พิเศษ
จากสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกผันผวนถีบตัวขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ และไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ทำให้ประเทศไทยที่เป็นเมืองเกษตรกรรม และไม่สามารถผลิตน้ำมันใช้เอง ได้รับผลกระทบด้านนี้เต็มๆ ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดคงหนีไม่พ้น "พลังงานทดแทน" นั่นเอง
จากสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกผันผวนถีบตัวขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ และไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ทำให้ประเทศไทยที่เป็นเมืองเกษตรกรรม และไม่สามารถผลิตน้ำมันใช้เอง ได้รับผลกระทบด้านนี้เต็มๆ ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดคงหนีไม่พ้น "พลังงานทดแทน" นั่นเอง
ถ้าพูดถึง "พลังงานทดแทน" หลายคนคงนึกไปถึง พลังงานไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์ หรือแม้แต่พลังงานลม ที่ออกจะไกลตัวเราไปสักหน่อย แต่ที่ดูว่าจะมีอนาคต และมีความเป็นไปได้สูง นั่นคือ พลังงานทดแทนจากเซลล์เชื้อเพลิง
เซลล์เชื้อเพลิง หรือ FUEL CELL คือ พลังงานทดแทนรูปแบบใหม่ ที่ผลิตอีเลคทรอนจากปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้าโดยการผ่านแกสไฮโดรเจน เข้ามาทางขั้ว แอโนด (ANODE) หรือขั้วลบ และออกซิเจน หรืออากาศ เข้ามาทางขั้ว แคโธด (CATHODE) หรือขั้วบวก
และเมื่อเกิดปฏิกิริยาขึ้น ผลที่ได้จากการเคลื่อนตัวของอีเลคทรอนซึ่งก็คือ กระแสไฟฟ้าที่ผลิต ผลข้างเคียง คือ น้ำและความร้อน เท่านั้น
เทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ได้ดังนี้
1. เซลล์เชื้อเพลิงอุณหภูมิต่ำ ใช้เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำหรับเครื่องมือขนาดเล็ก (PORTABLE APPLICATION) เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และใช้ในรถยนต์ (VEHICLE APPLICATION)
2. เซลล์เชื้อเพลิงอุณหภูมิสูง ใช้เพื่อเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดใหญ่ในโรงไฟฟ้า (STATIONARY APPLICATIONS) แล้วค่อยส่งผ่านมาใช้ตามบ้านเรือน อย่างที่มีอยู่ในปัจจุบัน
โดยเชื้อเพลิงหลักที่สามารถใช้ได้กับเซลล์เชื้อเพลิง คือ ไฮโดรเจน ซึ่งสามารถสังเคราะห์ขึ้นจากวัตถุดิบหลายๆ ชนิด เช่น แกสธรรมชาติ แกสชีวภาพ วัสดุชีวมวล และถ่านหินเป็นต้น
เมื่อเป็นเช่นนั้น พลังงานทดแทนรูปแบบใหม่นี้ ดูจะมีภาษีเหนือกว่าพลังงานทดแทนรูปแบบอื่น อย่างเห็นได้ชัด นั่นเป็นเพราะว่าเป็นพลังงานที่สะอาด อีกทั้งกระบวนการผลิตไม่ซับซ้อน ที่สำคัญประเทศไทยมีวัตถุดิบที่ใช้สำหรับการผลิตเซลล์เชื้อเพลิงอยู่มาก ดังนั้นถึงแม้ว่าน้ำมันในโลกต้องถึงกัลปาวสาน มันก็จะไม่ใช้ปัญหาใหญ่อีกต่อไป
ในที่สุดพลังงานทดแทนรูปแบบใหม่ก็เป็นจริงเสียที ในชื่อ "เซลล์เชื้อเพลิง" ด้วยความคิด และการทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่ ของทีมคณะวิจัยวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) ซึ่งนำทีมโดย รศ. ดร. อภิชัย เทอดเทียนวงษ์ ที่สามารถผลิตเซลล์เชื้อเพลิงเดี่ยว ที่เป็นหัวใจของเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง หลังจากทำการศึกษามากว่า 5 ปี ได้ทำการวิจัยด้านการผลิตไฮโดรเจนแบบโมบายยูนิท หรือ การผลิตไฮโดรเจนแล้วใช้ได้เลย โดยไม่ต้องเก็บไว้สำรอง
ฟอร์มูลา : เซลล์เชื้อเพลิงคืออะไร ?
