ทั่วไป
โล่งอกกันไปแล้ว หลังจากอึมครึมกันมาเป็นอาทิตย์
โล่งอกกันไปแล้ว หลังจากอึมครึมกันมาเป็นอาทิตย์
ก็เรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่นั่นแหละครับ
ยินดีต้อนรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ หน้าเก่า มีหน้าใหม่เพิ่มขึ้นมา 2-3 คนเอง และก็หวังว่าตอนที่หนังสือฉบับนี้ออกสู่ท้องตลาด คงยังไม่มีอะไรปรับปรุงใหม่นะครับ
ส่วนเรื่องรถกระบะรุ่นใหม่ ที่ปิดข่าวกันให้แซ่ด ว่าเอาไปทดสอบทางไกลมานั่นน่ะ ป่านนี้คงกระจ่างแจ้งแก่หัวใจแล้ว ว่าเกิดอะไรขึ้น จะได้ไม่ต้องมานั่งไล่โทรศัพท์หานักข่าวกันทั่วถึงแทบจะทุกฉบับ ว่าคนแถวรังสิตเขาทำอะไรกันอยู่ คนแถวสำโรงอยากรู้บ้าง
พวกน้องๆ นักข่าวเขาเอามายำกันสนุกสนานเรียบร้อยไปแล้วครับ
รวมทั้งงานเปิดตัวหลากยี่ห้อ ทั้งรถเก๋ง รถกระบะใหม่ๆ เพื่อต้อนรับมาตรฐานไอเสีย ระดับ 3 คงผ่านหูผ่านตากันไปแล้ว หาอ่านได้ในเล่มนี้แหละครับ
และเช่นกันว่า รายงานการทดสอบทางไกล ก็คงนำมาเสนอได้เร็ววันนี้
ส่วนข่าวสนุกสนานในเวบ มีทั้งชม มีทั้งบ่น มีทั้งกล่าวหา ก็ต้องเปิดหากันเอง บอกได้อย่างเดียวว่า มีแต่เรื่องสนุกๆ ชนิดนำมาเผยแพร่ในหนังสือไม่ได้เลย โดยเด็ดขาด สนใจติดต่อสอบถามมาได้นะครับว่าเวบไหนบ้าง
เข้าเรื่องแรกก่อน เรื่องน่าสนใจระดับชาติ คือ เรื่องการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี หรือเรียกกันง่ายๆ ว่า อาฟตา (FTA) ระหว่างประเทศไทย กับ ประเทศญี่ปุ่น ที่ได้ข้อตกลงร่วมกันระดับนโยบายไปแล้ว
เรื่องใกล้ตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เกี่ยวข้อง ขอบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
เรื่องแรก ชิ้นส่วนยานยนต์ โออีเอม หรือชิ้นส่วนที่ใช้ในการประกอบรถยนต์ ที่มีอัตราภาษีเกิน 20 % ฝ่ายไทยพร้อมจะลดภาษีเหลือ 20 % และคงไว้นาน 4 ปี แล้วลดลงเป็น 0 % ในปี 2554 รวมทั้งเครื่องยนต์และชิ้นส่วนเครื่องยนต์ ให้คงภาษีปัจจุบันไว้ 6 ปี แล้วลดลงเหลือ 0 % เช่นกัน
แต่ส่วนที่ฮือฮามากที่สุด คือ รถยนต์สำเร็จรูป ขนาดความจุมากกว่า 3,000 ซีซี ขึ้นไป ไทยพร้อมจะลดอัตราภาษีเป็นแบบขั้นบันได โดยปีแรกที่ เอฟทีเอ มีผลบังคับใช้ จะลดจาก 80 % เป็น 70 % แล้วลดแบบขั้นบันไดปีละ 5 % ไปเรื่อยๆ
ปี 2552 จะทยอยลดเป็น 60 % และให้คงไว้จนกว่าจะมีการเจรจารอบใหม่ในปี 2553
เรื่องทั้งหมดก็เพื่อให้กลุ่มสินค้าเกษตรของเรา สามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้น โดยบางชนิดจะได้รับการยกเว้นภาษีทันที แบบว่าแลกเปลี่ยนกันบางอย่าง รายละเอียดคงต้องติดตามตอนต่อไปนะครับ
บรรดาผู้มีอันจะรับประทานทั้งหลาย ต่างก็หันไปมองอัตราภาษีสรรพสามิตทันที ว่ารถยนต์ที่มีเครื่องยนต์มากกว่า 3,000 ซีซี หรือ รถยนต์ที่มีกำลังเครื่องยนต์มากกว่า 220 แรงม้า ต้องเสียอีก 50 % สิริรวมง่ายๆ ว่า ตอนนี้ราคารถนำเข้าที่เกิน 3,000 ซีซี จะลดลงอย่างน้อย 8 แสนบาท ขอย้ำนะครับว่า เป็นอย่างน้อย
ผู้ประกอบการทั้งหลายก็รีบเชคกันให้วุ่น ว่าตัวเองพอจะสั่งรุ่นไหนเข้ามาได้ ให้ทันกับเวลาที่ข้อตกลงการค้าเสรีนี้ มีผลบังคับใช้
ลองหาแคตาลอกเมืองนอกมาอ่านดูเล่นๆ ก่อนได้
มหกรรมยานยนต์โตเกียว หนนี้ คนไทยคงเดินสวนสนามกันให้วุ่นไปหมดนะครับ ทั้งผู้สื่อข่าว ทั้งผู้ประกอบการ ทั้งผู้นำเข้าอิสระ
ต้นปีหน้าคงได้เห็นรถหน้าตาแปลกๆ เพิ่มมากขึ้นอีก
