พิเศษ
ของเดิมดีแน่ แต่แต่งแล้ว (อาจ) ดีกว่า
ผู้หญิงหน้าตาดี รูปร่างได้สัดส่วน ถ้ารู้จักแต่งหน้าทาปาก และเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม ก็ยิ่งทำให้ดูดี เช่นเดียวกับรถยนต์เดิมๆ จากโรงงาน ก็ใช้งานได้แล้ว แต่ถ้าเสริมแต่งอีกสักนิด ให้ตรงใจเรามากขึ้น คงไม่ใช่เรื่องแปลก
หลายคนทุ่มเทเงินทองมากมายหลายหมื่น นับแสน หรือเกินล้าน เพื่อแต่งรถให้สวยงาม สะดุดตา หรือปรับแต่งเครื่องยนต์ เพิ่มแรงม้า และแรงบิด ทำทุกอย่างที่ใจสั่งมา และเรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวของแต่ละบุคคล จะแต่งแพง หรือถูก ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถ้าการกระทำแบบ "คนรักรถ" นั้นไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ตนเอง หรือผู้อื่น และไม่ทำให้ตัวรถ หรือเครื่องยนต์เสียหาย
ไม่ว่าจะแค่เปลี่ยนล้อแมกและยางชุดใหม่ หรือจะแต่งแบบสุดๆ ชนิดถอดของเดิมออกจนหมดเหลือไว้เพียงแต่โครงรถ เหมือนการทำรถแข่ง หรือทำเพื่อไม่ให้มีใครเหมือน ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีช่วยให้หลายสิ่งหลายอย่างที่ทำไม่ได้ กลายเป็นเรื่องง่าย เช่น การออกแบบชุดแอโรพาร์ทด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และฉีดขึ้นรูปด้วยพลาสติคแทนการทำแบบด้วยแผ่นเหล็ก หรือไฟเบอร์กลาสส์ ล้อและยางที่มีขนาดใหญ่กว่า 20 นิ้ว เป็นต้น
เพราะฉะนั้นถ้าคุณพร้อม เรามาแต่งรถกันเถอะ !
ตำนานการแต่งรถในเมืองไทย
ตำนานการแต่งรถของบ้านเรานั้น มีวิวัฒนาการมายาวนาน โดยเริ่มจากการแต่งรถเพื่อลงแข่งความเร็ว ดังนั้นคนที่จะรู้จริงถึงวิวัฒนาการเหล่านี้ จึงต้องเป็นคนที่ใช้ชีวิตนักแข่งมาทุกยุคทุกสมัยอย่างพวกเขาทั้ง 4 คน ที่ถึงแม้จะไม่ใช่นักแข่งระดับชั้นแนวหน้าของเมืองไทย แต่อย่างน้อยพวกเขาก็แต่งรถลงแข่งมาแทบทุกยุค
อติเทพ จันทร์เพ็ญประสาน หรือ ที่คนทั่วไปรู้จักกันในนาม เก่ง ซูบารุ เจ้าของอู่ KENG SERVICE ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการแข่งรถมายาวนาน ทั้งควอร์เตอร์ไมล์ และจิมคานา เล่าให้ฟังถึงตำนานการแต่งรถเมืองไทยว่า
"วัยรุ่นบ้านเราในสมัยก่อนนั้น นิยมแต่งรถเพื่อความแรงอย่างเดียว รถส่วนใหญ่ที่นำมาแต่งแข่งกัน เป็นพวกรถเก๋ง กระบะ ประเภทรถสปอร์ทนั้นนานๆ จะเจอที เครื่องยนต์ส่วนใหญ่ก็เป็นเครื่องยนต์แบบคาร์บูเรเตอร์ ซึ่งการโมดิฟายด์ไม่ซับซ้อนเหมือนในสมัยนี้ ถ้าอยากแรงก็ทำได้ไม่ยาก เช่น ในส่วนของท่อนล่างเครื่องยนต์ ก็จะคว้านสูบใส่ลูกสูบโต ส่วนฝาสูบก็จะขัดแต่งพอร์ทให้ลื่น แคมชาฟท์พอก และเจียนคาร์บูเรเตอร์ เปลี่ยนใหม่ให้ใหญ่ขึ่น อยากจะให้รถสูงก็เพิ่มขนาดสปริง ถ้าอยากเตี้ยก็ตัดสปริงออก
ซึ่งส่วนมากรถแต่งในยุคนั้นคนแต่งจะต้องมีหัวในการดัดแปลง และไม่เหมือนสมัยนี้ที่ใช้เงินซื้ออย่างเดียว"
