พิเศษ
ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย ทั้งข่าวดีและข่าวไม่ดีในวงการรถยนต์ ในฐานะสื่อกลาง "ฟอร์มูลา" ได้รวบรวมเหตุการณ์เด่นๆ ในรอบ 1 ปี ไว้ได้ 10 ข่าวเด่นดังนี้
ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย ทั้งข่าวดีและข่าวไม่ดีในวงการรถยนต์ ในฐานะสื่อกลาง "ฟอร์มูลา" ได้รวบรวมเหตุการณ์เด่นๆ ในรอบ 1 ปี ไว้ได้ 10 ข่าวเด่นดังนี้
1. มหกรรมยานยนต์ ย้ายที่จัดใหม่
งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 23 หรือ THE 23th THAILAND INTERNATIONAL MOTOR EXPO 2006 จัดยิ่งใหญ่กว่าทุกปีที่ผ่านมา โดยย้ายไปใช้อาคาร ชาลเลนเจอร์ 1-3 ขนาด 60,000 ตารางเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่โล่งติดต่อกันทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นงานแสดงยานยนต์ที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
สำหรับงานมหกรรมยานยนต์ที่ผ่านมา เริ่มจัดครั้งแรกที่ ศูนย์นิทรรศการอโศกแฟร์กราวน์ด ต่อมาย้ายมาจัดที่ ชั้น 4 MBK HALL มาบุญครอง เซนเตอร์ หลังจากนั้นมาจัดที่ ห้องบางกอกคอนเวนชัน เซนเตอร์ เซนทรัลพลาซา ลาดพร้าว จนถึงงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 16 เป็นต้นมา และหลังจากนั้นได้ย้ายมาจัดที่ เมืองทองธานี จนถึงมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 22 และครั้งที่ 23 ย้ายมาจัดอย่างยิ่งใหญ่ที่ ชาลเลนเจอร์อิมแพคท์ เมืองทองธานี
2. ครม. ลดภาษี ซีเอนจี
ทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบมาตรการประหยัดพลังงานตามที่กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานเสนอ โดยรถยนต์นั่ง หรือรถยนต์โดยสารมีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ความจุไม่เกิน 3.0 ลิตร หากนำไปติดตั้งอุปกรณ์ ฯ จะลดภาษีสรรพสามิตจากร้อยละ 30 เหลือ 20 แต่ไม่เกิน 50,000 บาท เป็นเวลา 2 ปี 6 เดือน มาตรการนี้ เพื่อให้เวลาผู้ผลิตรถยนต์ปรับปรุงสายการผลิตให้ติดตั้งอุปกรณ์ ฯ สำเร็จรูปมาจากโรงงานผลิตรถยนต์ โดยผู้ซื้อไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมภายหลัง
ทั้งนี้ การติดตั้งเครื่องยนต์ใช้แกส ซีเอนจี มีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ให้ความสนใจ โดย บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ จำกัด จะเป็น 2 รายแรกที่พร้อมผลิต หากผู้บริโภคตอบรับ และในอนาคตจะมีรถเครื่องยนต์ใช้แกส ซีเอนจี ผลิตเพิ่ม ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับจำนวนสถานีบริการ ว่าจะมีเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่ เพราะปัจจุบัน สถานีบริการยังมีน้อยมาก
ในอนาคต กระทรวงพลังงาน ประเมินว่า การใช้เครื่องยนต์ใช้แกส ซีเอนจี เป็นทางออกสำหรับการแก้ปัญหาน้ำมันแพง คาดว่าถ้าบริษัทรถยนต์สนใจผลิตมากขึ้น และในอีก 3 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเป็นฐานผลิตรถยนต์นั่งที่ใช้แกส ซีเอนจี จำหน่ายในประเทศและส่งออก คาดว่าใน 5 ปีข้างหน้า จะมีรถยนต์ที่ใช้แกส ซีเอนจี ไม่ต่ำกว่า 500,000 คัน
3. ตลาดรถเล็ก มาแรง