อภิชัย : เซลล์เชื้อเพลิง คือ อุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้สามารถนำมาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายใน อาคาร บ้านเรือน อุปกรณ์อีเลคทรอนิค รวมไปถึงอุปกรณ์ขับเคลื่อนรถยนต์ด้วย
ฟอร์มูลา : เซลล์เชื้อเพลิงมีประโยชน์อย่างไร ?
อภิชัย : เซลล์เชื้อเพลิงเป็นเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ที่สะอาด มีประสิทธิภาพสูงกว่าระบบผลิตกระแสไฟฟ้าปกติที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เพราะของเสียที่มาจากกระบวนการผลิตนี้ มีเพียงแค่ น้ำกับความร้อนเท่านั้นเอง ซึ่งถือว่าไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งความร้อนกับน้ำยังสามารถนำไปใช้ภาคการผลิตรูปแบบอื่นได้อีกด้วย
ฟอร์มูลา : แรงจูงใจอะไร ที่ทำให้คิดค้นเครื่องผลิตเซลล์เชื้อเพลิงขึ้นมา ?
อภิชัย : เริ่มจากสมัยที่ได้รับรับทุนไปศึกษาต่อปริญญาเอกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำวิจัยเกี่ยวกับเซลล์เชื้อเพลิง และหลังจากสำเร็จการศึกษาปริญญาเอก ก็ได้รับการติดต่อจากบริษัท ENERGY RESEARCH CORPORATION ให้ไปทำวิจัยเรื่องเซลล์เชื้อเพลิงต่อ ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตเซลล์เชื้อเพลิงแบบคาร์บอเนทหลอมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งใช้เป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ในแคลิฟอร์เนีย พอกลับมาเมืองไทยก็มีอาจารย์ผู้ใหญ่หลายท่านมองว่าเซลล์เชื้อเพลิงนั้นน่าจะดูมีอนาคต และมีความเป็นไปได้สูง ที่จะนำมาทดแทนพลังงานน้ำมัน ดังนั้นจึงจัดสัมมนาขึ้น ซึ่งได้รับความสนใจจากสถาบันชั้นนำหลายแห่ง อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยมหานคร รวมทั้งศูนย์โลหะและวัสดุแห่งชาติ จึงเป็นที่มาของเครื่องต้นแบบนี้
ฟอร์มูลา : จุดประสงค์ที่ทำเครื่องต้นแบบเซลล์เชื้อเพลิงเพื่ออะไร ?
อภิชัย : ขณะนี้ราคาน้ำมันสูงมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ดังนั้นจะมีพลังงานทดแทนใดบ้างที่มีประสิทธิภาพสูง สะอาด ใช้งานได้จริง และสามารถลดภาระการใช้น้ำมันลง และเซลล์เชื้อเพลิงนั้นสามารถตอบโจทย์ทุกข้อได้ จึงเริ่มคิดค้นและทำการวิจัยขึ้น
ฟอร์มูลา : เครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเซลล์เชื้อเพลิง มีขั้นตอนการทำงานอย่างไร ?