"แต่พอเข้าสู่ยุคนี้ วัยรุ่นบ้านเรากลับนิยมนำรถสปอร์ทมาแต่งแข่งกันมากขึ้น เทคโนโลยีต่างๆ ก็เข้ามามีส่วนสำคัญในการปรับปรุงทั้งเครื่องยนต์และช่วงล่าง อีกทั้งของแต่งจากสำนักแต่งชื่อดังก็หาง่าย ทั้งในส่วนของชุดแต่งภายนอก/ภายใน รวมทั้งอุปกรณ์เพิ่มความแรงของเครื่องยนต์ทั้งหลาย อาทิ เทอร์โบ ซูเพอร์ชาร์จ แคมชาฟท์ ฯลฯ อีกอย่างเครื่องยนต์ก็เปลี่ยนเป็นระบบหัวฉีดแล้ว เลยทำให้รถแต่งสมัยนี้ ทั้งสวย ทั้งแรง ถึงแม้ขั้นตอนการโมดิฟายด์จะสลับซับซ้อนกว่าสมัยก่อนมาก แต่ความแรงที่ได้มานั้นถือว่าเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน"
ปิยะ นงค์โพธิ์ หรือที่เหล่าบรรดาสาวก ฮอนดา รู้จักกันดีในนาม "ป๊อป" P RACE ผู้เชี่ยวชาญรถยนต์ ฮอนดา เป็นพิเศษ เล่าให้ฟังว่า
"เมื่อสมัยก่อนนั้นราวๆ 15-20 ปีที่แล้ว อุปกรณ์ตกแต่งยังมีให้เลือกเล่นไม่มากนัก ถ้าจะแต่งรถก็ต้องพึ่งพาความสามารถของตนเอง และช่างที่ชำนาญ เพราะเครื่องยนต์สมัยก่อนส่วนมากเป็นระบบคาร์บูเรเตอร์ วิธีเพิ่มความแรง ก็ทำได้โดยไม่กี่วิธี เช่น คว้านลูกสูบ ทำฝาสูบ นำแคมชาฟท์ไปพอกเจียน เปลี่ยนคาร์บูเรเตอร์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เปลี่ยนนมหนูเบอร์ใหญ่ ซึ่งทำแค่นี้ก็แรงแล้ว แต่อย่างว่าอุปกรณ์ที่เพิ่มความแรงสมัยนั้น ส่วนมากจะผลิตคิดค้นกันเอง ดังนั้นความทนทานอาจจะสู้สมัยนี้ไม่ได้ ทำให้เครื่องยนต์ที่เค้นกันหนักจึงพังกันถ้วนหน้า"
"ในส่วนเรื่องความสวยงาม ในสมัยก่อนก็ฮิทโหลดเตี้ย และบ้างก็ยกสูง แต่ก็ใช้วิธีง่ายๆ คือ ตัดสปริง อัดน้ำมัน ผิดกันกับในสมัยนี้ที่จะใช้ของแต่ง ซึ่งคุณภาพดีกว่า แต่ราคาก็แพงขึ้นตามไปด้วย อีกอย่างในสมัยนี้หาของแต่งได้ง่าย ทุกอย่างเลยดูลงตัวไปหมด ไม่ว่าจะเป็นพวกชุดคิทของเครื่องยนต์ ชุดแต่งรอบนอก ซึ่งใครชอบแบบไหนก็สรรหากันมาใส่ แต่อยากแนะนำถึงรุ่นน้องๆ ว่า อย่าคำนึงถึงความแรงเท่านั้น ให้คำนึงถึงชีวิตด้วย ถ้าคิดจะทำเครื่องแรง ก็อย่าลืมทำเบรคให้ดีด้วย อีกอย่างในสมัยก่อน ไม่ค่อยมีสนามแข่ง ก็จะแข่งกันตามท้องถนน ซึ่งอันตรายมาก ก็ดีใจที่รอดช่วงเวลานั้นมาได้"
ปิยะ แพ่งสภา หรือ เปิ้ล ลาดพร้าว 42 ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของรถแข่งควอร์เตอร์ไมล์มาแล้วหลายคัน และรู้จริงเรื่องเครื่องยนต์ โตโยตา เป็นที่สุด เล่าถึงตำนานการแต่งรถเมืองไทยคล้ายๆ กันว่า
"เอาเป็นว่า เริ่มต้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว วัยรุ่นยุคนั้นจะแต่งรถโดยไม่ค่อยพิถีถันเรื่องความสวยงามเท่าใดนัก จะมีก็เพียงแค่เปลี่ยนล้อ เปลี่ยนยาง ตามสไตล์รถแข่งแรลลี ซึ่งจะยกสูง มากกว่าโหลดเตี้ย พวกชุดแต่งหรือ แอโรพาร์ท นั้นลืมไปได้เลยเพราะทั้งของไทยและของนอกยังไม่มีการผลิต แต่จะเน้นหนักไปในเรื่องการโมดิฟายเครื่องยนต์มากกว่า ซึ่งจะโมดิฟายกันเองแบบตามมีตามเกิด โดยจะพึ่งโรงกลึงเป็นหลัก เช่น ในส่วนของเครื่องยนต์ ถ้าต้องการเพิ่มความแรง ก็เริ่มตั้งแต่คว้านกระบอกสูบ เปลี่ยนขนาดลูกสูบ ขัดแต่งฝาสูบ นำแคมชาฟท์ไปพอกเจียน เปลี่ยนคาร์บูเรเตอร์ให้ใหญ่ขึ้น เพราะสมัยนั้น แทบจะไม่มีเครื่องยนต์ระบบหัวฉีดเลยต้องเล่นแรงแบบระบบคาร์บูเรเตอร์ ขั้นตอนการโมดิฟายด์ก็ไม่ยากมากนัก แค่มีพื้นฐานเรื่องเครื่องยนต์บ้างเป็นอันใช้ได้"