เรื่องที่สองที่อยากเอามาเล่าสู่กันฟัง ก็เรื่องการพัฒนา ไบโอดีเซล เพื่อเป็นพลังงานทดแทน เพราะราคาน้ำมัน ยังมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่ง ครม. อนุมัติงบประมาณไปแล้ว 1,300 ล้านบาท เพื่อพัฒนาและส่งเสริมการใช้งาน
แบ่งเป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการปลูก 800 ล้านบาท การวิจัยและพัฒนาและการบริหารจัดการ อีก 500 ล้านบาท
เจ้าภาพงานนี้เริ่มด้วย กรมวิชาการเกษตร ดำเนินการในการผลิตเมล็ดพันธุ์ปาล์ม และ เมล็ดพันธุ์สบู่ดำ
วิจัยและพัฒนาพันธุ์ปาล์ม สบู่ดำ และผลพลอยได้ทางการเกษตร จัดการด้านมาตรฐานไบโอดีเซล สาธิตการใช้งานจริงของน้ำมันไบโอดีเซล ในเครื่องยนต์คอมมอนเรล พัฒนาการผลิตและแปรรูปผลพลอยได้จากการผลิตไบโอดีเซล
เจ้าภาพก็มีร่วมกันหลายเจ้านะครับ
ว่างๆ เรียนเชิญท่านคณะกรรมการแวะไปเยี่ยมแถวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์กันหน่อย ที่นั่นเขาพัฒนากันใช้งานมานานมากแล้ว เพียงแต่ว่าไม่มีใครช่วยเหลือ วิจัยและพัฒนา เพื่อปรับปรุงคุณภาพให้ดีขึ้น
ริเริ่มขึ้นมาแล้วก็ช่วยลงมือทำกันเร็วๆ หน่อยนะครับ
ส่วนเรื่องในฝันว่าจะเอามาใช้ในเครื่องยนต์คอมมอนเรลน่ะ ลืมกันไปก่อนได้เลย เอาแค่ใช้ในเครื่องยนต์ดีเซลปกติให้ได้เรื่องได้ราวก่อนก็พอ
ความหนืดของน้ำมันน่ะ อีกนานครับกว่าจะพัฒนาให้ใกล้เคียงน้ำมันดีเซลของจริงได้ ยิ่งเครื่องคอมมอนเรลรุ่นใหม่ๆ ด้วยแล้ว หัวฉีดรุ่นใหม่ๆ น่ะ แต่ละหัวมีรูฉีดจ่ายน้ำมัน 6 รู ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง อย่างน้อยแต่ละรู 0.15 ซม. เล็กขนาดไหนก็ลองคิดดูนะครับ เจอเอาน้ำมันหนืดๆ น่ะ พักเดียวแหละครับ
ซ่อมไม่ได้เสียด้วย ถ้าเสียก็ต้องเปลี่ยนอย่างเดียว แค่ปั๊มหลอดยังไม่กล้าเฉียดเข้าไปใกล้เลยครับ
รถแต่ละยี่ห้อ พวกคอมมอนเรลทั้งหลาย ซื้อมาใช้แล้ว ทดลองตรวจสอบราคาค่าอะไหล่เรื่องหัวฉีดหน่อยนะครับ ถามดูเล่นๆ เป็นความรู้ติดตัวเอาไว้ เวลามีปัญหาขึ้นมาจะได้ทำใจได้ถูก
แถมด้วยโครงการถนนหนทางอีกเรื่อง
ใครที่วิ่งทางสายนี้คงเจริญพรกันมานานแล้ว สายบางปะกง ฉะเชิงเทรา ที่ได้รับพรให้ขยายจาก 4 ช่องจราจร เป็น 8 ช่องจราจร เรียบร้อยแล้ว เพราะเป็นส่วนของโครงข่ายทางหลวงที่เชื่อมโยงกับทางสายหลัก กลุ่มภาคตะวันออก และอีสานตอนใต้
ทางหลวงสาย 314 มีระยะทางประมาณ 22.7 กม. ปริมาณการจราจร 25,911 คัน/วัน จะขยายตั้งแต่ กม. 0 ถึง กม. 19.5 เป็นทางมาตรฐานเต็มรูปแบบ ขยายผิวทางเป็น 8 ช่องจราจร มีเกาะกลาง และทางเท้า 2 ข้างทางพร้อมท่อระบายน้ำ ติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างในเขตชุมชน ปรับปรุงขยายสะพานเดิม 18 สะพาน รวมใช้งบประมาณทั้งสิ้นประมาณ 850 ล้านบาท
ทางสายที่ว่านี้ เป็นโครงข่ายทางหลวงที่เชื่อมโยงกับทางสายหลักของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก และอีสานตอนใต้ คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ปราจีนบุรี สระแก้ว และนครราชสีมา จะต้องรองรับการจราจรจากสนามบินสุวรรณภูมิด้วยเช่นกันว่าแต่ว่าปลอดโปร่งจากเรื่อง ซีทีเอกซ์ แล้ว ได้ควบเก้าอี้ 2 ตำแหน่ง ยังไม่ทันไรเลย เตรียมเปลี่ยนสเปค อีโคคาร์ หรือ เอซคาร์ แล้ว ไม่ทราบว่า พณหัวเจ้าท่านจะต้องเปลี่ยนชื่อใหม่หรือเปล่า พวกกระผมจะได้ปรับตัวได้ทันครับ
หนนี้คงยังไม่รีบปรับ ครม. เร็วๆ นี้น่ะ
เห็น ฯพณฯ ยิ้มแก้มปริออกทีวีแล้ว คงเชื่อได้นะครับ
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กันยายน ปี 2548
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/8191