ (VITZ RACE) พร้อมชมงาน โตโยตา มอเตอร์ สปอร์ท เฟสติวัล ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น และสายฝนพรมพรำ ในฟูจิ อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิท สปีดเวย์ สนามแข่งรถที่มีฟูจิยามา ภูเขาไฟแห่งฝันวันเยาว์ เป็นฉากหลัง
วันอิสระ คณะใหญ่ผู้นิยมอุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์เลือกไปชอพ และชอพที่ย่านอากิฮาบารา ผมแยกตัวฉายเดี่ยวไปเยือนคามาคูระ เมืองชายทะเลงามสงบ และแสนเหงา เพื่อนมัสการหลวงพ่อไดบุทสึ ที่ประดิษฐานกลางแจ้ง เป็นสัญลักษณ์เมืองอาทิตย์อุทัยมานานกว่า 700 ปี
ป่านนี้ ใบไม้ที่นั่นคงคืนสู่ความเขียว แต่ผมกลับมาพร้อมหัวใจเปลี่ยนสี ที่ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป
1. ประติมากรรม หน้าสถานีชินคันเซนในเมืองนาโงยา อย่าถามหาภาพโรงงานสึสึมิ เพราะถูกห้ามบันทึกตามธรรมเนียม เล่าได้คร่าวๆ ว่าโรงงานนี้ผลิตรถ โตโยตา ถึง 8 รุ่น ที่เราคุ้นเคยกันก็เช่น ปรีอุส แคมรี และ วิช
2. ฟูจิ อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิท สปีดเวย์ มีความยาวทั้งสิ้น 4,563 เมตร โดยเป็นทางตรงยาว 1,475 เมตร สร้างมาตั้งแต่ปี 1966 ก่อนจะได้รับการปรับปรุงใหม่หมดเมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อเตรียมใช้เป็นสังเวียนแข่งรถสูตร 1 ในฤดูกาล 2007
3. การแข่งขัน วิทซ์ หรือ ยารีส เรศ เป็นหนึ่งในกิจกรรมของ โตโยตา มอเตอร์ สปอร์ท เฟสติวัล ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 โดยในปีนี้ โตโยตา ส่ง มานัต กุละปาลานนท์ และนภดล ประกอบผล แชมพ์ และรองแชมพ์ ยารีส วันเมคเรศ ลงชิงชัยกับนักแข่งชาติอื่นด้วย ซึ่งผลออกมาอย่างน่าพอใจ มานัต ติดที่ 21 และนภดล ติดที่ 32 จากรถร่วมชิงชัยกว่า 50 คัน
4. ในสนามแข่งยังมีการแสดงอื่นๆ ที่น่าสนใจตลอดวัน อาทิ พิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ โชว์การขับรถสูตร 1 โดย ราล์ฟ ชูมาเคร์ นักแข่งชื่อดังของทีม โตโยตา พานาโซนิค ตลอดจนดริฟท์โชว์ โดยบรรดาดริฟท์คิง เรียกเสียงฮือฮาได้รอบสนาม