ปิยะ เล่าให้ฟังต่อว่า "หลังจากนั้นไม่นาน วิวัฒนาการการแต่งรถก็เปลี่ยนไป จากแต่งสไตล์รถแข่งแรลลี ก็เปลี่ยนเป็นสไตล์รถแข่งทางเรียบแทน รถที่ยกสูงกลับโหลดเตี้ยแทบติดพื้น ใครที่แต่งรถได้เตี้ยที่สุดถือว่าเท่มาก ส่วนเรื่องเครื่องยนต์ไม่ค่อยใส่ใจเท่าไร แต่พอถึงปัจจุบันนี้ จะนิยมแต่งรถให้สวยและแรงไปพร้อมๆ กัน คือ จะใช้ของแต่งหรืออุปกรณ์อัพเกรดแทนการดัดแปลง เครื่องยนต์เปลี่ยนเป็นระบบหัวฉีด อีกทั้งยังโมดิฟายด์เต็มพิกัด เช่น เซทเทอร์โบ เปลี่ยนกล่อง อีซียู ที่สามารถทูนได้ ภายนอกเสริมชุดแต่งจากสำนักแต่งชื่อดัง ทั้งฝากระโปรงเคฟลาร์ สปอยเลอร์รอบคัน ภายในแต่งสไตล์สปอร์ท ด้วยเบาะบัคเกทซีท พวงมาลัยทรง "ซิ่ง" เกจวัดครบชุดบนคอนโซล ถือได้ว่ายุคนี้รถสวย และแรงที่สุดแล้ว"
สกล นกแก้ว หรือ ช่างแก้ว แห่งอู่ MITSU ONLY ผู้ที่หลงใหลในมนต์เสน่ห์ รถยนต์ มิตซูบิชิ และรับโมดิฟายเฉพาะรถ มิตซูบิชิ เท่านั้น
"วัยรุ่นสมัยก่อนนั้น แต่งรถเอาแต่ความมันเพียงอย่างเดียว ไม่สวยไม่ว่าขอให้แรงไว้ก่อน โดยจะมุ่งเน้นการโมดิฟายด์เครื่องยนต์เป็นหลัก ซึ่งเครื่องยนต์ในสมัยก่อนนั้นมันโบราณใช้ระบบคาร์บูเรเตอร์ ถ้าอยากแรงก็แค่ ทำฝาสูบ พอกเจียนแคมชาฟท์ เปลี่ยนเบอร์นมหนู และเปลี่ยนคาร์บูเรเตอร์ใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น และรถในสมัยนั้น ส่วนมากจะเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง เวลาขับออกตัว ต้องออกตัวให้ล้อหมุนฟรี เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแรง ซึ่งผิดจากสมัยนี้ที่ไม่อยากให้ล้อฟรีมากนัก เพราะต้องการให้ถ่ายแรงม้าลงพื้นให้หมด สมัยก่อนเน้นการโหลดตัดแกนชอค แต่สมัยนี้เปลี่ยนชุดโหลดแบบสตรัทปรับเกลียว ล้อแมกที่จากเดิม ฮิทขนาด 13-14 นิ้ว จะถูกแทนที่ด้วยขนาด 17-18 นิ้ว เครื่องยนต์ก็เปลี่ยนใหม่เป็นระบบหัวฉีด โมดิฟายด์ยากขึ้น แต่แรงกว่ามาก ส่วนอุปกรณ์เสริมความแรง ก็หาง่าย อะไหล่มือสองก็เยอะ แต่แนะนำว่าให้แต่งควบคู่กันไปทั้งในส่วนของเครื่องยนต์ และระบบช่วงล่าง เพื่อความปลอดภัย"
"สมัยก่อน สนามแข่งรถยังมีไม่มากเหมือนในสมัยนี้ การลองรถก็จะลองกันตามท้องถนน ซึ่งอันตรายมาก และอยากให้วัยรุ่นที่แต่งรถและอยากทดลอง ให้มาแข่งกันที่สนามแข่งจะดีกว่า เพราะไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร อีกทั้งยังทราบถึงความแรงของรถได้ดีกว่าบนท้องถนน"
อุปกรณ์ และชุดแต่งยอดนิยม
ล้อแมก
อุปกรณ์ และชุดแต่ง อันดับแรกคงต้องยกให้ ล้อแมก เพราะเป็นอุปกรณ์ที่เพิ่มความสวยงามให้กับรถได้อย่างทันตาเห็น และไม่ว่าจะเป็นรถค่ายไหน รุ่นอะไร ก็สามารถสรรหามาใส่กันได้ตามกำลังทรัพย์ของแต่ละบุคคล ถ้าใครเงินถึงหน่อย ก็อาจจะเลือกล้อแมกมือหนึ่ง ซึ่งราคาเริ่มต้นที่วงละ 2,000-50,000 บาท แต่พวกเบี้ยน้อยหอยน้อยก็คงต้องพึ่งพาล้อแมกมือสองแทน ราคาก็ย่อมเยาลงมาหน่อย อยู่ที่ประมาณวงละ 2,000-10,000 บาท ขึ้นอยู่ว่าเป็นของยี่ห้ออะไร และขนาดเท่าไร และรุ่นไหนที่กำลังมาแรง
เวลานี้กระแสล้อแมกขนาดโอเวอร์ไซส์ กำลังมาแรง โดยเล่นกันตั้งแต่ขนาด 18-22 นิ้ว ถึงแม้ว่าขนาดจะใหญ่เกินตัวไปสักหน่อย และทำให้รถกินน้ำมันมากขึ้น แต่เพื่อความสวยบวกกับความเท่ จะกินน้ำมันเหมือนโดนปล้นก็ยอม
เมนูแนะนำ
เมร์เซเดส-เบนซ์ ได้แก่ AMG/LORINSER/WALD/FAB/CARLSON/BBS MAE/BRABUS
บีเอมดับเบิลยู ได้แก่ HAMANN/AC-SCHNITZER/ALPINA/BREYTON/M-TECHNIC/BBS
โตโยตา ได้แก่ TRD/ENKAI/BLITZ/ADVAN /AVS/W-WORK /LOWENHART
นิสสัน ได้แก่ NISMO/ENKAI/SPARCO/G7/VOLK/SSR/VERSUS
ฮอนดา ได้แก่ MUGEN/SPOON/BUDDY-CLUB/ENKAI/W-WORK
มิตซูบิชิ ได้แก่ EVO/RALLY-ART/ENKAI/ADVAN/DTM
มาซดา ได้แก่ MAZDA-SPEED/RE-AMIYA/W-WORK/VOLK
แอโรพาร์ท
อุปกรณ์ชิ้นต่อมาที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน นั่นคือ แอโรพาร์ท หรือ ชุดแต่งภายนอก แต่ก็ไม่ใช่ว่ารถทุกคันจะสามารถใส่ด้วยกันได้ เพราะผู้ผลิตจะผลิตออกมาเฉพาะรถ เฉพาะรุ่น เรียกได้ว่าสำนักใครสำนักมัน บางครั้งสำนักเดียวกันยังใส่ด้วยกันไม่ได้เลย และเหตุที่ทำให้ชุดแต่งภายนอกได้รับความนิยม คงเป็นเพราะความสวยงามแปลกตา เสริมมาดเข้มตามแบบฉบับรถ "ซิ่ง" ซ้ำยังทำให้รถตลาดทั่วไปที่วิ่งกันเกลื่อนเมืองนั้น กลายร่างเป็นรถสปอร์ทได้ไม่ยาก อาจต้องเจาะตัวถังในการติดตั้ง แต่เพื่อความสวยงาม เท่ไม่ซ้ำใคร ต่อให้เจาะรถจนพรุนก็ยอม ราคาค่าตัวก็ไม่ถูกไม่แพงเริ่มต้นที่ชุดละ 20,000-100,000 บาท แล้วแต่รุ่นและยี่ห้อ
เมนูแนะนำ
เมร์เซเดส-เบนซ์ ได้แก่ AMG/LORISER/WALD/FAB/BRABUS
บีเอมดับเบิลยู ได้แก่ HAMANN/AC-SCHNITZER/ ALPINA/BREYTON/M-TECHNIC
โตโยตา ได้แก่ TRD/TOM'S/C-WEST/VEILSIDE
นิสสัน ได้แก่ NISMO/TOPSECRET/TBO/C-WEST/BOMEX/URAS/ VEILSIDE
ฮอนดา ได้แก่ MUGEN/SPOON/SAMURAI/MODULO
มิตซูบิชิ ได้แก่ EVO3-7/RALLY-ART
มาซดา ได้แก่ MAZDA-SPEED/RE-AMIYA/C-WEST
เบาะ
อุปกรณ์ชิ้นต่อมา เป็นอุปกรณ์เสริมความมั่นใจในการขับขี่ อีกทั้งยังเสริมมาดสปอร์ทภายในห้องโดยสาร นั่นคือ เบาะนั่งแบบบัคเกทซีทนั่นเอง ซึ่งเบาะนั่งที่ว่านี้ ออกแบบมาสำหรับรถสปอร์ท หรือรถแข่งที่ใช้ความเร็ว และต้องการความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งจุดนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่วัยรุ่นบ้านเราต่างขวนขวายหามาใส่ แต่เพราะความเท่ผสมผสานความสปอร์ทที่ลงตัวอีกต่างหาก ที่เป็นจุดสำคัญในการเรียกเงินให้ออกจากกระเป๋าสตางค์วัยรุ่นบ้านเราได้เป็นอย่างดี และไม่ว่าจะเป็นรถรุ่นไหนก็สามารถติดตั้งได้
เมื่อติดตั้งเข้าไปแล้วความสะดวกสบายในการขับขี่ย่อมหายไปบ้าง แต่ถ้าแลกกับความสวยและความปลอดภัย แพงเท่าไรก็ยอมจ่าย ราคาค่าตัวเริ่มต้นที่ตัวละ 5,000-40,000 บาท ขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อ
เมนูแนะนำสำหรับรถยนต์ทุกประเภท ได้แก่ RECARO/SPARCO/BRIDE
มาตรวัด
