ทั่วไป
ส่วนหนึ่งผมชื่นชมนักกีฬาเทนนิสหญิงของไทยเราอย่างหนู "แทมมารีน" ซึ่งลงสนามระดับอินเตอร์ ทำให้ชื่อเสียงของไทยแลนด์ขึ้นทำเนียบ ตีคู่กับหนุ่มบอลของเรา แม้จะไม่ขึ้นแป้นมือต้นๆ หรือครองแชมพ์สำคัญๆ ก็ตามที เพราะทอดตาทั่วแผ่นดิน เรามีอยู่คน 2-3 คนเท่านั้นที่โลดแล่นอยู่ในวงการเทนนิสโลก
ส่วนหนึ่งผมชื่นชมนักกีฬาเทนนิสหญิงของไทยเราอย่างหนู "แทมมารีน" ซึ่งลงสนามระดับอินเตอร์ ทำให้ชื่อเสียงของไทยแลนด์ขึ้นทำเนียบ ตีคู่กับหนุ่มบอลของเรา แม้จะไม่ขึ้นแป้นมือต้นๆ หรือครองแชมพ์สำคัญๆ ก็ตามที เพราะทอดตาทั่วแผ่นดิน เรามีอยู่คน 2-3 คนเท่านั้นที่โลดแล่นอยู่ในวงการเทนนิสโลก
แต่งวดนี้ผมต้องขออนุญาตดึงเอา แทมมารีน ในฐานะคนดังของเมืองไทย ใครๆ ก็รู้จัก มาเป็นตัวอย่างเพื่อให้เห็นข้อเสียสักนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่ไม่อยากให้ผ่านเลย จึงตัดสินใจนำมาเป็นข้อสังเกต เพื่อเตือนคนอื่นๆ งานนี้ถือว่าหนูแทมมารีนเสียสละ ช่วยเหลือสังคมก็แล้วกัน
ครับท่านลองฟังคำสัมภาษณ์ของเธอต่อสื่อมวลชนบ้างไหม ก็เป็นเรื่องของเทนนิสนั่นแหละ ไม่ใช่เรื่องอื่น ในส่วนของเนื้อหาที่ให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ นั้นโอเค ขอยืนยันว่าไม่มีอะไรเสียหายเลย
ข้อเสียที่เกิดขึ้นเสมอของเธอคือการ "เสพติด" คำว่า "อะไรเงี้ยะ"
เวลาให้ข่าว ถ้าแทมมารีนของเราไม่เอ่ยมีคำว่า "อะไรเงี้ยะ" ผมยอมให้ด่าฟรีๆ
หลายครั้งหลายหน อะไรเงี้ยะ อะไรเงี้ยะ อะไรเงี้ยะ กว่าจะจบการให้สัมภาษณ์ในแต่ละครั้ง ฟังแล้วเหนื่อย
คำว่า อะไรเงี้ยะ เป็นภาษาวัยรุ่น มีความหมายทำนองเดียวกับคำว่า "เป็นต้น" เพื่อสื่อหรือบอกว่าสิ่งที่เอ่ยถึงยังมีสิ่งอื่นๆ ในลักษณะเดียวกันนั้นอีก
แต่การใช้คำว่าอะไรเงี้ยะของคนไทยยุคนี้หรือของคุณแทมมารีนนักเทนนิสยอดนิยมของเรา เป็นการใช้แบบติดปากติดคอ ไม่ใช่เพื่อสื่อภาษาหรือสื่อความหมาย ใช้หนักๆ เข้าถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเป็นภาษาวิบัตินั่นเทียว
อยากให้แทมมารีนลองสังเกตดูลีลาการพูดจาของตนเองบ้างว่า จริงอย่างที่ผมตั้งข้อสังเกตหรือเปล่า หากเห็นว่าเป็นการใช้ภาษาที่ไม่สละสลวย ไม่ไพเราะ ก็พยายามตัดคำว่า อะไรเงี้ยะ ออกไปบ้าง ให้เหลือน้อยที่สุด ใช้ในจุดหรือประโยคที่เหมาะสม ก็จะเป็นการดี
ที่สำคัญคือการช่วยดึงเด็กเล็กเยาวชนของเราไม่ให้เอาเยี่ยงอย่างอีกด้วย และขอขอบคุณล่วงหน้า
จบรายการอนุรักษ์ภาษาไทยแต่เพียงเท่านี้นะครับ สำหรับใครที่อยากภาษาพูดไทยรุงรังด้วยคำว่าอะไรเงี้ยะๆ ๆ ๆ ต่อไป ผมก็คงไม่มีสิทธิ์ขัดขวางอยู่ดี
วนกลับมาว่าถึงคดีความอย่างเคยจึงจะเป็นของแท้ งานนี้เป็นความชุ่ยของพวกเราซึ่งเป็นคนไทยนั่นแหละ ชุ่ยตลอดมีการตายตลอด อย่างว่าคนบ้านเราเยอะเกินไปหรือยังไงไม่ทราบ จึงต้องหาเหตุตายโหงให้มันลดๆ ลงไปบ้าง จะได้ไม่เหลือคนยากจนตามที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้
