เทคนิค
คนไทยเราเป็นชนชาติที่ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม หรือสถานการณ์ได้ดีพอสมควร ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีข้อหนึ่ง แต่ก็ไม่เสมอไปครับ ส่วนที่เป็นข้อเสีย หรือด้านลบก็มีอยู่เหมือนกัน ที่เห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องอธิบาย คือ การที่คนไทยส่วนใหญ่ นั่งดูกลุ่มนักการเมืองโกงชาติกันแบบต่อเนื่องกันหลายสิบปี
คนไทยเราเป็นชนชาติที่ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม หรือสถานการณ์ได้ดีพอสมควร ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีข้อหนึ่ง แต่ก็ไม่เสมอไปครับ ส่วนที่เป็นข้อเสีย หรือด้านลบก็มีอยู่เหมือนกัน ที่เห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องอธิบาย คือ การที่คนไทยส่วนใหญ่ นั่งดูกลุ่มนักการเมืองโกงชาติกันแบบต่อเนื่องกันหลายสิบปี
และที่หนักสุดในห้าปีสุดท้าย ก็คือ ผลพวงของการดูดาย นิ่งเฉยของพวกเรานี่เอง ที่ทำให้คนพวกนี้มันกำเริบเสิบสานขนาดนี้ หลายคนที่ผมรู้จัก ด่าคนโกงได้ทุกวัน ไม่มีเบื่อ แต่พอชวนไปช่วยกันประท้วงไล่คนโกง กลับบอกว่าขอนอนอยู่บ้าน หรือไปตีกอล์ฟดีกว่า เป็นพฤติกรรมที่แปลก จนอาจจะต้องให้ "ฝรั่ง" มาวิจัยเพิ่มเติม ต่อจากช่วงแรก ที่ได้ลักษณะเด่นออกมา 4 ข้อ อันโด่งดังกระฉ่อน น่าอับอายชาวต่างชาติอย่างยิ่ง
การปรับตัวในด้านลบที่ผมต้องการเอ่ยถึงในที่นี้ ก็คือ การยอมรับต่อการขึ้นราคาสินค้า ที่ดูเหมือนจะไต่ขึ้นไปสูงเท่าใดก็ได้ ขอเพียงให้เวลาไม่นาน คนไทยในระดับ "ชั้นกลาง" ก็จะรีบทำใจยอมรับมัน ดูในส่วนที่เกี่ยวกับการใช้รถของเราก็พอครับ
ตอนที่ราคาน้ำมันขึ้นมาถึงลิตรละ 20 บาท ก็ชะงักกันไปไม่นาน แล้วก็บอกว่ามันเป็นราคา "ปกติ" ขออย่าให้มันขึ้นมาถึง 25 บาทก็แล้วกัน ไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำไมมนุษย์ทั่วโลกถึงยอมให้เลขห้ากับเลขศูนย์ มามีอิทธิพลต่อชีวิตของเรา ขึ้นมาเป็นลิตรละ 22 บาท ก็แพงขึ้น10 % แล้ว ไม่ต้องรอให้เพิ่มขึ้น 25 % หรอกครับ พอราคาไต่ขึ้นมาถึงลิตรละ 25 บาท ก็ชะงักและประหยัดกันพอเป็นพิธี แล้วก็เข้ารูปเดิม คือ บอกว่า ขออย่าให้ถึงลิตรละ 30 บาทเป็นใช้ได้
พอถึงระดับนี้เข้าจริงๆ คราวนี้พอจะเห็นได้ชัดว่า ค่อนข้างจะพร้อมใจกันประหยัดเชื้อเพลิงโดยลดการใช้รถในส่วนที่ไม่จำเป็นลง บนทางด่วนมีจำนวนรถที่ใช้ความเร็วระหว่าง 90 ถึง 100 กม./ชม. เพิ่มขึ้นจนผิดตา