อุปกรณ์ชิ้นสุดท้าย ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้ชิ้นอื่นๆ ได้แก่ เกจวัดการทำงานเครื่องยนต์ ซึ่งอุปกรณ์ชนิดนี้บางคนอาจจะคิดว่าไม่สำคัญ แต่สำหรับผู้ที่รักการแต่งรถแล้วมันเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ เพราะนอกเหนือจากเพิ่มความสวยงามภายในห้องโดยสารแล้ว ยังสร้างความอุ่นใจแก่ผู้ขับได้อีกด้วย เพราะมันจะแสดงค่าการทำงานของเครื่องยนต์ในส่วนอื่นๆ ที่เกจวัดมาตรฐานติดรถไม่มี ซึ่งเกจวัดเหล่านี้จะได้รับความนิยมแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าใครต้องการวัดการทำงานเครื่องยนต์ส่วนไหน บางคนนิยมซื้อครบชุดตามสไตล์รถแข่ง ราคาค่าตัวเริ่มต้นที่ประมาณตัวละ 2,000-6,000 บาทแล้วแต่รุ่น และยี่ห้อ
เมนูแนะนำสำหรับรถยนต์ทุกประเภท ได้แก่ AUTOMETER/SARD/BLITZ/HKS/DEFI/ GREDDY/PIVOT/APEX/OMORI
รถน่าแต่ง
รถยอดนิยมในตลาดทุกรุ่น มักจะผ่านมือสำนักแต่งมาแล้วทั้งนั้น ซึ่งรถน่าแต่งในปัจจุบันก็หนีไม่พ้นรถในกลุ่มนี้
ฮอนดา แจซซ์
เริ่มกันที่รถยอดฮิท แจซซ์ (JAZZ) หรือ ฟิท (FIT) รถแบบ 5 ประตู รูปทรงคล้าย เอมพีวี ย่อส่วน ที่เราๆ คุ้นเคยกันดี ทั้งรุ่นพื้นฐาน ไอ-ดีเอสไอ (I-DSI) 88 แรงม้า ที่มีระบบเกียร์อัตโนมัติแปรผันต่อเนื่อง หรือ ซีวีที 7 จังหวะ และสวิทช์ปรับบวก/ลบเกียร์บนพวงมาลัย รุ่นนี้อาจดูขาด เพราะไม่มีสปอยเลอร์หลังคา ภายในสีเทา เบาะอุลทราซีท ราคาเริ่มที่ 513,000 บาท ในรุ่น 1.5 อี เกียร์ธรรมดา สูงกว่า ซิที (CITY) 1.5 เอ อยู่ 1,000 บาท และ 548,000 บาท รุ่นเกียร์อัตโนมัติ ถ้าชอบตัวแรง ฮอนดา มีเครื่องยนต์ วีเทค 110 แรงม้า ที่มาพร้อมชุดแต่งรอบคัน ภายในสีดำ เกียร์ธรรมดา 622,000 บาท เกียร์อัตโนมัติ 657,000 บาท และรุ่นทอพ เพิ่ม เอบีเอส และถุงลมนิรภัย 690,000 บาท
ฮอนดา ซีวิค
ซีวิค (CIVIC) รถยนต์ขนาดกลางใหม่ รูปทรงทันสมัย ลู่ลม ตามหลักอากาศพลศาสตร์ หน้าโฉบเฉี่ยว ไฟท้ายโดนัท มาตรวัดเล่นระดับและพวงมาลัยแบบสปอร์ท เครื่องยนต์ 4 สูบเรียง ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ 16 วาล์ว ไอ-วีเทค 1.8 ลิตร 140 แรงม้า และ 2.0 ลิตร 155 แรงม้า โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 763,000 บาท สำหรับรุ่น 1.8 เอส เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ 799,000 บาท ถ้าต้องการระบบ เอบีเอส และถุงลมนิรภัยด้วย ฮอนดา มีรุ่น 1.8 เอส เอเอส 845,000 บาท ให้เลือก ส่วนรุ่น 1.8 อี ที่จ่ายเพิ่มอีกเกือบแสนแลกกับล้อแมกขนาด 16 นิ้ว และภายในห้องโดยสารบุหนังนั้น แนะนำให้ขยับขึ้นไปเลือกรุ่น 2.0 อี น่าจะขับสนุกกว่า เพราะมีระบบควบคุมเกียร์หลังพวงมาลัยแบบรถแข่งให้ได้เล่นอีกด้วย ในราคา 1,020,000 บาท
โตโยตา ยารีส
ยารีส (YARIS) หรือ วิทซ์ (VITZ) รถ 5 ประตู 1.5 ลิตร 109 แรงม้า ลูกพี่ลูกน้อง วีออส (VIOS) เวอร์ชันใหม่ ที่ปรับเปลี่ยนด้านหน้าแบบยกชุด ให้ดูน่ารักกว่าเดิม ซึ่งมีให้เลือกถึง 6 รุ่น คือ รุ่นมาตรฐาน อี เกียร์ธรรมดา ราคา 599,000 บาท เกียร์อัตโนมัติ 634,000 บาท หรูขึ้นมาเป็นรุ่น จี ราคา 699,000 บาท เพิ่มไฟตัดหมอก และเบาะหลังเลื่อนและแยกพับได้ จี-ลิมิเทด 739,000 บาท บุภายในด้วยหนัง รีโมทแบบกระจายคลื่น เปิด/ปิดลอครถอัตโนมัติ กับปุ่มสตาร์ท และ รุ่น สปอร์ท เอส 719,000 บาท มีชุดแต่งรอบคันมาให้ พร้อมกับเปลี่ยนสีภายในเป็นสีดำและมาตรวัดเป็นสีส้ม ส่วนตัวทอพสุดคือ เอส-ลิมิเทด 749,000 บาท ล้อแมกขนาด 16 นิ้ว ยาง 195/50/16 ขยายจานเบรคหน้า เพิ่มจานเบรคหลัง เปลี่ยนสปริงและชอคอับเป็นแบบสปอร์ท และเสริมหล่อด้วยไฟหน้าแบบ เอชไอดี
