ทั่วไป
เดินทางท่องเที่ยวกับหน้าเทศกาล ไม่ว่าจะเป็นงานอะไร พี่ไทยไปด้วยหมด รอบนี้ก็ฉลองตรุษจีนอีกแล้ว ก็ต้องมีรายการเดินทางท่องเที่ยว ทั้งที่น้ำมันราคาแพงระยับอย่างนี้
เดินทางท่องเที่ยวกับหน้าเทศกาล ไม่ว่าจะเป็นงานอะไร พี่ไทยไปด้วยหมด รอบนี้ก็ฉลองตรุษจีนอีกแล้ว ก็ต้องมีรายการเดินทางท่องเที่ยว ทั้งที่น้ำมันราคาแพงระยับอย่างนี้
เพิ่งหมดลอยกระทง ก็มีคริสต์มาส ปีใหม่ ฉลองกันไปยังไม่ทันหายเหนื่อย เดี๋ยวก็ต้องหยุดสงกรานต์ 4 วันกันอีกแล้ว โอย เป็นคนไทยทำไมงานเลี้ยงเยอะจัง
โค้งอันตรายหนนี้ ขอว่าด้วยเรื่องพลังงานทดแทนกันอย่างจำเพาะเจาะจง เพราะแย๊บเข้ามาหลายหนแล้ว แต่ไม่มีโอกาสเล่าแจ้งแถลงไขกันให้ละเอียด
เริ่มด้วยเรื่อง แกสธรรมชาติอัด COMPRESSED NATURAL GAS หรือ ซีเอนจี กับแกสปิโตรเลียมเหลว LIQUEFIED PETROLEUM GAS หรือ LPG ส่วนเรื่องไบโอดีเซล แกสโซฮอล หรืออย่างอื่น ถ้ามีโอกาสจะเก็บความละเอียดเอามาเล่าสู่กันฟังอีกที
บรรดาผู้ใช้รถในแวดวงย่อมทราบกันดีอยู่ว่า บรรดาแทกซีที่วิ่งกันอยู่บนท้องถนนทุกวันนี้ ส่วนใหญ่จะใช้แกสอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นพลังงานในการขับเคลื่อนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น แอลพีจี หรือ ซีเอนจี เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง เพราะทั้ง 2 อย่างมีราคา/ลิตรไม่ถึง 10 บาท ในขณะที่น้ำมันเบนซิน โด่งขึ้นไปลิตรละกว่า 24 บาทเข้าไปแล้ว
เรามาทำความรู้จักกับ แกสปิโตรเลียมเหลว หรือ แอลพีจี ที่รถรุ่นแรกๆ ติดตั้งกันมาก่อน
แอลพีจี เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน มีองค์ประกอบของแกสโพรเพน PROPANE เป็นส่วนใหญ่ เป็นแกสที่หนักกว่าอากาศ โดยตัว แอลพีจี เองไม่มีสี ไม่มีกลิ่นเช่นเดียวกับแกสธรรมชาติ แต่เนื่องจากเป็นแกสที่หนักกว่าอากาศจึงมีการสะสมและลุกไหม้ได้ง่าย ดังนั้น จึงมีข้อกำหนดให้เติมสารมีกลิ่น เพื่อเป็นการเตือนภัยหากเกิดการรั่วไหล ก็จะได้กลิ่นก่อนเพื่อให้สามารถตรวจสอบได้
แอลพีจี ส่วนใหญ่จะใช้เป็นเชื้อเพลิงในครัวเรือน และกิจการอุตสาหกรรม โดยบรรจุเป็นของเหลวใส่ถังที่ทนความดันเพื่อให้ขนถ่ายง่าย นอกจากนี้ ยังนิยมใช้แทนน้ำมันเบนซินในรถยนต์ เนื่องจากราคาถูกกว่า และมีค่าออคเทนสูงถึง 105 RON
เจ้าตัวนี้แหละครับ ที่เอามาใช้ในแทกซีรุ่นแรกๆ ที่พอเข้าไปนั่งแล้ว จะได้กลิ่นหอมฉุยตลอดทางส่วน แกสธรรมชาติ ซีเอนจี เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนซึ่งมีองค์ประกอบของแกสมีเธน METHANE เป็นส่วนใหญ่ จึงเป็นแกสที่มีน้ำหนักเบากว่าอากาศ การขนส่งไปยังผู้ใช้จะขนส่งผ่านทางท่อในรูปแกสภายใต้ความดันสูง จึงไม่เหมาะสำหรับการขนส่งไกลๆ หรืออาจบรรจุใส่ถังในรูปแกสธรรมชาติอัดโดยใช้ความดันสูง