ผมมีความรู้สึกดีว่า สุดท้ายแล้วพวกเราก็รู้จักมีเหตุมีผล สมัครใจประหยัดเชื้อเพลิงกันเป็นเหมือนกัน แต่ปรากฏว่าสภาพที่ว่านี้ เป็นอยู่ราวๆ สัปดาห์เดียวเท่านั้น แล้วก็เหมือนเดิมอีก คือ ขับกันด้วยความเร็วสูงตามแต่ใจและเท้าจะพาไป
มันเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า ที่จริงแล้วผู้ขับรถส่วนใหญ่ ก็ทราบกันดีว่า ยิ่งขับเร็วก็ยิ่งสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น แต่ไม่ได้เห็นความจำเป็น หรือเห็นคุณค่าของการประหยัดเชื้อเพลิง ถ้าจะให้ตรงจุดจริงๆ ก็ต้องใช้คำว่า ประหยัดเงินค่าเชื้อเพลิง ไม่ว่าจะมองแบบองค์รวมว่าเป็นเงินของชาติที่ต้องเสียให้ต่างชาติ หรือเงินในกระเป๋าของพวกเราเองก็ตาม ส่วนทำไมจึงเป็นเช่นนี้นั้น ผมขอผลัดไปในโอกาสหน้า เดือนนี้เรามาดูกันเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับทางเทคนิคกันก่อนนะครับ
ค่าความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของรถนั้น ในทางเทคนิคต้องมีหน่วยเป็นปริมาตรเชื้อเพลิงต่อระยะทาง เช่น ซีซี/กม. หรือ ลิตร/กม. ถ้าใช้หน่วยที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคย ก็จะเป็นลิตร/กม. ซึ่งเมื่อคำนวณออกมาสำหรับรถเก๋งหรือรถบรรทุกก็ตาม จะได้ตัวเลขที่น้อย
มาก ต่ำกว่าหนึ่งเสียอีกครับ เลยนิยมใช้ระยะทางเป็น 100 กม. เพื่อให้ได้ตัวเลขเป็นจำนวนเต็มหนึ่งหรือสองหลัก ใช้งานสะดวกและจำง่ายด้วย เช่น 8 ลิตร/100 กม.
แต่ในภาคปฏิบัติ หน่วยที่ใช้กันมายาวนานจนคุ้นเคย โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษ ที่เป็นรากฐานของผู้บุกเบิกใช้รถกลุ่มแรกของประเทศไทย จะเป็นระยะทางต่อปริมาตรเชื้อเพลิง เช่น ไมล์/แกลลอน แล้วเปลี่ยนมาเป็นหน่วยเมตริค คือ กม./ลิตร เป็นค่าผกผันที่ไม่ตรงกับคำจำกัดความ เพราะฉะนั้นถ้าความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมาก ค่านี้จะน้อย แต่เมื่อนิยมกันมาเช่นนี้ ผมก็จะใช้หน่วยนี้เพียงอย่างเดียวในคอลัมน์นี้ ซึ่งก็คือ กม./ลิตร
ความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่พวกเราวัดกันจากการใช้งานนั้น เป็นค่าเฉลี่ยจากการใช้รถในสภาวะต่างๆ มากมาย ยกตัวอย่างเช่น รถเก๋ง ขนาดกลาง ใช้เครื่องยนต์ 2,000 ซีซี วัดความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ได้ราวๆ 8 กม./ลิตร ในการใช้งานจริง จะมีค่าต่างๆ ทั้งด้านมากและน้อยกว่าค่าเฉลี่ย เช่น ตอนออกรถในเกียร์หนึ่ง โดยเหยียบคันเร่งยันพื้น ความสิ้นเปลืองจะสูงมาก ถ้าวัดค่าออกมาอาจได้ไม่ถึง 2 กม./ลิตร ในทางตรงกันข้าม ถ้าวัดที่ความเร็วคงที่ในเกียร์ 5 ที่ความเร็วประมาณ 60 กม./ชม. อาจได้ถึง 15 กม./ลิตร ถ้าขับด้วยความเร็วคงที่ในเกียร์สูงสุด ความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจะเพิ่มขึ้นตามความเร็วครับ
