ปตท.-บางจากฯ-เอสพีอีอี (SPEE) ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมันดิบแปรรูปจากพลาสติคใช้แล้วให้ได้มาตรฐาน พร้อมศึกษาความเป็นไปได้ในการทำการตลาดในเชิงพาณิชย์ สนับสนุนนโยบายพลังงานทดแทนโดยการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยทดแทนการนำเข้าน้ำมันดิบได้ประมาณ 12 % หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 87,000 ล้านบาท/ปี

ปตท.-บางจาก-เอ็นเนอยี่ ฯ เปิดนวัตกรรมแปรรูปพลาสติคเป็นน้ำมันดิบ ปตท.-บางจากฯ-เอสพีอีอี (SPEE) ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมันดิบแปรรูปจากพลาสติคใช้แล้วให้ได้มาตรฐาน พร้อมศึกษาความเป็นไปได้ในการทำการตลาดในเชิงพาณิชย์ สนับสนุนนโยบายพลังงานทดแทนโดยการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยทดแทนการนำเข้าน้ำมันดิบได้ประมาณ 12 % หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 87,000 ล้านบาท/ปี บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (บางจาก ฯ) และ บริษัท ซิงเกิ้ล พอยท์ เอ็นเนอยี่ แอนด์ เอ็นไวรอนเมนท์ จำกัด (เอสพีอีอี) ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจในการร่วมมือพัฒนาทั้งด้านวิชาการและการตลาด เพื่อสนับสนุนนโยบายพลังงานทดแทนโดยการนำนวัตกรรมการแปรรูปพลาสติคใช้แล้วเป็นน้ำมันดิบมาใช้ในประเทศไทย ชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การร่วมมือกับ บางจาก ฯ และ เอสพีอีอี ศึกษาความเป็นไปได้ด้านเทคโนโลยี และ การตรวจสอบคุณภาพน้ำมันดิบที่ได้จากการแปรรูปพลาสติคใช้แล้วจากกระบวนการผลิตด้วย POLYMER ENERGY TECHNOLOGY ก่อนเข้าสู่กระบวนการกลั่นเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง และศึกษากระบวนการขนส่งที่มีประสิทธิภาพในการขนน้ำมันดิบที่ผลิตได้ไปยังโรงกลั่นน้ำมันต่างๆ เพื่อผลิตเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหมาะสม นอกจากนี้ ปตท. จะให้การสนับสนุนด้านการตลาดผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ผลิตได้จาก POLYMER ENERGY TECHNOLOGY ภายใต้คุณภาพผลิตภัณฑ์อันเป็นที่ยอมรับของ ปตท. และราคาที่สามารถแข่งขันได้ และจากความร่วมมือในการแยกพลาสติคเหลือใช้มาแปรรูปเป็นน้ำมันดิบนั้น จะยังประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และลดปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศ อีกทั้ง ยังเป็นการลดค่าใช้จ่ายด้านสิ่งแวดล้อม (WASTE TREATMENT) ของประเทศลงอีกด้วย อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ มีนโยบายในการส่งเสริมพลังงานทดแทนและพลังงานสะอาดมาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ดีของ เอสพีอีอี ในการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วยการสร้างทางเลือกใหม่ในการจัดการพลาสติกใช้แล้วให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม บางจาก ฯ มีความยินดีร่วมมือในการศึกษาความเป็นไปได้ด้านเทคโนโลยี และการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันที่ได้จากการแปรรูปพลาสติคใช้แล้วจากกระบวนการผลิตนี้ อีกทั้งมีความยินดีในการรับซื้อน้ำมันดิบที่ผลิตได้ภายใต้คุณภาพที่ได้มาตรฐานและราคาที่เหมาะสม ด้าน มีชัย วีระไวทยะ ประธานกรรมการ บริษัท ซิงเกิ้ล พอยท์ เอ็นเนอยี่ แอนด์ เอ็นไวรอนเมนท์ จำกัด (เอสพีอีอี) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบริษัท ซิงเกิ้ล พอยท์ พาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มว่า POLYMER ENERGY TECHNOLOGY เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ไม่ต้องห่วงว่าจะทำอย่างไรกับเศษพลาสติคใช้แล้ว เพราะว่าสามารถนำเข้าระบบ POLYMER ENERGY TECHNOLOGY เป็นเป็นน้ำมัน ซึ่งเป็นการช่วยชาติอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ หากผลทดสอบมาตรฐานซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ ในขั้นตอนการวิเคราะห์น้ำมันดิบจากพลาสติคใช้แล้วได้ตามข้อกำหนดที่มีมาตรฐานของ ปตท. และ บางจาก ฯ ก็จะสามารถส่งน้ำมันที่ผลิตได้ไปขายในเชิงพาณิชย์ผ่านเครือข่ายของ ปตท. และ บางจาก ฯ ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นการบำบัดขยะพลาสติคที่เคยกลัวกันว่าจะต้องรออีก 500 ปี กว่าจะย่อยสลายให้กลายเป็นน้ำมันที่มูลค่าคุ้มค่าต่อการลงทุน อนึ่ง จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่ามีขยะพลาสติคเก่าจาก LAND FILL อยู่ถึงกว่า 5 ล้านตัน ซึ่งหากผลวิเคราะห์ตัวอย่างพบว่าพลาสติคเหล่านั้นใช้ได้กับ POLYMER ENERGY TECHNOLOGY ก็จะเท่ากับว่าวัตถุดิบนั้นมีมากพอที่จะสามารถเปลี่ยนเป็นน้ำมันดิบถึง 24 ล้านบาร์เรล หรือ 3,800 ล้านลิตร ซึ่งสามารถทดแทนการนำเข้าน้ำมันดิบได้ถึง 7.3 % ถือเป็นการประหยัดเงินตราต่างประเทศได้ถึง 55,000 ล้านบาท สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เสนอ รมว. พลังงานตั้งองค์กรพลังงานทดแทน พิชัย ถิ่นสันติสุข ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า ทางคณะกรรมการกลุ่ม ฯ ได้มีการนำข้อเสนอต่อ ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน 5 ข้อ ได้แก่ 1.ขอให้ตั้งคณะกรรมการพัฒนาพลังงานทดแทนขึ้นโดยให้ภาคธุรกิจมีตัวแทน 1 ใน 3 และอีก 2 ใน 3 เป็นตัวแทนจากภาครัฐและนักวิชาการ 2. ให้มีการกำหนดสัดส่วนที่ชัดเจนในการจัดซื้อพลังงานทดแทน 3. ช่วยผลักดันกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เร่ง อนุมัติการซื้อขายคาร์บอนเครดิท เพื่อจูงใจให้มีการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนมากยิ่งขึ้น 4. เนื่องจากพลังงานทดแทนกว่าร้อยละ 90 เกี่ยวข้องกับพืชผลทางด้านเกษตร ภาครัฐจึงควรมีการประสานงานข้ามกระทรวงกัน และ 5. เร่งรัดให้มีการประกาศราคารับซื้อพิเศษ (FEED IN TARIFF) สำหรับพลังงานทดแทนเชิงพาณิชย์ประเภทกระแสไฟฟ้า ได้แก่ พลังงานเซลล์แสงอาทิตย์ (SOLAR CELL) พลังงานลม (WIND TURBINE) พลังงานชีวมวล (BIO MASS) การแปลงขยะเป็นพลังงาน (WASTE TO ENERGY) พลังงาน BIO GAS รวมทั้งราคา BIO DIESEL และ ETHANOL ที่เป็นธรรม นอกจากนี้รัฐควรมีการประสานงานระหว่างกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากพลังงานทดแทนกว่า 90 % เกี่ยวข้องกับพืชผลทางด้านเกษตร และเร่งรัดให้มีการประกาศราคารับซื้อพิเศษ สำหรับพลังงานทดแทนเชิงพาณิชย์ประเภทกระแสไฟฟ้า ได้แก่ พลังงานเซลล์แสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานชีวมวล แปลงขยะเป็นพลังงานที่เป็นธรรม ทั้งนี้จากการประชุม ASEAN-EU ENERGY COOPERATION NETWORKING FOR PRIVATE SECTOR ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ได้มีการกำหนดเป้าหมายการผลิตพลังงานทดแทนให้ได้ร้อยละ 10 ในปี 2554 หรืออีกประมาณ 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวสูงกว่าที่ประเทศไทยกำหนดไว้ร้อยละ 8 ทั้งนี้ ในที่ประชุม ฯ ยอมรับว่าประเทศไทยมีความก้าวหน้าด้านพลังงานทดแทนมากที่สุดในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นแผนงาน เป้าหมาย และการดำเนินธุรกิจพลังงานทดแทนเชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรม แต่ปัญหาของประเทศไทยเองคือเป้าหมายที่กำหนดไว้มีความเป็นไปได้น้อยมาก นอกจากนี้ยังมีสาเหตุเนื่องจากความไม่ชัดเจนของนโยบายรัฐที่ผ่านมา และความร่วมมือของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งปัจจัยลบต่อการเพิ่มผลผลิตพลังงานทดแทน ดังนั้น กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน สอท. จึงมีความคิดเห็นว่า ประเทศไทยควรมีองค์กรพัฒนาพลังงานทดแทนระดับทบวง กรมที่ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากหลายกระทรวง เพื่อกำหนดแผนงาน เป้าหมาย และตัวชี้วัดแยกออกจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) มีงบประมาณวิจัยพัฒนาของตนเอง ปลอดจากการถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง