ทั่วไป
พิธีการรับน้องใหม่นั้น นอกจากการรับรวมจากมหาวิทยาลัย เพื่อให้ได้รับทราบระเบียบวินัย-ขนบ-ธรรมเนียม-ประเพณีที่เป็นส่วนรวมแล้ว ยังมีการจัดรับน้องของแต่ละคณะ ซึ่งมุ่งหมายให้เกิดความใกล้ชิดระหว่างพี่น้องในคณะเพิ่มขึ้น โดยแต่ละคณะจะมีพิธีเฉพาะของคณะนั้นตามลักษณะการเรียน
พิธีการรับน้องใหม่นั้น นอกจากการรับรวมจากมหาวิทยาลัย เพื่อให้ได้รับทราบระเบียบวินัย-ขนบ-ธรรมเนียม-ประเพณีที่เป็นส่วนรวมแล้ว ยังมีการจัดรับน้องของแต่ละคณะ ซึ่งมุ่งหมายให้เกิดความใกล้ชิดระหว่างพี่น้องในคณะเพิ่มขึ้น โดยแต่ละคณะจะมีพิธีเฉพาะของคณะนั้นตามลักษณะการเรียน
เช่น คณะวนศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อนที่เรียนที่นั่นเล่าว่า ต้องให้น้องได้รู้ว่า การจะเป็นนักวนาพิทักษ์นั้นต้องใช้ความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ จึงมีการรับและการเชียร์ที่เข้มข้น ถ้าน้องคนใดอาจจะร่างกาย หรือจิตใจไม่เข้มแข็ง หรือไม่สู้ชีวิตที่ทรหดอดทน ก็อาจจะเปลี่ยนไปเรียนคณะอื่น หรือมหาวิทยาลัยอื่น ไม่ใช่มาเสียเวลาเรียนไปหลายปี แล้วมารู้ว่าตนไม่เหมาะกับการเรียนวิชานี้ ก็ทำให้เสียเวลาเปล่า
หรือพวกที่จะเรียนแพทย์ก็เหมือนกัน ต้องอดทนและเข้มแข็ง บางคนเห็นเลือดก็เป็นลม หรือเวลาไปศึกษาจากอาจารย์ใหญ่ (ศพ) ก็เกิดกลัวผีจนทนไม่ได้ ก็จะเสียดายเวลาเช่นกัน
อย่างที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ของจุฬา ฯ ก็จะมีพิธีรับน้องพิเศษกว่าคณะอื่นที่เรียกว่า "ศีลจุ่ม" เพราะชาวสถาปัตย์นั้นต้องมีหัวทางศิลปะ และมี "ครู" ที่ต้องเคารพเป็นพิเศษ พิธีรับ "ศีล" จากรุ่นพี่ และครูบาอาจารย์เป็นเรื่องสำคัญ
สมัยก่อนนั้น ที่หน้าคณะสถาปัตย์มีสระ หรือคลองเล็กๆ อยู่หน้าคณะ น้องใหม่ชายจะต้องถอดเสื้อและนุ่งกางเกงขาสั้น มาให้พี่ๆ หรือครูอาจารย์แต้มสีที่หน้าหรือตามร่างกาย (ส่วนน้องใหม่หญิงอาจแต่งหน้าด้วยสีให้ดูกระจุ๋มกระจิ๋มเท่านั้น) แล้วก็จะมีการชักเย่อระหว่างน้องใหม่ชายกับพี่ๆ โดยแบ่งกันอยู่ฝ่ายละฟากคลอง ก็เป็นธรรมดาที่ฝ่ายน้องจะต้องแพ้ตกลงไปในคลองหรือสระนั้นทีละคน แล้วให้ว่ายน้ำมาขึ้นอีกฝั่งที่พี่ๆ รออยู่ พี่ๆ ก็จะดึงมือ (ต้องรับ) ขึ้นจากสระ อาจมีการอบรมสั่งสอนกันให้รู้ว่าพี่ๆ ยินดีต้องรับน้องใหม่เหล่านั้นเข้าสู่สังคมเดียวกันแล้ว แล้วก็ให้น้องใหม่ทั้งหลายไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย มาร่วมรับประทานอาหารเย็น ซึ่งพี่ๆ ในคณะจะจัดมาต้อนรับ ร่วมกันชมการแสดงทั้งของพี่ๆ ชั้นปีต่างๆ และน้องใหม่จัดมาร่วมกัน เป็นการต้อนรับที่อบอุ่นประทับใจที่น้องๆ จะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต
สำหรับคณะอักษรศาสตร์นั้น ผู้เขียนจำได้พอเป็นเลาๆ ว่า หลังจากสะบักสะบอมเหน็ดเหนื่อยพอสมควรจากการรับรวมของมหาวิทยาลัยแล้ว ประมาณบ่ายแก่ๆ คือ 3-4 โมง น้องใหม่ทุกคนจะแต่งกายด้วยเครื่องแบบเรียบร้อย ผู้หญิงกระโปรงสีดำหรือสีน้ำเงิน เสื้อสีขาวเครื่องแบบที่เป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะจีบหลังและแขนในแบบพิเศษไม่เหมือนของสถาบันอื่น (เดี๋ยวนี้ดูเหมือนจะมีหลายสถาบัน ดัดแปลงไปใช้ใกล้เคียงกัน) ติดกระดุมสีขาวตราพระเกี้ยว 5 เม็ด ส่วนนิสิตชายก็จะแต่งกางเกงขายาวสีขาว เสื้อราชปะแตนสีขาว ติดกระดุมตราพระเกี้ยว 5 เม็ด ติดแผงคอของคณะ คือ สีเทา แล้วเราก็ไปเข้าแถวด้านหลังหอประชุมใหญ่ ซึ่งอยู่ใกล้บริเวณเตรียมรับน้องของคณะ
จากนั้นประธานเชียร์ หรือผู้แทนปีสี่ หรือที่เราเรียกผู้แทนซีเนียร์ จะพาแถวน้องใหม่ซึ่งนำโดยผู้แทนน้องใหม่ (หญิงคน ชายคนโดยผู้แทนชายถือธงคณะสีเทา) เป็นแถวเรียงสอง เดินคู่กันระหว่างหญิงชาย เดินผ่านแถวพี่ๆ ซึ่งแต่งกายสีสดใสมาคอยเอากิ่งจามจุรีตีเบาๆ เป็นการต้อนรับ อาจจะมีการสัมภาษณ์บ้างเล็กๆ น้อยๆ เมื่อผ่านหมดแล้ว ผู้แทนซีเนียร์และประธานเชียร์ก็จะพาเดินแถว ขึ้นบันได (รูปเศียร) นาคระหว่างคณะกับตึกหอสมุดกลาง (ซึ่งที่ตรงหน้ามุขที่จะเข้าตึกอักษรศาสตร์นั้น สมัยที่ยังไม่ได้สร้างตึกหอสมุดกลาง พวกเราเรียกกันว่า "เทวาลัย" หรือ "เทวาลัยร้าง")
เมื่อเข้าไปในห้องโถงกลางของตึกแรกมหาวิทยาลัยที่เราภาคภูมิใจ เรียกกันเอาเองว่า "ตำหนักอักษรศาสตร์" หรือ "อักษรพิมาน" เข้าไปในห้องโถง แล้วเดินขึ้นบันไดที่จะขึ้นไปชั้นสอง ที่ตรงนั้นจะมีพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้พระราชทานกำเนิดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศ ประทับอยู่ตรงหน้า ผู้แทนน้องใหม่นำเครื่องสักการะบูชา ถวายบังคม แล้วน้องใหม่ทุกคนก็ผลัดเปลี่ยนขึ้นไปคารวะขอพระราชทานความคุ้มครอง ขอให้มีความสุขสำราญ ขอความสำเร็จในการศึกษาเล่าเรียน และความสำเร็จในชีวิต ขอพระราชทานอภัยโทษ หากจะมีการละเมิดโดยไม่ได้ตั้งใจใดๆ ขึ้น จากนั้นก็ขึ้นไปถวายบังคมพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวองค์ใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างฝาผนัง หันพระพักตร์มาและตรงกันกับพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบรมชนกนาถของพระองค์ ในฐานะที่ทรงเป็นพระผู้ทรงวางศิลาพระฤกษ์ตึกอักษรศาสตร์นั้น