บนถนนสายหนึ่งมีการสร้างสะพานคอนกรีท พื้นสะพานเสร็จแล้ว แต่ยังไม่เปิดให้ใช้ ชาวบ้านต้องอาศัยทางเบี่ยงไปพลางก่อน "หจก.ไม่ชุ่ยกี่" ซึ่งมีเถ้าแก่คือ "นายสรรพคุณ" เป็นผู้จัดการ ให้ลูกน้องเอาท่อคอนกรีทไปวางขวางไว้บนสะพานที่ยังไม่ได้ส่งมอบต่อทางการ
การวางสิ่งกีดขวางโดยปกติของผู้รับเหมาบ้านเรา ไม่ค่อยยอมติดตั้งสัญญาณเพื่อให้คนเห็น เพราะความชุ่ยเป็นสันดานและเสียดายค่าโสหุ้ยว่างั้นเถอะ
คืนนั้น "นายฟีล์มหนัง" วัยรุ่นชื่อเท่คล้ายๆ ดาราหน้าตี๋ยอดนิยมยุคนี้ ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปเตร็ดเตร่ตามถนัด ก่อนถึงสะพานมรณะ นายฟีล์มหนัง จอดรถแวะซื้อไอศครีม ขณะที่เพื่อนบึ่งรถไปโดยไม่รอ
นายฟีล์มหนัง ซื้อของเสร็จขึ้นสตาร์ทรถ บิดคันเร่ง เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มให้คนแถวนั้นได้ยินออกไปในทำนองว่า "ตาย....ต้าย....ตาย....ต้าย..."
แล้วการตายก็เกิดขึ้นจริงๆ รถของ นายฟีล์มหนัง "ซิ่ง" ไปตามแรงบิดเพราะเจ้าตัวจงใจที่จะไล่ตามเพื่อนให้ทัน รถและร่างของเขาเข้าใกล้จุดจบทุกขณะ ชั่วเวลาไม่นานก็ถึงสะพานที่ก่อสร้างใหม่ รถมีความเร็วเยอะเกินไปหรืออย่างไรไม่ทราบ นายฟีล์มหนัง พารถลงทางเบี่ยงไม่ทัน ทั้งๆ ที่ทราบดีว่าต้องใช้ทางเบี่ยง
รถ 2 ล้อ ติดเครื่องซึ่งแรงและเร็วตามที่ญี่ปุ่นเขาทำขายให้เรา แถมยังโฆษณาเป็นภาษาญี่ปุ่นทางทีวีในบ้านเรา เหมือนกับเราไม่ใช่ประเทศเอกราชอีกต่างหาก พา นายฟีล์มหนัง ทะยานเข้าหาท่อคอนกรีทบนสะพาน เสียงโครมสนั่นตามมา เละทั้งรถทั้งคน
เพื่อนของ นายฟีล์มหนัง ได้ยินเสียงเพราะไปยังไม่ไกลนัก ย้อนกลับมาดูเหตุการณ์ ไฟหน้ารถของ นายฟีล์มหนัง ยังสว่างอยู่ แต่ชีวิตของ นายฟีล์มหนัง ดับดิ้นสิ้นใจไปแล้วก่อนเวลาอันควร
เป็นเรื่องปกติของประเทศไทย ทำผิดทำชั่วไม่เคยมีใครยืดอกรับผิด มีตำแหน่งมียศมากเท่าไรยิ่งหน้ามึนเท่านั้น รายการลาออกด้วยจิตสำนึกแทบไม่เคยปรากฏในประเทศนี้ หจก.ไม่ชุ่ยกี่ และนายสรรพคุณ สั่นหัว ยังไงก็ไม่จ่ายเมื่อพ่อของ นายฟีล์ม หนังเรียกร้องค่าเสียหาย
ผู้พิพากษาจึงต้องออกแรงทำงานเพื่อให้สมกับเงินเดือนซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่ได้มากไปกว่า สส. หรือผู้แทนที่อ้างว่าอาสาเข้ามารับใช้บ้านเมือง แถม สส. และพวกยังเกี่ยงเอาบำเหน็จบำนาญอีกต่างหาก บิดาของ นายฟีล์มหนัง ฟ้อง หจก.ไม่ชุ่ยกี่ เป็นจำเลยที่ 1 นายสรรพคุณ เป็นจำเลยที่ 2 บังคับให้จ่ายค่าปลงศพ ค่าขาดไร้อุปการะ เป็นเงิน 265,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การปฏิเสธ โต้แย้งทุกประเด็น คนฟ้องไม่ใช่พ่อของผู้ตายตามกฎหมาย เหตุเกิดจากความประมาทของผู้ตายฝ่ายเดียวเพราะขับรถ "ซิ่ง" จัด บนสะพานติดตั้งสัญญาณไฟครบครัน ค่าปลงศพอย่างมากแค่หมื่นเดียว ค่าขาดไร้อุปการะอย่างมากแค่ 2 หมื่น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเชื่อว่า นายฟีล์มหนัง ขับรถเร็วและประมาทชัวร์ จึงพิพากษายกฟ้อง
พ่อของ นายฟีล์มหนัง กัดฟันยื่นอุทธรณ์ไม่งั้นอด และค่อยยังชั่ว