บังเอิญผมได้ผลทดสอบความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ของรถยนต์นั่งหลายประเภทด้วยกัน จากนิตยสารรถยนต์ในต่างประเทศ ซึ่งเป็นรายงานที่เชื่อถือได้ในความแม่นยำ และไม่ค่อยมีใครลงทุนวัดกันที่ความเร็วต่างๆ อย่างละเอียด จึงถือว่าเป็นข้อมูลที่หาอ่านยากพอสมควร เลยถือโอกาสคัดความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ความเร็วคงที่หลายๆ ค่า มาให้ดูกันพอให้เกิดความรู้สึก และนำไปเปรียบเทียบกับค่าของรถที่พวกเราใช้กันอยู่ เพื่อจะได้เข้าใจว่า ที่หน่วยงานต่างๆ ทั้งของรัฐและที่อิสระ เรียกร้องวิงวอนให้ขับเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม. นั้น มันจะช่วยประหยัดเชื้อเพลิง ซึ่งก็คือเงินของพวกเรา และของชาติได้สักเท่าใด เมื่อเทียบกับการใช้ความเร็วตามใจชอบของพวกเรา
คันแรกเป็นรถเก๋งที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2,000 ซีซี ที่ความเร็ว 80 กม./ชม. วัดค่าได้ 15.4 กม./ลิตร 100 กม./ชม. 13.2 กม/ลิตร 130 กม./ชม. ได้แค่ 9.9 กม./ลิตร และถ้าเหยียบแช่ที่ 180 กม./ชม. ก็จะเหลือแค่ 5.3 กม./ลิตร เพื่อให้เห็นภาพชัด เรามาคำนวณกันเองต่อดูครับ ถ้าขับที่ความเร็ว 100 กม./ชม. จะเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่าที่ 80 กม./ชม. 17 %
ลองดูของจริงว่าถ้าขับบนทางด่วน จากคลองเตยไปรังสิต ระยะทางราว 30 กม. ที่ 80 กม./ชม. จะใช้เวลา 22.5 นาที ใช้เบนซิน 1.95 ลิตร เป็นเงิน (25 บาท/ลิตร) 48.75 บาท แต่ถ้าใช้ความเร็ว 100 กม./ชม. จะใช้เวลา 18.0 นาที ใช้เบนซิน 2.28 ลิตร เป็นเงิน 57.0 บาท หรือเปลืองเงินกว่า 8.25 บาท ส่วนเวลาที่ใช้ในการเดินทางน้อยกว่าแค่สี่นาทีครึ่งเท่านั้นครับ
คราวนี้เทียบกับค่าที่ความเร็ว 130 กม./ชม. ดูบ้าง ที่จริงอยากได้ 120 กม./ชม. มากกว่าครับ แต่ "ฝรั่ง" เขาเลือก 130 ซึ่งเป็นความเร็วที่แนะนำให้ขับบนไฮเวย์ของประเทศเยอรมนี ก็เลยต้องใช้ตัวเลขของความเร็วนี้ เวลาที่ใช้เดินทาง คือ 13.8 นาที ใช้เบนซิน 3.03 ลิตร ราคา 75.75 บาท ลองเทียบกับค่าที่ 100 กม./ชม. ดูก่อนนะครับ เงินที่ประหยัดได้ คือ 75.75 บาท ลบด้วย 57.0 บาท เท่ากับ 18.75 บาท