ด้วยวิกฤติราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคหันมาสนใจรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ขนาดเล็กลง เพื่อประหยัดน้ำมัน ทำให้บริษัท ผู้ผลิตรถยนต์หลายยี่ห้อ เริ่มหันมาผลิตรถยนต์ที่มีขนาดเล็ก เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้บริโภค
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดตัว โตโยตา ยารีส 5 ประตู เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร วีวีที-ไอ 109 แรงม้า ไม่ช้าไม่นาน บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด ไม่ยอมแพ้ ส่ง นิสสัน ทิอิดา ที่มีให้เลือกทั้งแบบ 4 และ 5 ประตู 1.6 ลิตร 109 แรงม้า และ 1.8 ลิตร 126 แรงม้า เข้าชิงส่วนแบ่งการตลาดเช่นเดียวกัน หลังจากนั้น บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ส่ง เชฟโรเลต์ อาวีโอ เข้าชิงตลาดอีกยี่ห้อ เครื่องยนต์ 1.4 ลิตร 94 แรงม้า และค่ายสุดท้ายที่ขอเข้าร่วมในส่วนแบ่งนี้ คือ บริษัท ยนตรกิจ เกีย มอเตอร์ จำกัด ส่ง เกีย ปีกันโต รถซิทีคาร์ 5 ประตู เครื่องยนต์ 1.1 ลิตร 65 แรงม้า มาร่วมสร้างความคึกคักในตลาดรถเล็ก
4. เลิกขายเบนซิน 95
ในวันที่ 1 มกราคม 2550 ภาครัฐมีมาตรการยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 95 เพื่อลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะลดได้มากกว่า 4,000 ล้านบาท/ปี ปลายปี '47 กระทรวงพลังงานสั่งยกเลิกตรึงราคาน้ำมันเบนซิน ทั้ง 91 และ 95 ทำให้ราคาขายน้ำมันเบนซินปรับตัวสูงขึ้น รัฐบาลจูงใจให้ใช้แกสโซฮอล โดยเพิ่มแรงจูงใจด้วยการให้ส่วนต่างของราคาเบนซินกับแกสโซฮอล ห่างกันถึง 1.50 บาท สถานีบริการน้ำมันส่วนใหญ่เดินหน้าเลิกขายเบนซิน 95 เพื่อตอบสนองนโยบายของภาครัฐ
หลายฝ่ายยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถยกเลิกการจำหน่ายได้ทันตามกำหนดเดิมหรือไม่ เนื่องจากปริมาณเอธานอลที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้งานที่สูงถึงวันละ 800,000 ลิตร เพราะโรงงานผลิตเอธานอลมีเพียง 5 แห่ง กำลังการผลิตรวมเพียงแค่ 500,000 ลิตร/วัน เท่านั้น แต่คาดว่าภายในสิ้นปี 2549 จะเพิ่มขึ้นอีก 4 แห่ง กำลังการผลิตรวมจะเพิ่มขึ้นมาใกล้เคียงที่ 800,000 ลิตร/วัน แต่ปัญหาอาจพบในช่วงแรกนั้น คือ โรงงานใหม่ๆ ยังไม่สามารถเดินเครื่องผลิตได้เต็มกำลัง ในขณะที่โรงงานเก่าๆ จะ
ต้องหยุดซ่อมบำรุงชั่วคราว
แต่เมื่อรัฐบาลชุดใหม่เข้ามา กระทรวงพลังงานได้ประกาศเลื่อนการยกเลิกขายน้ำมันเบนซิน 95 ออกไปอย่างน้อย 3 เดือน เนื่องจากโรงงานผลิตเอธานอลส่วนใหญ่ไม่พร้อม และเพื่อให้โรงงานผลิตและปั๊มน้ำมันรายเล็กมีความพร้อม กำหนดราคาที่เหมาะสม และให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรี ในขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์บางค่ายได้เสนอให้คงการจำหน่ายเบนซิน 95 ต่อไป เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ใช้รถยนต์บางรุ่นบางยี่ห้อ
5. โตโยตา ตั้งบริษัทใหม่ เสริมอุตสาหกรรม ประกอบรถยนต์
