จากการลองถามกลุ่มวัยรุ่นบ้านเรา ที่รักการแต่งรถเป็นชีวิตจิตใจว่า ขณะนี้อุปกรณ์แต่งรถประเภทไหนบ้างที่กำลังฮอทฮิท ขนาดถ้าใครไม่มี ถือว่าเอาท์สุดๆ ก็ได้รับคำตอบว่า "เกจวัด" สิพี่ !

จากการลองถามกลุ่มวัยรุ่นบ้านเรา ที่รักการแต่งรถเป็นชีวิตจิตใจว่า ขณะนี้อุปกรณ์แต่งรถประเภทไหนบ้างที่กำลังฮอทฮิท ขนาดถ้าใครไม่มี ถือว่าเอาท์สุดๆ ก็ได้รับคำตอบว่า "เกจวัด" สิพี่ ! "เกาะกระแส" ฉบับนี้จะพาไปรู้จักกับอุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์ ที่วัยรุ่นบ้านเราเรียกติดปากกันว่า เกจวัด ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ ว่ามีหน้าที่อย่างไร จำเป็นมากน้อยแค่ไหน ทำไมถึงต้องสรรหามาใส่กัน ? เกจวัด คือ อุปกรณ์อีเลคทรอนิคชนิดหนึ่ง ที่มีหน้าที่แสดงผลการทำงานของเครื่องยนต์ว่า มีความปกติหรือผิดปกติอย่างไร โดยมีหลักการทำงานเช่นเดียวกันกับเกจวัดที่อยู่ในแผงหน้าปัดของรถยนต์ทั่วไป ซึ่งสำหรับรถยนต์ทั่วไปนั้นเกจวัดที่ติดมาจากโรงงานก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว แต่สำหรับรถยนต์ที่มีการปรับแต่ง หรือใช้สำหรับการแข่งขัน เกจวัดที่ติดมานั้นถือว่ายังไม่เพียงพอ การติดตั้งเกจวัดเพิ่มเติมเข้าไป ส่วนมากจะใช้สำหรับรถแข่งที่ต้องการความละเอียด แม่นยำ และคอยเตือนเมื่อเกิดอาการผิดปกติของเครื่องยนต์ขึ้น จะได้นำรถเข้ารับการแก้ไขได้ทันท่วงที ดังนั้นวัยรุ่นบ้านเราจึงต่างสรรหามาติดตั้งกับรถยนต์คันโปรดของตน โดยมีจุดประสงค์หลักอยู่ที่ประโยชน์ใช้สอย อีกทั้งยังแฝงไว้ด้วยความเป็นสปอร์ทอีกต่างหาก ลองดูกันว่าวัยรุ่นบ้านเรานิยมเกจวัดอะไรกันบ้าง อันดับหนึ่งต้องยกให้ เกจวัดรอบเครื่องยนต์ ที่จริงรถยนต์ทุกค่ายนั้น จะมีวัดรอบเครื่องยนต์ติดมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานอยู่แล้ว ทำไมต้องติดเพิ่มเข้าไปด้วย เหตุผลก็คือ เกจวัดรอบที่ติดเพิ่มเข้าไปนั้น มีจุดเด่นอยู่ที่ ชิฟท์ไลท์คอยเตือนยามที่ผู้ขับใช้รอบเกินกำหนด โดยมันจะยิงแสงออกมาเพื่อบอกถึงตำแหน่งของรอบเครื่องที่ผู้ขับกำหนดขึ้น เช่น ผู้ขับตั้งไว้ให้คอยเตือนที่ 6,000 รตน. เมื่อเข็มวัดรอบกวาดมาถึงเลข 6,000 รตน. ชิฟท์ไลท์ก็จะทำงาน ส่วนมากวัดรอบแบบนี้นิยมใช้กันมากในการแข่งขัน เพราะนักแข่งไม่มีเวลาที่จะเหลือบตามองรอบเครื่องยนต์ ดังนั้นเมื่อชิฟท์ไลท์ทำงาน และยิงแสงขึ้นก็แสดงว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนเกียร์แล้ว ราคาค่าตัวก็แพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกันเฉลี่ยอยู่ที่ 10,000-15,000 บาทขึ้นอยู่กับรุ่น