แต่ปัจจุบันมีการส่งก๊าซธรรมชาติในรูปของเหลวโดยทำแกสให้เย็นลงถึง -160 องศา เซลเซียส จะได้ของเหลวที่เรียกว่า LIQUEFIED NATURAL GAS หรือ LNG ซึ่งสามารถขนส่งทางเรือไปที่ไกลๆ ได้ และเมื่อถึงปลายทางก่อนนำมาใช้ก็จะทำให้ของเหลวเปลี่ยนสถานะกลับเป็นแกสอย่างเดิม แกสธรรมชาติมีค่าออคเทนสูงถึง 120 RON จึงสามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในยานยนต์ได้ แต่สิ่งที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ ก็เพราะผู้ใช้รถที่ไม่ใช่แทกซี หันไปติดตั้ง แอลพีจี กันมากขึ้น ในขณะที่ ปตท. เอง ก็รับนโยบายรัฐมา สนับสนุนการติดตั้ง ซีเอนจี ในรถแทกซี โดยอุดหนุนค่าติดตั้งถึง 1 หมื่นบาท
ปัญหาก็คือ มีการใช้แกส แอลพีจี กันมาก่อน ดังนั้น สถานีบริการเติมแกส แอลพีจี จึงมีอยู่มากมาย ผู้ใช้รถสามารถจดจำสถานที่สถานีบริการกันได้แล้ว ในขณะที่แกส ซีเอนจี จำเป็นต้องใช้ถังแกสที่ทนต่อแรงอัด หรือความดันมากกว่า ทำให้มีน้ำหนักของถังมากกว่า และสถานีบริการก็มีเพียงไม่กี่แห่ง ถึงแม้จะระดมสร้างกันยกใหญ่ก็เถอะ
ที่บรรดาประชาชนหันมาติดตั้งแกส แอลพีจี ก็เพราะข่าวคราวของผู้ใช้แกสโซฮอล แล้วมีปัญหาในระยะยาว ที่ชักเริ่มเป็นข่าวกันมากขึ้น ว่ากัดกร่อนท่อยางต่างๆ ภายใน ทำให้เครื่องยนต์มีปัญหา ในขณะที่การติดตั้งแกส แอลพีจี สำหรับรถยนต์ มีราคาประมาณคันละ 7,000-8,000 บาทเท่านั้น และบรรดาแทกซีก็ใช้กันมายาวนาน ในขณะที่อุปกรณ์ติดตั้งแกส ซีเอนจี มีราคามากกว่าคันละ 30,000 บาท แถมหาที่ติดตั้งก็ยาก
ภาครัฐ ซึ่งตั้งหน้าจะส่งเสริมให้มีการใช้แกส ซีเอนจี ก็เตรียมจะหามาตรการคุมกำเนิดทั้งห้ามนำเข้าอุปกรณ์เก่าของ แอลพีจี และคุมกำเนิดปั๊ม แอลพีจี
เพราะท่านอ้างว่าเป็นการใช้ แอลพีจี ผิดวัตถุประสงค์ ทั้งที่ แอลพีจี เป็นแกสที่มีมูลค่าเพิ่มมากกว่าการนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง โดยราคาตลาดโลกมีมากกว่า 500 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน และยังได้รับการอุดหนุนโดยผู้ใช้น้ำมันผ่านกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ปัจจุบันชดเชยประมาณ 3 บาท/กก. และยังได้รับการชดเชยจากโรงกลั่นน้ำมันและโรงแยกแกส ฯ ที่ถูกกำหนดราคาหน้าโรงกลั่นที่ 315 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน หรือราคาถูกกว่าตลาดโลกอีก 3 บาท/กก.