โตโยตา มอเตอร์ คอร์พอเรชัน ตั้ง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเซีย แปซิฟิค จำกัด (TMAP THAILAND) ด้วยเงินลงทุน 10 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านการผลิตของ โตโยตา ในภูมิภาคอาเซียน และเครือข่ายผู้ผลิตชิ้นส่วน ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ไต้หวัน และอินเดีย รวมถึงสนับสนุนการปรับปรุงการผลิตของบริษัทแต่ละแห่ง ให้สามารถผลิตได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น พร้อมเป็นการเสริมสร้างความเข็มแข็งให้สอดคล้องกับ บริษัท โตโยตา มอเตอร์ เอเซีย แปซิฟิค จำกัด (ประเทศสิงค์โปร์)
6. รถญี่ปุ่น ผู้บริหารฝรั่ง
ช่วงปลายปี เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง หลายบริษัท ฯ มีการปรับเปลี่ยนผู้บริหารเพื่อความเหมาะสม 2 ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ก็เช่นเดียวกัน
มาซดา มอเตอร์ คอร์พอเรชัน ประเทศญี่ปุ่น และ บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ จำกัด แต่งตั้งผู้บริหารใหม่ เพื่อผนึกความแข็งแกร่ง รวมทั้งความมือในภูมิภาคให้เป็นหนึ่งเดียว ประกาศให้ จอห์น พาร์เคอร์ เป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ ประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค และแอฟริกา พร้อมยังคงตำแหน่งกรรมการบริหาร และรองประธานกรรมการคณะผู้บริหาร มาซดา ส่วน โรเบิร์ท เจ กราซีอาโน ดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส มาซดา มอเตอร์ ควบคู่กับตำแหน่งรองประธานกรรมการ บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ แอฟริกาใต้
ด้วยความสามารถของ จอห์น พาร์เคอร์ ในฐานะผู้นำพา มาซดา และเป็นผู้มีบทบาทในการประสานงานให้ทุกหน่วยงาน ให้ทำงานไปในทิศทางเดียวกัน และจะสามารถดำเนินการสานต่อนโยบายที่สำคัญต่อไป ที่สำคัญจะสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง มาซดา กับ ฟอร์ด ให้เหนียวแน่นเป็นปึกแผ่นมากขึ้นต่อไปในอนาคต
7. ไฮบริด ติดตลาด
สำหรับภาวะน้ำมันแพงแบบนี้ ผู้นำเข้ารถยนต์อิสระทั้ง บริษัท เอส. อี. ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ SEC GROUP/บริษัท อีตั้น คาร์ จำกัด และบริษัท เค วี เอ ออโต้เซ็นเตอร์ จำกัด ได้นำรถพลังงาน 2 ระบบ "ไฮบริด" ซึ่งเป็นการผสมผสานการทำงานระหว่างน้ำมันเบนซินกับมอเตอร์ไฟฟ้า เข้ามาจำหน่ายในเมืองไทยเพิ่มมากขึ้นจากปีก่อน เริ่มจาก โตโยตา เอสตีมา ไฮบริด (TOYOTA ESTIMA HYBRID) โดยเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว 150 แรงม้า ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้าให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้า ส่วนด้านหลังมีกำลัง 68 แรงม้า เมื่อรวมกำลังทั้งหมดในขณะที่เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานพร้อมกัน จะให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ต่อด้วย โตโยตา อัลฟาร์ด ไฮบริด (TOYOTA ALPHARD HYBRID) เครื่องยนตเบนซิน 2.4 ลิตร 4 สูบ ระบบขับเคลื่อน E-FOUR
สุดท้าย โตโยตา ปรีอุส ไฮบริด (TOYOTA PRIUS HYBRID) ส่วนแรกเป็นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว VVT-I ระบบจุดระเบิดแบบ TDI หรือ TOYOTA DIRECT IGNITION พลังงานส่วนที่ 2 เป็น มอเตอร์ ชนิดแม่เหล็กถาวร ทำหน้าที่เป็นมอเตอร์สตาร์ท และอัลเทอร์เนเตอร์ หรืออุปกรณ์ปั่นไฟในตัว เพื่อชาร์จไฟเข้าสู่แบทเตอรี มีกำลัง 44 แรงม้า ที่รอบการหมุน 1,040-5,600 รตน.
