ผ่านพ้นปีกันมาได้แม้ว่าตัวเลขการขายจะไม่ค่อยสดใสเท่าที่ควร แต่ก็นับว่าผ่านพ้นวิกฤตทางการเมืองมาอย่างเฉียดฉิว ก็คาดหวังกันว่า เริ่มต้นปีใหม่ ปีหมูนี้ คงจะเป็นหมูร่าเริง ที่จะมาพานักการตลาดรถยนต์ให้ร่าเริงตามกันไปด้วย

ผ่านพ้นปีกันมาได้แม้ว่าตัวเลขการขายจะไม่ค่อยสดใสเท่าที่ควร แต่ก็นับว่าผ่านพ้นวิกฤตทางการเมืองมาอย่างเฉียดฉิว ก็คาดหวังกันว่า เริ่มต้นปีใหม่ ปีหมูนี้ คงจะเป็นหมูร่าเริง ที่จะมาพานักการตลาดรถยนต์ให้ร่าเริงตามกันไปด้วย สาเหตุที่เดากันล่วงหน้าว่าปีหมูปีนี้จะร่าเริง ก็เพราะสถานการณ์หลากหลาย อย่างเรื่องที่จะต้องไปลงคะแนนเลือกตั้งกันภายในปีนี้แน่นอนเรื่องหนึ่งละ เรื่องที่สองอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก มีแนวโน้วที่จะลดลง ราคาน้ำมันก็คาดกันว่าจะแกว่งตัวไม่มากเหมือนปีก่อน และเรื่องที่ปวดศีรษะของภาครัฐมากสุด ก็เห็นจะเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่า ถึงแม้ว่าจะทำให้สามารถลดต้นทุนวัตถุดิบจากต่างประเทศ แต่ของของเราที่จะเอาออกไปขายชาวบ้านนี่สิ มันจะเพิ่มค่าขึ้น มองโลกในแง่ดีกันไว้ก่อน ว่า ปี 2550 นี้ เราจะมีกำลังการผลิตรถยนต์ทุกประเภท ประมาณ 1 ล้าน 3 แสนคัน ประมาณว่าครึ่งต่อครึ่งจะเป็นการส่งออก และจำหน่ายในประเทศ แต่นักการตลาดก็ยังไม่สามารถออกมาประมาณการกันได้ ว่าปีนี้ยอดขายรถยนต์จะเป็นเท่าไร เพราะสภาวะที่ผันผวน สภาพเศรษฐกิจและการเมืองยังนิ่งไม่พอ ก็เลยยังไม่มีใครกล้าคาดเดา แถมด้วยรถยนต์ประหยัดพลังงาน ที่น่าจะเป็นปีที่ฮือฮามากที่สุด ว่าใคร ค่ายไหน จะเป็นผู้กล้าหาญเดินออกมาแถวหน้า แล้วเสนอตัวเป็นผู้ผลิตรายแรก ก็คงไม่เกินเดือนมีนาคม นี่แหละ ที่ข่าวเรื่องนี้จะหอมฟุ้งเชียวพอเดาใจกันได้ไหมครับ ว่าใครจะเป็นผู้กล้าหาญ แต่ที่แน่นอนที่สุด ก็เรื่องแกสโซฮอล ที่ตอนนี้ชักเริ่มมีเสียงจากทางด้านผู้ผลิต ว่าปริมาณสำรองชักจะมากขึ้นทุกที รวมทั้งภาครัฐเริ่มเล็งเห็นปัญหา ที่จะคงอัตราตายตัวของการเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แถมด้วยเริ่มมีเสียงยอมรับออกมาแล้วว่าผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศทุกบริษัท ยังไม่รับรองว่ารถยนต์ที่จำหน่ายในประเทศ จะสามารถใช้น้ำมันแกสโซฮอล 95 ได้ แถมด้วยรถยนต์เก่าที่ใช้ระบบคาร์บูเรเตอร์ ก็ยังไม่สามารถใช้น้ำมันชนิดนี้ได้ ทีแต่ก่อน ไม่ยักเห็นมีใครออกมาพูดอย่างนี้เลย แปลกใจไหมครับ ส่วนแผนการยกเลิกการขายน้ำมันเบนซิน 95 นั้น จะชะลอออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพียงแต่ท่านจะหันมาสนับสนุน แกสโซฮอล 91 แทน และตั้งราคาส่วนต่างที่ลิตรละ 1.50 บาท เช่นเดียวกับแกสโซฮอล 95 นอกจากนั้นก็จะปรับนโยบายการกำหนดราคาเอธานอลในประเทศ ที่ตอนนี้ราคาลิตรละ 25 บาท ในขณะที่ราคาในตลาดโลกตกประมาณ 18 บาท เท่านั้น เพราะวัตถุดิบที่นำมาผลิต คือ อ้อย และ มันสำปะหลัง มีราคาแตกต่างกันมา ทำให้จำเป็นต้องเปลี่ยนสูตรใหม่ นั่นเป็นเรื่องในอนาคต ที่ภาครัฐจำต้องหามาตรการมากำหนดให้ผู้ผลิต ผลิตรถยนต์ที่สามารถใช้ได้กับแกสโซฮอล ขณะที่ภาคเอกชนก็มีคนขานรับออกมาแล้ว เพียงแต่นโยบายของพณหัวเจ้าท่าน ยังแกว่งอยู่ ไม่นิ่งเหมือนกัน ก็เลยไม่มีใครลงมือสักที เรื่องต่อไปขอนำเสนอร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก ฉบับใหม่ ที่เกี่ยวข้องกับเราๆ ท่านๆ ใกล้ตัวที่สุดดีกว่า อ้อ เรื่องนี้เป็นพิเศษสำหรับบรรดาผู้เมาแล้วขับทั้งหลาย เป็นที่รู้กันในหมู่คอทองแดงว่า มาตรการของเจ้าหน้าที่ในการปราบปรามพวก เมาแล้วขับ ทั้งหลาย เป็นมาตรการป้องปราม ไม่ใช่มาตรการปราบปราม และก็รู้กันทั่วไปว่า ท่านเจ้าหน้าที่จะตั้งด่านกันที่ไหน เวลาไหน ก็จะพากันเลี่ยงสถานที่เหล่านั้น เวลานั้นเสีย หรือถ้าโดนจับเข้าจริงๆ ท่านก็บังคับให้อยู่เป็นเพื่อนจนถึงเช้า แล้วก็ไปเสียค่าปรับ ถึงจะปล่อย แต่ถ้าถึงโรงถึงศาล ศาลเป็นผู้สั่งปรับ ก็จะแถมด้วยการทำงานบริการสังคมสักเล็กน้อยส่วนต่างจังหวัดน่ะ อะลุ่มอล่วยกันเสียเยอะ ถ้าไม่เมาถึงขนาดจริงๆ ท่านก็ยอมให้ผ่าน ส่วน กทม. น่ะ ท่านมีเครื่องเป่าแอลกอฮอล์ ชนิดรับทานเบียร์แค่ขวดเดียว ก็เป่าไม่ผ่านเสียแล้ว ก็เลยต้องหลบหลีกกันไปเสียทุกครา ส่วนใครที่พลาดไปแล้ว ที่นี่ไม่ได้มาซ้ำเติมนะครับ เพียงแต่เอามาเล่าสู่กันฟังเท่านั้นเอง พรบ. ฉบับใหม่ที่ว่า แก้ไขในหลายมาตรา เรื่องแรก แก้ไขไม่ให้เจ้าพนักงานว่ากล่าวตักเตือน หรือเปรียบเทียบปรับได้ เรื่องที่สอง แก้ไขบทกำหนดโทษจากเดิม "ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5 พันบาทถึง 2 หมื่นบาท" แก้ไขเป็น "ต้องระวางโทษสูงกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ หรือกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทอีก 1 ใน 3" แถมด้วยพักใช้ใบอนุญาตขับขี่อีกไม่น้อยกว่า 2 เดือน เรียกว่าท่านเล่นแรงนะครับเนี่ย เรื่องต่อมา แก้ไขให้เพิ่มบทกำหนดโทษ ในกรณีเมาแล้วขับ และเป็นสาเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายปรับปรุงอัตราโทษจากเดิม "จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาทถึง 4 หมื่นบาท" แก้ไขเป็น "จำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาทถึง 1 แสนบาท" อย่าลืมนะครับ ท่านแก้ไขคำว่า "หรือ" เป็น "และ" หมายความว่าโดน 2 ต่อนะครับ ถ้าผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส โทษจะเพิ่มเป็น จำคุกตั้งแต่ 2 ปีถึง 6 ปี ปรับตั้งแต่ 4 หมื่นบาทถึง 1 แสน 2 หมื่นบาท พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาต ถ้าเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 10 ปี ปรับตั้งแต่ 6 หมื่นบาทถึง 2 แสนบาท และเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ แถมด้วยข้อสุดท้ายนะครับ นอกจากจะได้รับโทษตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว ถ้าศาลเห็นว่าหากให้ผู้นั้นขับรถต่อไปอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคล หรือทรัพย์สินของผู้อื่น ศาลมีอำนาจสั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นได้ แถมด้วยแต่เดิมมีบทบัญญัติให้ศาลสั่งให้ผู้ขับขี่ที่ขับรถในขณะเมาสุรา ต้องทำงานบริการสังคม หรือทำงานสาธารณประโยชน์ พรบ. ฉบับใหม่เนี่ย ท่านหั่นเสียเรียบเชียว ไม่ได้กำหนดเป็นบทบังคับ แต่ให้เป็นดุลพินิจของศาล กว่าหนังสือฉบับนี้จะถึงมือท่าน คาดว่า พระราชบัญญัติจราจรทางบกฉบับใหม่นี้ คงลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เรียบร้อยแล้ว ตัวใครตัวมันนะขอรับ บรรดาคอทองแดงทั้งหลาย หมูร่าเริงไม่ออกแล้ว