การที่รัฐยังเข้าไปชดเชยราคา แอลพีจี สำหรับผู้ใช้รถยนต์ จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีผู้นิยมใช้ แอลพีจี มากยิ่งขึ้น และไม่เป็นธรรมสำหรับผู้ใช้น้ำมันที่เป็นผู้ใช้รถยนต์เช่นกัน แต่ต้องไปเอาเงินกองทุนไปอุดหนุนผู้ใช้แอลพีจี ดังนั้น รัฐบาลควรจะยกเลิกการอุดหนุนราคา แอลพีจี สำหรับรถยนต์ โดยควรอุดหนุนเฉพาะผู้ใช้แอลพีจี สำหรับการหุงต้มอาหารเท่านั้น
เรื่องเงินๆ ทองๆ ย่อหน้าที่ผ่านมานี่ ภาครัฐเป็นคนกล่าวอ้างนะครับ แต่ถ้าอยากรู้รายละเอียด คงต้องรบกวนแวะไปเยี่ยมใช้บริการในร้านกาแฟที่พันทิพดอทคอมแล้วละครับ เพราะในนั้นมีให้เลือกได้ว่าอยากจะยืนอยู่ข้างผู้บริโภค หรืออยากจะยืนฟากภาครัฐ รับประกันได้ว่าไม่ผิดหวังจริงๆ
ก็ให้สงสารคนไทยตาดำๆ นะครับ รัฐบาลในโลกนี้ส่งเสริมให้พลเมืองของตนใช้แกสแทนน้ำมันเบนซินหรือดีเซล โดยเฉพาะในภาคการขนส่ง เพื่อต้องการลดมลภาวะในอากาศ ในหลายประเทศสนับสนุนทั้งด้านเงินสนับสนุน ลดหย่อนภาษี หรือประกันราคา ไม่ได้จำเพาะว่าจะต้องเป็น แอลพีจี หรือ ซีเอนจี
บางประเทศมีนโยบายชัดเจนที่จะสนับสนุน แอลพีจี ในรถยนต์ขนาดเล็ก และสนับสนุนการใช้ ซีเอนจี ในรถโดยสารสาธารณะขนาดใหญ่ คนส่วนใหญ่จึงนิยมติดตั้งระบบ แอลพีจี ในรถยนต์ขนาดเล็กของตน เนื่องจากอุปกรณ์และเทคโนโลยีเหมาะสม ราคาไม่แพง จึงมีผู้ใช้ แอลพีจี เป็นจำนวนมากกว่า ซีเอนจี ทั้งๆ ที่ราคาเชื้อเพลิง ซีเอนจี ถูกกว่า แต่ที่เหมือนกันในทุกประเทศ คือ เขาไม่มีนโยบายส่งเสริมแกสชนิดใดชนิดหนึ่ง และจำกัดการใช้แกสอีกชนิดหนึ่ง
เหมือนที่ผู้นำประเทศสารขัณฑ์ ท่านจะบังคับให้คนหันมาใช้แกสโซฮอล โดยจะยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว ออคเทน 95 ในเร็ววันนี้ แต่ก็ยังอ้ำอึ้งอยู่ เพราะโรงงานผลิตเอธานอล ยังไม่ยอมสร้างให้เสร็จกันเสียที แถมยังต้องผ่อนผันนำเข้าเอธานอลจากเมืองนอกอีก
เอ๊ะ เป็นงานเป็นการมาดีๆ ทำไมแฉลบออกข้างทางไปง่ายจัง
ที่จริงประเทศสารขัณฑ์ ก็ไม่ได้ยากไร้อะไร แกสธรรมชาติก็ขุดเจาะได้ในอ่าวสารขัณฑ์ แต่บังเอิญว่าไปทำสัญญาซื้อแกสจากเมียนมาร์ เพื่อนบ้านข้างเคียง บังเอิญเป็นแกส ซีเอนจี เพราะต้องขนส่งกันมาตามท่อ จะเอากลับไปทำเป็น แอลพีจี อีก เรื่องมันยุ่ง เลยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ยกให้เอกชนเอาไปส่งเสริมการใช้ ซีเอนจี เอาเอง ส่วนเรื่อง แอลพีจี เดี๋ยวจะค่อยๆ ลดทอนการใช้นอกเหนือจากในครัวเรือนให้ได้
ซื้อมาแล้วไม่มีคนใช้ก็แย่นะสิ
ภาษาอังกฤษเขาเรียกง่ายๆ ว่า "READ BETWEEN THE LINE" ใช่ไหมครับ
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2549
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/8338