ส่วนต่างของเวลาที่ใช้ในการเดินทาง คือ 18.0 นาที ลบด้วย 13.8 นาที เท่ากับ 4.2 นาที เวลา 4 นาที ของชนชาติที่ไม่รู้ค่าของเวลา เถลไถลเรื่อยเปื่อยอย่างพวกเราชาวไทย ไม่มีความหมายอะไรเลยครับ แต่ประหยัดเงินเหมือนเกือบได้ก๋วยเตี๋ยวฟรีหนึ่งชาม หรือจะเอาเงินเกือบ 20 บาทนี้ ไปทำอะไรก็แล้วแต่ อย่าลืมนะครับว่าระยะทางที่ผมใช้ในการคำนวณเป็นตัวอย่างนี้ คือ 30 กม. ซึ่งมากทีเดียวสำหรับการใช้งานของคนเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ เวลาที่ใช้ในการเดินทางก็ยังต่างกันเพียง 4 นาทีเท่านั้น
คราวนี้มาดูตัวอย่างที่สอง ของรถคันเดิมกันบ้างครับ ผมเปลี่ยนเส้นทางเป็นทางยกระดับบางนา-บางประกง ระยะทาง 55 กม. ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ใช้เวลา 33 นาที ใช้เบนซิน 4.18 ลิตร เป็นเงิน 104.50 บาท เปรียบเทียบกับค่าที่ความเร็ว 150 กม./ชม. (7.7 กม./ลิตร) เวลาเดินทางจะเหลือ 22.0 นาที ใช้เชื้อเพลิง 7.15 ลิตร เป็นเงิน 178.75 บาท ผลลัพท์ก็คือ ถ้าเลือกความเร็วในการเดินทาง 100 กม./ชม. แทนที่จะเป็น 150 กม./ชม. จะประหยัดเงินถึง 74.25 บาท โดยใช้เวลาในการเดินทางเพิ่มขึ้นเพียง 11 นาที เท่านั้นเองครับ
ลองเพิ่มระยะทางเป็นสองเท่าดูก็จะยิ่งเห็นชัด ว่าเวลาเดินทางต่างกันแค่ยี่สิบนาทีเศษ แต่ประหยัดเงินได้ราวๆ 150 บาท เอาไปเติมเบนซินขับฟรีที่ 100 กม./ชม. ได้ระยะทางเกือบ 80 กม. เปลี่ยนเป็นกินอาหารกลางวันกัน 2 คนในปั้มน้ำมันข้างทางได้เต็มอิ่มหนึ่งมื้อสบายๆ ครับ
คราวนี้มาดูความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของรถรุ่นเดิม แต่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลกันบ้าง ที่ความเร็ว 80 กม./ชม. วัดได้ 22.2 กม./ลิตร ที่ 100 กม./ชม. วัดได้ 17.9 กม./ลิตร ที่ 130 กม./ชม. ได้ 13.2 ลิตร เปรียบเทียบกับรุ่นเบนซินแล้วประหยัดเชื้อเพลิงได้ 30.8 % 26.3 % และ 24.8 % ตามลำดับ
เป็นความแตกต่างที่มากทีเดียวครับ ถ้าคิดเป็นเงินก็คงจะได้ค่าแทบไม่แตกต่างกัน เพราะราคาน้ำมันดีเซลเกือบเท่าเบนซินแล้ว แต่ใครที่กำลังเลือกซื้อรถที่มีเครื่องยนต์ให้เลือกทั้งสองอย่าง อย่าดูแต่ความประหยัดอย่างเดียวนะครับ เอาส่วนต่างของราคารถ และระยะทางที่ใช้เฉลี่ยในแต่ละปี มาเปรียบเทียบด้วย
ผลที่ได้อาจจะบ่งว่า ใช้รุ่นเบนซินคุ้มกว่าครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าลืมว่า ถ้าใช้ไปจนพ้นระยะรับประกันคุณภาพแล้ว อะไหล่ของเครื่องยนต์ดีเซลยุคใหม่ ราคาอาจแพงขนาดได้ยินแล้วถึงขั้นวิงเวียนเข่าอ่อนได้เหมือนกัน แล้วก็ยังไม่แน่ว่า ตอนขายต่อจะราคาตกกว่ารุ่นที่ใช้เบนซินหรือไม่
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2550
คอลัมน์ Online : เทคนิค
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/8740