อภิชัย : การทำงานของเซลล์เชื้อเพลิงก็ไม่ยุ่งยากซับซ้อนอะไรมากนัก โดยเริ่มจากป้อนแกสไฮโดรเจนเข้าทางขั้วลบ และป้อนออกซิเจนเข้าทางขั้วบวก หลังจากนั้นเราจะได้ 3 สิ่งที่ได้จากเซลล์เชื้อเพลิง คือ 1. อีเลคทรอน ซึ่งก็คือกระแสไฟฟ้ากระแสตรง และถ้านำไปใช้ตามบ้านต้องแปลงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับก่อน 2. น้ำ 3. ความร้อน โดยที่เซลล์เชื้อเพลิงแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. เซลล์เชื้อเพลิงอุณหภูมิต่ำ ซึ่งจะมีความร้อนน้อย เพราะมันจะทำงานที่อุณหภูมิไม่เกิน 100 องศาเซลเซียส 2. เซลล์เชื้อเพลิงอุณหภูมิสูง อย่างเช่น เกลือคาร์บอเนทหลอม จะมีการทำงานอยู่ที่ 650 องศาเซลเซียส ซึ่งความร้อนที่ได้สามารถนำมาผลิตกระแสไฟฟ้าได้อีกทอดหนึ่งด้วย
ฟอร์มูลา : ที่บอกว่าสามารถนำมาใช้กับรถยนต์ ทำได้โดยวิธีใด ?
อภิชัย : ทำได้โดยนำกระแสไฟฟ้าที่ได้ไปขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าภายในรถยนต์ คล้ายๆ กับรถยนต์ไฮบริด แต่รถยนต์ไฮบริด ยังต้องใช้การสันดาปภายในเครื่องยนต์ เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนและผลิตกระแสไฟฟ้าเก็บไว้ที่แบทเตอรี แต่สำหรับรถยนต์ที่ใช้เซลล์เชื้อเพลิง ใช้ไฟฟ้าอย่างเดียวเป็นตัวขับเคลื่อน ส่วนไฟฟ้าที่เหลือยังเก็บสำรองไว้ได้ในแบทเตอรีอีกด้วย
ฟอร์มูลา : ขณะนี้เมืองนอกเริ่มใช้กับรถยนต์กันแล้ว เมืองไทยมีโอกาสหรือไม่ อย่างไร ?
อภิชัย : ต้องพิจารณาจากหลายๆ อย่างรวมกัน เช่น กำลังการผลิตของคนไทย ยังผลิตได้เพียงแค่เซลล์ขนาดเล็ก เรายังไม่สามารถทำเซลล์ขนาดใหญ่ได้ เนื่องจากเทคโนโลยีนี้มีราคาแพง ต้องอาศัยเงินทุนจำนวนมาก และต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคเอกชนรวมกัน ซึ่งขณะนี้เราผลิตได้เพียงไม่เกิน 100 วัตต์ และใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 10 ล้านบาท ถ้าจะให้ฝันเป็นจริง ภาครัฐและเอกชนต้องเข้ามาช่วยเหลือ
ฟอร์มูลา : เซลล์เชื้อเพลิงมีความปลอดภัยมากน้อยเพียงใด ?
อภิชัย : ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว อันตรายจากแกสที่จะเกิดขึ้น มันก็ต้องมาจากไฮโดรเจน แต่ธรรมชาติของแกสไฮโดรเจน เป็นแกสที่เบามาก ซึ่งเบากว่าอากาศเสียอีก ดังนั้นเมื่อเกิดการรั่วไหล ก็จะลอยขึ้นไปในอากาศอย่างรวดเร็ว แต่ห้องที่เก็บจะต้องไม่เป็นห้องที่ปิด ถ้านำมาใช้จริงๆ แล้ว สามารถเก็บไฮโดรเจนได้หลายรูปแบบ เช่น ของเหลว ของแข็ง จึงไม่ทำให้เกิดอันตราย แต่ในประเทศญี่ปุ่นเขาไม่เก็บไฮโดรเจนไว้ ถ้าจะนำมาใช้ ก็จะใช้เครื่องผลิตไฮโดรเจนที่มีแอลกอฮอล์ หรือแกสธรรมชาติมาสร้างแกสไฮโดรเจนอีกทีหนึ่ง ซึ่งจุดนี้น่าจะลดอันตรายลงไปได้มาก
เรื่องโดย : จิฏวีระ ประทุมมณี
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : พิเศษ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/8394