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษากลับ ให้จำเลยร่วมกันจ่ายค่าเสียหาย แต่ลดลงมาเพราะถือว่า นายฟีล์มหนัง มีส่วนประมาทด้วย เหลือเกือบ 7 หมื่นบาท
โจทก์คือพ่อของ นายฟีล์มหนัง หมดแรงลุ้นได้แค่นั้นก็ยอม ไม่ยื่นฎีกา
แต่ฝ่ายจำเลยเขาเก่ง ร้องขอให้ผู้พิพากษาท่านที่เคยทำคดีนี้ในศาลชั้นต้นเซ็นอนุญาตให้เล่นเกมยาว ยื่นฎีกาขึ้นไป อ้างโน่นอ้างนี่สารพัด รวมทั้งอ้างด้วยว่าคดีนี้ตำรวจมีความเห็นว่า นายฟีล์มหนัง ประมาท คดีอาญายุติตามขั้นตอนอย่างหนึ่งไปแล้ว แม้ไม่มีคำพิพากษาก็ตาม ศาลจึงต้องยึดถือตามความเห็นของพนักงานสอบสวนมาตัดสินคดีแพ่งในทำนองเดียวกัน คือต้องยกฟ้อง
ศาลฎีกาเหล่ดูสำนวนคดีนี้ด้วยความเหน็ดเหนื่อย เพราะคดีประดังเข้ามาไม่ขาดจนทำแทบไม่ทัน หลังจากนั้นได้ชี้ขาดออกมาว่า
ตามวิ. อาญา มาตรา 46 ระบุไว้ชัดว่าการพิพากษาคดีแพ่ง ศาลจำต้องถือตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาเพราะงั้นจะมาเกณฑ์ให้ถือเอาความเห็นของพนักงานสอบสวน ซึ่งไม่ใช่คำพิพากษาได้อย่างไร อันหลังผมว่าเอง
งานนี้ศาลดูข้อเท็จจริงแล้ว ได้ความว่าสะพานที่สร้างมีทางเบี่ยงให้ใช้มาหลายเดือนแล้ว นายฟีล์มหนัง และเพื่อนมีบ้านอยู่ห่างจากสะพาน 3-4 กิโลเมตร แสดงว่ารู้ดีถึงสภาพของสะพาน และน่าจะใช้ทางเบี่ยงมาก่อน จากคำของเพื่อนผู้ตายที่บอกว่าขับรถกลับไปก่อนระหว่างที่ผู้ตายแวะซื้อไอศครีม ศาลจึงเชื่อว่า นายฟีล์มหนัง สปีดรถเพื่อให้ทันเพื่อน พอถึงสะพานเลยนำรถลงทางเบี่ยงไม่ทัน จึงเกิดเหตุขึ้น ถือว่าผู้ตายมีส่วนประมาทด้วย
ในส่วนของจำเลยพยานหลักฐานมัดว่า ไม่ได้ติดตั้งสัญญาณให้ชาวบ้านเห็นขณะก่อสร้างและการวางท่อคอนกรีทปิดกั้นสะพาน ถือว่าประมาทมากกว่าผู้ตาย
การที่ศาลอุทธรณ์ตัดสินให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายและกำหนดไว้เกือบ 7 หมื่นบาทถือว่าเหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาพิพากษายืน
คดีนี้ชี้ให้เห็นถึงความรอบคอบของศาลที่เล็งดูรายละเอียดต่างๆ ก่อนตัดสิน เช่น ข้อที่ศาลชี้ว่าผู้ตายอยู่อาศัยไม่ห่างจากจุดเกิดเหตุมากนัก จึงต้องรับรู้สภาพของสะพานที่ตนเองผ่านไปมา และข้อที่ว่า ผู้ตายจอดรถซื้อไอศครีม แล้วเร่งรถตามเพื่อนที่ไม่รอ แสดงว่าจะต้องขับรถเร็วจึงเกิดเหตุขึ้น
ประเด็นที่น่าสนใจมากคือ ศาลได้ชี้เป็นบรรทัดฐานว่า ไม่ถือเอาความเห็นของพนักงานสอบสวนในคดีอาญามาตัดสินคดีแพ่งในศาล เพราะ นั่นไม่ใช่คำพิพากษา
ตามความเห็นของผม ควรตัดสินให้ผู้รับเหมาที่ชุ่ยกี่ ไม่ติดตั้งสัญญาณไฟหรือสัญญาณอื่นๆ ในสถานที่ก่อสร้าง ทำให้ผู้อื่นรับเคราะห์อยู่เป็นประจำ จะได้เข็ดและไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
มีคนเจ็บคนตายมากเกินไปแล้วเพราะความชุ่ยของผู้รับเหมาทั้งหลายในประเทศนี้ จริงไหมครับ
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 399/2546
เรื่องโดย : "จอมยุทธ"
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2548
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/8243