และที่มองข้ามไม่ได้สำหรับค่าย โตโยตา ก็เป็น วีออส และวิช (WISH)
ส่วนรถระดับหรูราคาสูงกว่า 2 ล้านบาท ทั้ง บีเอมดับเบิลยู/เมร์เซเดส-เบนซ์ และรถยุโรปค่ายอื่นๆ แค่เปลี่ยนล้อใหม่สักชุดยังต้องคิดหนัก บอกเลยว่า แต่งได้ตามแคทาลอกเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นเศษเหล็กไร้ค่า และค่าใช้จ่ายเพื่อตกแต่งรถพวกนี้สูงมาก จนไม่คุ้มค่าเงิน
บัญญัติ 10 ประการของนักแต่ง
1. คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก เพราะถ้าพูดถึงเรื่องอุบัติเหตุ ย่อมไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น และไม่มีผลดีแก่ใครทั้งสิ้น ดังนั้นอะไรที่เป็นการส่อถึงอุบัติเหตุ ต้องคิดเสมอว่าอย่าทำเด็ดขาด พลาดพลั้งไปมันจะได้ไม่คุ้มเสีย
2. คิดถึงเงินในกระเป๋า และต้องรู้ตัวเองเสมอว่า เราอยู่ในฐานะอะไร ถ้ายังเป็นนักเรียนนักศึกษาไม่มีเงินรายได้ ต้องแบมือขอพ่อแม่ มันก็ออกจะเกินตัวไปสักหน่อย แต่ถ้ามีงานทำ แล้วจะแต่งเท่าไรมันก็คือสิทธิของคุณ ไม่เดือดร้อนใครก็ทำไปเถอะ
3. คำนึงถึงความคุ้มค่า คุ้มราคา ของแต่งแต่ละอย่างในสมัยนี้ ราคาแพง มีทั้งทันสมัย และตกรุ่น ต้องคิดให้ดีก่อนซื้อ เพราะถ้าซื้อมาแล้ว มันไม่เป็นอย่างที่คิด ก็ถือว่าตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
4. มีจุดหมายที่แน่นอน ทำความเข้าใจกับตัวเองก่อนว่า จะแต่งรถเพื่อจุดประสงค์ใด ถ้าต้องการใช้งานทั่วไป ก็ควรปรับแต่งเพียงเล็กน้อยให้สอดคล้องกับการใช้งาน แต่ถ้าต้องการแต่งเพื่อ "ซิ่ง" ก็พึงสังวรไว้ว่า...ถนนไม่ใช่สนามแข่ง
5. ต้องใช้สมอง เพราะผู้ที่อ้างว่ารู้เรื่องการแต่งรถมีมากมายหลายสำนัก ใช้วิจารณญาณในการรับฟัง ถ้าขืนฟัง และเชื่อทุกคน รับรองได้เลยว่าเละ
6. คำนึงถึงพื้นฐานของรถ ต้องรู้ก่อนว่ารถของเราเป็นรถอะไร มีพื้นฐานการใช้งานเป็นอย่างไร ถ้าเป็นรถบ้านทั่วไปที่มีเอาไว้เพื่อใช้งาน ถ้านำมาแต่ง "ซิ่ง" และแข่งขันก็ดูจะไม่เข้าที่และขุนยาก แต่ถ้าเป็นรถสปอร์ทก็สามารถแต่ง "ซิ่ง" เพื่อการแข่งขันจะได้ขุนง่าย ไม่เสียเงินมาก
7. เคารพกฎหมาย เพราะรถแต่งแต่ละคัน ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว ก็ล้วนแต่ผิดกฎหมายทั้งสิ้น ในข้อหาดัดแปลงสภาพรถ ถ้าแต่งสวยงามไม่ระรานใครก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าแต่งเครื่องเสียงดังหนวกหู ชาวบ้านจะพากันสรรเสริญกันถ้วนหน้ามันไม่ถูกต้อง
8. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เป็นการปรับปรุงข้อด้อยของรถ ไม่ใช่แต่งแล้วสมรรถนะของรถแย่ลง ถ้าอย่างนั้นก็อย่าแต่งมันเสียเลย ปล่อยไว้อย่างเดิมน่ะดีแล้ว
9. คำนึงเสียงคนรอบข้างบ้าง มันอาจจะจริงที่การแต่งรถขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล แต่ถ้าแต่งแล้วมันดูประหลาด ผิดแปลกไปจากพวกพ้อง ก็น่าเสียดายรถ ให้รับฟังคำวิจารณ์ของคนรอบข้าง อาจจะได้ข้อคิดอะไรดีๆ