และยี่ห้อ ตามติดมาด้วยเกจวัดบูสต์ (BOOST) ที่บรรดาพลพรรคเทอร์โบจำเป็นต้องใช้ เพราะรถยนต์ทั่วไปที่มีเทอร์โบติดมาจากโรงงาน จะไม่มีเกจวัดบูสต์ติดมาให้ ดังนั้นการติดตั้งเพิ่มเข้าไป จะทำให้ผู้ขับทราบถึงแรงดันเทอร์โบว่ามีอาการปกติหรือผิดปกติอย่างไร ราคาก็ไม่แพงนักอยู่ที่ประมาณ 3,500-10,000 บาท แล้วแต่รุ่นและยี่ห้อ ต่อมาเป็นเกจวัดแรงดันน้ำมันเบนซิน หรือ (FUEL PRESS) เกจวัดชนิดนี้ในสมัยก่อน อาจจะไม่ได้รับความนิยมมากเท่าใดนัก เพราะรถส่วนมากยังจ่ายน้ำมันด้วยระบบคาร์บูเรเตอร์ จึงไม่มีความจำเป็นเท่าไรนัก แต่ปัจจุบันรถเกือบทุกคันจ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีด ดังนั้นเกจวัดแรงดันเบนซินจึงมีความจำเป็นไม่น้อย เพราะสามารถตรวจสอบดูว่าแรงดันเบนซินปกติหรือผิดปกติอย่างไร รวมไปถึงทราบอาการของปัมพ์น้ำมันเบนซินด้วยว่าทำงานเต็มประสิทธิภาพหรือใกล้เสื่อมอายุขัย แล้วราคาอยู่ที่ประมาณ 6,000-10,000 บาท ถัดมาเป็นเกจวัดแรงดันน้ำมันเครื่อง หรือ (OIL PRESS) มีหน้าที่วัดว่าแรงดันของปัมพ์น้ำมันเครื่องมีความสมบูรณ์มากน้อยแค่ไหน อีกทั้งยังทราบถึงว่าอายุน้ำมันเครื่องว่าใกล้เสื่อมสภาพหรือยัง โดยดูได้จากแรงดันที่แสดงในเกจวัด เกจประเภทนี้บางรุ่นยังสามารถวัดความร้อนน้ำมันเครื่องได้ด้วย หรือที่เรียกว่า (OIL TEMP) เพื่อตรวจสอบความร้อนของน้ำมันเครื่องว่ามีความร้อนสะสมอยู่เท่าไร ราคาค่าตัวประมาณ 7,000-10,000 บาท ส่วนเกจวัดที่เหลือ ได้แก่ เกจวัดอุณหภูมิหม้อน้ำ หรือ (WATER TEMP) ซึ่งวัยรุ่นบ้านเราไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก เพราะเกจวัดที่ติดรถมานั้นก็สามารถอ่านค่าได้เหมือนกัน ราคาอยู่ที่ประมาณ 4000-6000 บาท สุดท้ายเป็นวัดอุณหภูมิท่อไอเสีย หรือ (EXAUST TEMP) แสดงค่าความร้อนของท่อไอเสีย ว่ามีอุณหภูมิที่พอเหมาะหรือไม่ ถ้าร้อนผิดปกติเครื่องยนต์มีปัญหาแน่นอน ราคาประมาณ 6,000-10,000 บาท ซึ่งเกจวัดที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ สำนักแต่งชื่อดังต่างผลิตขึ้นมาเอาใจสาวกรักความแรงกันถ้วนหน้า ได้แก่ AUTO METER/SARD/PIVOT/BLITZ/GREDDY/OMORI/HKS/DEFI ฯลฯ และรุ่นที่วัยรุ่นบ้านเรานิยมใช้มากที่สุดคือรุ่นที่มี WARNNING หรือไฟสัญญาณคอยเตือนว่าขณะนี้เกิดความผิดปกติขึ้นกับเครื่องยนต์ ซึ่งแน่นอนว่าราคาต้องแพงขึ้นตามไปด้วย นับเป็นอุปกรณ์แต่งรถอีกชนิดหนึ่ง ที่มีประโยชน์ทั้งยังเพิ่มความสปอร์ทให้แก่รถคันงามอีกด้วย แต่ต้องจอดระวังกันหน่อย ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวโดนสอยไปไม่รู้นะ