ลานหน้าสนามเต็มไปด้วยร้านค้า ของตกแต่ง ของเล่น เสื้อผ้า การแสดง และเกมสำหรับครอบครัวคนรักรถ อีกซุ้มหนึ่งเป็นซุ้มอาหารการกิน หลากหลายรูปแบบ รสชาติ และราคา นับเป็นงานที่มีสีสันและชีวิตชีวาทีเดียว
5. อีกสถานที่หนึ่งที่ โตโยตาพา ไปชม คือ โตโยตา เมกา เวบ (TOYOTA MEGA WEB) ตั้งอยู่ในเขตเมืองใหม่อีกฝั่งหนึ่งของอ่าวโตเกียวที่เรียกว่า เขตโอไดบะ โดยเชื่อมกับฝั่งโตเกียวด้วยเรนโบว์บริดจ์ หรือสะพานสายรุ้งยาวเกือบ 1 กิโลเมตรที่สวยงามสมชื่อ
6. เมกา เวบ เป็นส่วนหนึ่งของอาคารพาเลทท์ ทาวน์ (PALETTE TOWN) จัดแสดงรถยนต์รุ่นต่างๆ ของ โตโยตา พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย อย่างเครื่องยนต์ไฮบริด รวมไปถึงเกม และกิจกรรมต่างๆ ด้านมอเตอร์สปอร์ท ที่ โตโยตา ให้ความสำคัญมาก โดยเฉพาะการแข่ง ฟอร์มูลา วัน
7. ตรงกันข้ามกับ เมกา เวบ คือ วีนัสฟอร์ท (VENUSFORT) ศูนย์การค้าที่ออกแบบตกแต่ง หรูหรา แปลกตา โดยเฉพาะเพดานที่จำลองท้องฟ้ามาได้เหมือนจริง ถึงไม่ชอบชอพพิง แค่เดินเล่นก็เพลินแล้ว
8. ฟูจิซัง หรือฟูจิยามา สัญลักษณ์แห่งแดนอาทิตย์อุทัย และสัญลักษณ์แห่งวัยเยาว์ของผู้ใหญ่รุ่นอุลทราแมน สูง 3,776 เมตร เป็นภูเขาที่สูงตระหง่านที่สุดในญี่ปุ่น อยู่ในเขตยามานาชิ และชิสุโอกะ ทางตอนใต้ของโตเกียว
ผมโชคดีที่ได้เดินทางไปสนามฟูจิสปีดเวย์ทั้งวันซ้อม และวันแข่งจริง เพราะในวันซ้อมอากาศแจ่มใสจนสามารถมองเห็นฟูจิได้ตลอดทาง รวมทั้งได้เห็นอย่างเต็มตาในสนามแข่ง ตรงข้ามกับวันรุ่งขึ้นที่ท้องฟ้าหม่นมัวด้วยเมฆหมอก บดบังฟูจิจนมองไม่เห็น เหมือนมันไม่เคยตั้งอยู่ ณ ที่นั้นเลย
ภาษิตญี่ปุ่นบอกว่า "คนโง่มีสองพวก พวกแรกไม่เคยปีนเขาฟูจิ พวกที่สองปีนซ้ำสองครั้ง" ถ้าเปลี่ยน "ปีน" เป็น "เห็น" ผมก็กลายเป็นคนฉลาดโดยไม่เต็มใจ
9. ทะเลสาบอาชิ กลางเมืองฮาโกเน นักท่องเที่ยวนิยมล่องเรือลำใหญ่ ชมทิวทัศน์อันงดงาม โดยมีจุดที่เห็นฟูจิอยู่ไกลๆ ด้วย ส่วนชาวบ้านแถวนั้นออกหาปลาด้วยเรือลำเล็กๆ ท่ามกลางลมหนาว อย่างมีความสุข
คามาคูระ
งดงาม เงียบสงบ และแสนเหงา
10. คืนก่อนวันที่ โตโยตา จะปล่อยเราไปไหนมาไหนตามใจ ฝนตกหนักในโตเกียว ผมตั้งจิตอธิษฐานกับหลวงพ่อไดบุสึว่า พรุ่งนี้ผมจะไปไหว้ท่านที่คามาคูระ ขออย่าให้มีฝนเป็นอุปสรรค วันรุ่งขึ้น คำอธิษฐานเป็นจริง !