10. มีพื้นฐานความรู้เรื่องรถอยู่บ้าง เพราะธรรมชาติของรถแต่ง จะแตกต่างไปจากรถสแตนดาร์ด และค่อนข้างต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ถ้าคิดแต่จะพึ่งพาช่างซ่อม คงไม่เป็นการดีแน่ และถ้ารักจะแต่งก็ต้องรักที่จะซ่อมด้วย
นานาทัศนะเรื่องแต่งรถ
พฤฒิรัตน์ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ประธานบริหาร บริษัท เอม มอเตอร์ สปอร์ต (2003) จำกัด
"การแต่งรถให้สวยงาม หรือแรง ขึ้นอยู่กับนิสัยของคนที่แต่ง แล้วแต่ความชอบ เพราะบางครั้งรถที่ซื้อมายังมีบางจุดที่ยังไม่พอใจ จึงต้องการทำให้ดีขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่คนที่ใช้รถทั่วไปจะนิยมแต่งเพื่อความสวยงาม เหมือนผู้หญิงแต่งตัว เช่น เปลี่ยนแมก ยาง
เครื่องเสียง ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง จะเน้นเรื่องโมดิฟายด์ เช่น รถสูงทำให้ต่ำ
สำหรับการแต่งเพื่อความสวยงาม ส่วนใหญ่มี รถ กำลังทรัพย์ และความพอใจ ก็สามารถทำได้เลย แต่ รถใหม่ จะมีสเปค และข้อกำหนดต่างๆ จึงจำเป็นต้องศึกษาถึงการรับประกัน ความปลอดภัย เพราะหากการแต่งไปกระทบกับการรับประกัน หรือความปลอดภัย ก็จะทำให้เกิดปัญหา และบางครั้งอาจจะหมดเวลาการรับประกันจากบริษัทรถยนต์
การแต่งแบบโมดิฟายด์ ไม่เห็นด้วย เพราะส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเด็ก ที่ต้องการความแรง แต่ไม่มีรายได้ ต้องพึ่งพาพ่อแม่ และไม่เกิดผลดีในหลายด้าน เช่น ทำให้อายุการใช้งานสั้นลง ซื้อรถมา 1 ปี แต่ไปอยู่อู่ 6 เดือน เดี๋ยวเปลี่ยนโน่น เปลี่ยนนี่ เป็นการใช้เงินโดยเปล่าประโยชน์ ใช้เงินผิดวิธี เพราะผมเคยผ่านประสบการณ์นี้มาแล้ว
อีกอย่างค่าใช้จ่ายจะแพงมาก ร้านโมดิฟายด์ก็เกิดขึ้นมาก จนกลายเป็นตลาดใหญ่ และส่วนใหญ่ก็จะแนะนำให้ข้อมูลว่าดี แรง แต่ไม่บอกถึงผลที่จะตามมา จะว่าไปแล้ว ความเหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน รวมถึงวิธีการใช้งานด้วย
รถสมัยใหม่นั้น เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อหลาย 10 ปีก่อน จะค่อนข้างมีออพชันครบ ไม่ว่าจะเป็น ยาง แมก วิทยุ แอร์ ซึ่งหากใช้งานปกติ และแต่งให้สวยงาม ก็แค่เปลี่ยน ยาง กับ แมก แต่หากนำมาโมดิฟายด์ จะทำให้เกิดปัญหาในหลายด้าน เพราะรถส่วนใหญ่จะมีคอมพิวเตอร์ควบคุม หากเจอช่างที่ไม่มีประสบการณ์ และความรู้ จะทำให้เกิดปัญหาตามมา
การแต่งรถ สิ่งสำคัญต้องคำนึงถึง การใช้งาน เพราะปัจจุบันรถมีอยู่มากมายหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ขับหน้า ขับหลัง 4X4 ต้องดูความเหมาะสม ว่าใช้เพื่อวัตถุประสงค์อะไร
สิ่งสำคัญ คือ คุณมีความรู้มากน้อยเพียงใด ก่อนที่จะทำ ต้องถามตัวเองว่ามีความรู้หรือไม่ อย่าไปเชื่อคำแนะนำของร้านทั่วไป คำนึงถึงตัวรถว่าหากทำอะไรไปแล้ว จะไม่ขัดกับการรับประกันของรถ ดังนั้นการแต่งรถจะมีปัญหาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัย ว่าทำได้แค่ไหน และจะทำอย่างไร"
เจษฎา ตัณฑเศรษฐี หัวหน้าสาขาวิชาวิศวกรรมยานยนต์ มหาวิทยาลัยรังสิต และที่ปรึกษาฝ่ายเทคนิค ศูนย์บริการกล้วยน้ำไท
"ในความเห็นส่วนตัวของผม น่าจะแบ่งการแต่งได้ 5 ประเภท คือ เครืองยนต์ ช่วงล่าง ระบบเบรค แอโรไดนามิคส์ และประเภทสวยงาม
การแต่งรถ คือ การปรับปรุงรถให้ดีขึ้น จึงไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น คนที่จะแต่งรถต้องมีความพร้อมก่อน โดยเฉพาะด้านการเงิน ต้องมีเงินเหลือ หลังจากใช้ในเรื่องที่จำเป็นจนครบถ้วนแล้วเท่านั้น
ถ้าพร้อมในจุดนี้แล้ว ค่อยถามตัวเองว่าต้องการอะไร การแต่งรถให้สวยงามอย่างเดียว มีโอกาสให้ทำไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะมีผลทางเทคนิคควบคู่กันเสมอ เช่น ชอบกระทะล้อวงใหญ่กับยางซีรีส์ต่ำ ใส่แล้วความสะเทือนจะเพิ่มขึ้น แต่การเกาะถนนในโค้งที่ความเร็วใกล้ลิมิทก็จะดีขึ้นด้วย หรือชอบสปอยเลอร์ เพราะมองดูสวยดี ถ้าเป็นของแท้ผ่านการทดลองและทดสอบมาอย่างดี ก็อาจจะช่วยลดแรงต้านอากาศ หรือลดแรงยกตัวรถที่ความเร็วสูง ทำให้รถทรงตัวดีขึ้นเล็กน้อยได้ แต่ถ้าเป็นของเทียม ออกแบบกันตามใจชอบ ก็อาจให้ผลตรงกันข้าม คือ ต้านลมกว่าเดิม เพิ่มแรงยกตัวถังที่ความเร็วสูง บางรุ่นอาจจะมีเสียงลมปะทะรบกวนตลอดเวลาที่ขับทางไกลด้วย
ความคุ้มค่าของการลงทุนแต่งรถ ไม่มีกฎเกณฑ์ที่ใช้เป็นมาตรฐานได้เลย ขึ้นอยู่กับฐานะของเจ้าของรถ ราคา และค่าแรงในการแต่ง รวมทั้งความแตกต่างด้านบวกที่ได้ในการใช้งานหลังแต่งแล้ว ยกตัวอย่าง เช่น เสียค่าสปอยเลอร์ และสเกิร์ทรอบคัน ราคาเป็นหมื่น โดยหวังจะให้ประหยัดเชื้อเพลิง และให้รถทรงตัวดีที่ความเร็วสูง แต่เมื่อวัดความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และลองขับที่ความเร็วสูงแล้ว ก็ไม่เห็นความแตกต่าง อย่างนี้เรียกว่าไม่คุ้มค่า แต่ถ้าแต่งเครื่องยนตืให้แรงขึ้น แต่งช่วงล่างให้เกาะถนนขึ้น แต่งระบบเบรคให้มีสมรรถนะสูงขึ้น ในราคาอีก 3 แสนบาท แล้วรถของเรามีสมรรถนะพอๆ กับรถรุ่นอื่นที่ราคาแพงกว่าหนึ่งล้านบาท แบบนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าได้ มีข้อแม้สำคัญก็คือ เมื่อใช้เงิน 3 แสนนี้แล้ว ต้องไม่กระทบต่อความเป็นอยู่ของตนเอง (ถ้ายังโสด) หรือมีครอบครัว
อยากจะเสริมในเรื่องข้อเสีย ของการแต่งรถไม่มีขอบเขต ไม่อยู่ในกรอบของกฎหมาย ซึ่งมีอันตรายทั้งตนเองและผู้อื่น หรืออาจจะไม่ก่ออันตรายโดยตรง แต่ก็ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น เช่น การใช้ท่อไอเสียดังเกินมาตรฐานอย่างมาก
เป็นธรรมชาติของมนุษย์ส่วนใหญ่ ที่ต้องการปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่ให้ดีขึ้น บางคนต้องการมีของที่ไม่ค่อยมีใครมี แสดงความเป็นตัวของตัวเอง บางคนก็รู้สึกดีกับสิ่งที่ได้ปรับปรุง ว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป เป็นต้น"
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการ
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : พิเศษ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/8363