8. รถสปอร์ทแนวคิดใหม่ บุกตลาด
เริ่มจาก ตระกูล ลีนุตพงษ์ ตั้งตนเป็นตัวแทนขายรถแต่งในกลุ่ม โฟล์คสวาเกน ภายใต้บแรนด์ เอมทีเอม "MTM" (MOTOREN TECHNIK MAYER) โดยเริ่มเปิดตัวกับ เอมทีเอม อาร์เอส 4 ราคา 7 ล้านบาท/เอมทีเอม เอ 3 สปอร์ทแบค ราคา 4 ล้านบาท เป็นการนำรถ เอาดี มาโมดิฟายด์ใหม่
"สไปเคอร์" จากเนเธอร์แลนด์ เครื่องยนต์ วี 8 4.0 ลิตร 400 แรงม้า มีให้เลือก 3 รุ่น สไปเคอร์ ซี 8 ลาวีโอเลทท์/ซี 8 สไปเดอร์/ซี 8 ดับเบิล 12 ราคากว่า 28-55 ล้านบาท
MTM เป็นบริษัทจากประเทศเยอรมนี ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการปรับตกแต่งเครื่องยนต์ของรถยุโรปต่างๆ เช่น รถยนต์ในเครือ โฟล์คสวาเกน กรุพ (เอาดี/เซอัต/สโกดา และ โฟล์คสวาเกน) ส่วนการทำตลาดในไทย บริษัท เอ็มทีเอ็ม มอเตอเรน เทคนิค ไมเยอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้นำเข้า และตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ตกแต่งพิเศษ ในเครือ โฟล์คสวาเกน กรุพ ทุกยี่ห้อ ภายใต้บแรนด์ "เอมทีเอม" แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
นักธุรกิจรุ่นใหม่อีกกลุ่ม บริษัท เอสแอล อินเตอร์เนชั่นแนล ออโตโมบิลส์ จำกัด เปิดตัวรถสปอร์ทบแรนด์ใหม่ "สไปเคอร์ ซี 8 ลาวีโอเลทท์" เป็นรถสปอร์ท "HAND MADE" ที่ผสมผสานเทคโนโลยีทางวิศวกรรม และความหรูหราไว้ด้วยกัน ตัวถัง และเครื่องยนต์ทำจากอลูมิเนียม เครื่องยนต์ วี 8 4.0 ลิตร 400 แรงม้า เป็นรถชนิดพิเศษ ประกอบตามคำสั่งซื้อเท่านั้น
รถที่น่าจับตามองในตลาดบ้านเรามากที่สุดคือ "ARBITRAGE GT" นำเข้าโดย บริษัท คอบรา อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ และชิ้นส่วนพลาสติคไฟเบอร์รายใหญ่ ที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นคนไทย ARBITRAGE GT เป็นรถสปอร์ท แนวเดียวกับ สไปเคอร์ ตัวถังเป็นไฟเบอร์ ทำให้มีน้ำหนักเพียง 800 กก. เครื่องยนต์บลอคเดียวกับ โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ อาร์ 32
9. ชุบชีวิต อีโคคาร์
หลังจากที่ อีโคคาร์ (ECO CAR) ล่มไปพร้อมๆ กับรัฐบาลชุดก่อน และเมื่อรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารบ้านเมืองเพียง 1 ปีนั้น รองนายกรัฐมนตรี โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เห็นชอบให้ชุบชีวิตโครงการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานขึ้นมาอีกครั้ง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างรากฐานให้กับอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย ให้เป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์นั่งขนาดเล็กไปพร้อมๆ กับเป็นศูนย์กลางการผลิตรถกระบะ
รัฐบาลชุดปัจจุบัน พยายามไม่พูดเรื่องการลดภาษีสรรพสามิต แต่จะปรับเป็นการลดภาษีให้ผู้ผลิตรถยนต์แทน ทั้งเรื่องการลดภาษีเงินได้/การลดภาษีนำเข้าเครื่องจักร เพราะเมื่อลดต้นทุนการผลิตลง จะทำให้บริษัทสามารถจำหน่ายรถในราคาที่ต่ำกว่าปกติได้