คามาคูระ เป็นอดีตเมืองหลวงของญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1735 ถึง 1876 สืบต่อจากนารา (พุทธศักราช 1253-1330) และเกียวโต (พุทธศักราช 1337-1735) รวมทั้งเป็นฉากสำคัญในนิยายอมตะ "ข้างหลังภาพ" ของ ศรีบูรพา แต่คนส่วนใหญ่จะรู้จักเฉพาะ ไดบุสึ โดยไม่รู้ว่าหลวงพ่อองค์นี้ประดิษฐานอยู่ที่วัดโคโตะกู-อิน (KOTOKU-IN) ในเมืองคามาคูระนี่เอง
11. การเดินทางไปนมัสการไดบุสึ เริ่มจากหาทางไปขึ้น รถไฟเจอาร์ สายโยโกสุกะ (YOKOSUKA LINE) ที่สถานีโตเกียว หรือชินางาวาก็ได้ ลงที่สถานีคามาคูระ ค่าตั๋ว 890 เยน ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ออกจากสถานีทางประตูทิศตะวันตก เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนสายเล็กๆ ที่มีเสน่ห์ ด้วยโคมไฟทรงเก๋ และร้านสินค้า ร้านอาหาร รวมทั้งคาเฟมีระดับ ตกแต่งน่ารักสวยงามตลอดสาย จากนั้นเลี้ยวขวาไปตามถนนขนาดสองเลน จนสุดถนนซึ่งเป็นสี่แยกเล็กๆ เลี้ยวขวาอีกที เดินต่อไม่นาน ก็ถึงวัด โคโตะกู-อิน รวมระยะทางจากสถานีถึงวัดแค่ 1.5 กม. เท่านั้นเอง
สำหรับคนมีเวลาน้อย หรือไม่ชอบเดิน จะขึ้นแทกซีหรือรถเมล์ ก็ไปถึงวัดได้เหมือนกัน แต่จะพลาดซึมซาบบรรยากาศเมืองแสนสุขอย่างน่าเสียดาย แสนสุขขนาดผมได้เห็น (และได้ยิน) คุณยายคนหนึ่งเดินร้องเพลงไปตามถนนเชียวละครับ
12. ระหว่างทาง มีแผนที่ บอกทิศและระยะทาง ไปยังจุดหมายที่สำคัญสำหรับนักท่องเที่ยว ทั้งบนเสาไฟฟ้า และบนทางเท้า ต้องสังเกตให้ดี
13. ไดบุสึ (DAIBUTSU) หรือ กเรท บุดดา (GREAT BUDDHA) หรือหลวงพ่อโตแห่งคามาคูระ จริงๆ แล้วเป็นพระอมิตาภะ ในพุทธศาสนา นิกายมหายาน สร้างขึ้นเมื่อปี 1786 เดิมทำด้วยไม้ต่อมาเปลี่ยนเป็นบรอนซ์หรือสัมฤทธิ์ สูง 11.47 ม. หน้าตักกว้าง 9.63 ม. และหนัก 125 ตัน นับเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของญี่ปุ่น รองจาก หลวงพ่อโต แห่งเมืองนารา ซึ่งเป็นต้นแบบ
ช่วงราว 100 ปีแรก ไดบุสึ ประดิษฐานอยู่ในวิหารไม้ ต่อมาโดนทั้งพายุ และสึนามิถล่มจนวิหารพังทลายหมด เหลือเพียงองค์พระตั้งโดดเด่นอยู่กลางแจ้งมาร่วม 700 ปี
14. ใบไม้เปลี่ยนสีในวัดโคโตะกู-อิน งดงามเกินบรรยาย ยิ่งกว่านั้นวัดนี้ยังมีต้นสนที่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงปลูกเมื่อ 27 ธันวาคม 2445 และ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงปลูก เมื่อ 25 กันยายน 2530 ด้วย แต่น่าเสียดายที่ผมรีบจนลืมไปชม
15. ของที่ระลึกในวัด มีตั้งแต่ ไดบุสึ สำหรับบูชา จนถึงไดบุสึ สำหรับรับประทานกับกาแฟ หรือชาเขียว คนไทยอย่างผมเห็นแล้วรู้สึกแปลกๆ
เรื่องโดย : สายยศ
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : พิเศษ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/8795