สิ่งที่ทางคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน บีโอไอ (BOI) ตั้งหลักเกณฑ์ไว้นั้น คือ ต้องนำเสนอแผนงานซึ่งประกอบด้วย โครงการ ประกอบรถยนต์/ผลิตรถยนต์ และผลิต หรือจัดหาชิ้นส่วนรถยนต์ รวมถึงต้องเสนอแผนการลงทุน และการผลิตระยะยาว 5 ปี โดยปีที่5 ต้องมีกำลังการผลิตเต็มที่ไม่น้อยกว่า ปีละ 100,000 คัน และต้องเป็นรถที่ประหยัดพลังงาน ซึ่งอาจเป็นรถ ไฮบริด ก็ได้ ส่วนคุณสมบัติรถที่ผลิตนั้น ต้องประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงไม่น้อยกว่า 0.5 ลิตร/100 กม. หรือ 20 กม./ลิตร และปล่อยไอเสียไม่เกินมาตรฐานมลพิษ ระดับ ยูโร4
จุดที่น่าสังเกตที่ทำให้รัฐบาลชุดปัจจุบัน หันกลับมาใส่ใจโครงการนี้อีกครั้ง คือ ความพยายามหลีกเลี่ยงที่จะกำหนดความยาวของตัวถังรถ เพราะที่ผ่านมาบริษัทรถยนต์ส่วนใหญ่มีปัญหากันในเรื่องนี้
ในทางกลับกัน กลับมีข่าวออกมาว่า บีโอไอ จะเลือกบริษัทรถยนต์เป็นผู้ผลิต อีโคคาร์ เพียงรายเดียว ทำให้ทางบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่างค้านว่า ไม่เห็นประโยชน์ผู้บริโภคที่จะได้รับจากการมีผู้ผลิตเพียงรายเดียว แต่ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่า ในโครงการนี้ ฯ ไม่ได้ระบุให้ส่งเสริมการลงทุนเพียงรายใดรายหนึ่ง ทุกบริษัท ฯ มีสิทธิ์เท่าเทียมกัน เพียงแต่การพิจารณาจะเลือกบริษัทที่ดีที่สุดเพียงรายเดียว และยึดรายนั้นเป็นเกณฑ์
10. จากทุบรถ ถึงควายลากประจาน
ครั้งนี้เป็นนักธุรกิจ ไอที ชาวไต้หวัน นำควายมาลากรถยนต์ยี่ห้อ แลนด์ โรเวอร์ ดิสคัฟเวอรี ทู แห่ประจานเนื่องจากซื้อรถมาแล้วประสบปัญหาตลอดการใช้งาน ทำให้บริษัท ไทยอัลติเท คาร์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ แลนด์ โรเวอร์ ประเทศไทย ต้องรีบออกมาชี้แจง เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด หรือสับสนในหมู่ผู้บริโภคทั่วไป โดยกรณีที่มีผู้มาร้องเรียนเรื่องปัญหาที่พบในรถยนต์ แลนด์ โรเวอร์ ดิสคัฟเวอรรี ทู ผ่านทางสื่อมวลชน
บริษัท แลนด์ โรเวอร์ ไทยแลนด์ จำกัด ได้มีการเจรจาเบื้องต้นระหว่างลูกค้า ตัวแทนจำหน่ายบริษัท ไทยอัลติเมท คาร์ จำกัด และผู้แทนจาก แลนด์ โรเวอร์ ไทยแลนด์ ต่อหน้าผู้แทน สคบ. โดยลูกค้ามีความประสงค์ที่จะเปลี่ยนรถคันใหม่ หรือคืนเงินเต็มจำนวน ทางเจ้าหน้าที่ สคบ. จึงได้ช่วยไกล่เกลี่ยเพื่อขอโอกาสในการซ่อม และแก้ไขรถคันดังกล่าว หลังจากนั้นทางศูนย์ ฯ ได้ติดต่อลูกค้าทันที เพื่อนัดหมายให้นำรถเข้ามาเชค และตรวจสอบอย่างละเอียด แต่ไม่ได้รับการตอบรับจากลูกค้า
หลังจากที่มีการเจรจาเบื่องต้นที่ สคบ. ทางศูนย์บริการ ฯ ได้พยายามติดตามอีกหลายครั้ง ตลอดระยะ 2 เดือน แต่ลูกค้าไม่ได้รับสาย ไม่โทรกลับ และไม่รับการเจรจาใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้บริษัท ฯ ไม่มีโอกาสได้ตรวจสอบ และเชครถยนต์คันดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ทางศูนยบริการ ฯ ได้ส่งจดหมายถึงลูกค้า สำเนาส่ง สคบ. และแลนด์ โรเวอร์ ไทยแลนด์ โดยแสดงความรับผิดชอบ และเสนอที่จะดูแลแก้ไขปัญหา พร้อมทั้งขอให้ลูกค้านำรถมาเชคที่ศูนย์บริการ โดยทางบริษัท ฯ จะให้รถยนต์สำรองใช้ระหว่างซ่อม แต่ทางลูกค้าได้ตอบกลับมา ยืนยันว่าต้องการให้บริษัท ฯ ชดใช้เปลี่ยนรถคันใหม่ หรือคืนเงินตามราคาที่ซื้อ
เรื่องโดย : ปาจรีย์ ทัศนาญชลี
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน มกราคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : พิเศษ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/8723