พระบรมฉายาลักษณ์ทั้งสององค์นี้ ทุกคนเมื่อจะขึ้นไปชั้นสองหรือลงมาจากการเรียนเสร็จ เรามักจะไปแสดงความเคารพทุกครั้งเพื่อความเป็นสวัสดิมงคล
เสร็จพิธีการนั้นแล้ว ก็มาร่วมรับประทานอาหาร และชมการแสดงต้อนรับน้องใหม่ด้วยกัน ทั้งคณาจารย์ พี่ๆ เก่า และน้องใหม่ทั้งปวง
ที่คณะอักษรศาสตร์นั้น เนื่องจากนิสิตชายมีจำนวนน้อย ในปีที่ผู้เขียนเข้านั้น ดูเหมือนจะเป็นอีกปีหนึ่งที่มีนิสิตใหม่ชายมากคือประมาณ 15-16 คน ในขณะที่มีนิสิตหญิง (สวยๆ และเรียนเก่งๆ) เป็นร้อย เราจึงมีประเพณีอย่างหนึ่งคือการสัมภาษณ์นิสิตชายและวัน MEN METTING (หรือ GENTLEMEN METTING)
วันสัมภาษณ์นิสิตชายจะเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ ในวันหนึ่ง ที่สะดวกแก่พี่ๆ นิสิตชายเก่าๆ ทั้งที่สำเร็จไปแล้ว มีการงานทำและมีชื่อเสียง มาให้น้องๆ ผู้ชายได้รู้จัก และรุ่นพี่ที่เรียนอยู่มาพบกัน โดยพี่ๆ จะถามไถ่ทำความรู้จักว่าน้องใหม่ชายมาจากที่ไหนบ้าง ที่เข้าเรียนคณะอักษรนี้มาโดยตั้งใจหรือฟลุคอย่างไร เข้ามาแล้วจะทำประโยชน์อะไรแก่คณะ แก่เพื่อนๆ ร่วมคณะและมหาวิทยาลัย ตลอดจนจุดมุ่งหมายใดๆ ในการดำเนินชีวิตในอนาคต ใครมีความถนัดทางไหน เช่น เล่นกีฬา อ่านหนังสือ การทำประโยชน์แก่คณะและเพื่อนในสังคม เพราะคณะนี้มีผู้ชายน้อย ใครมีความถนัดใดๆ ขอให้แสดงออกมาเต็มที่ แม้แต่การร่วมกิจกรรมของคณะและมหาวิทยาลัย
สิ่งที่พี่ๆ จะย้ำเตือนให้ตระหนักที่สุดคือ คณะนี้มีผู้หญิงจำนวนมาก การทำตัวให้เป็นสุภาพบุรุษ ไม่ว่าต่อเพื่อนร่วมชั้น ต่อพี่ผู้หญิงและต่ออาจารย์ที่เป็นหญิง พึงระมัดระวังให้เป็นที่พึ่งได้โดยไม่เลือกหน้า จะทำกิจกรรมใดๆ หรือการอยู่ในคณะ ต้องทำตนให้เป็นที่พึ่งของสุภาพสตรีให้มากที่สุด สิ่งที่พิสูจน์ได้คือ พวกเราชายชาวอักษรจึงถูกเรียก ปู่บ้าง ตาบ้าง ลุงบ้าง (ทั้งในความรู้สึกของเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันและน้องๆ แม้จบการศึกษามานานนับสิบๆ ปี...)
จากการสร้างความคุ้นเคยในฐานะผู้ชายที่ทำกิจกรรมร่วมกันมาอย่างอุทิศทุ่มเท ผู้ชายชาวอักษรจึงมีประเพณีประจำปีที่เรียกว่า GENTLEMEN MEETING ซึ่งเราเลือกเอาวันเกิดของคณะคือ "วันที่สามมกราคม" (ซึ่งเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวางศิลาพระฤกษ์ตึกอักษรศาสตร์) มาพบปะสังสรรค์กันเฉพาะนิสิตชายถามสารทุกข์สุขดิบ ได้สำรวจว่าใครอยู่ที่ไหนอย่างไร รวมทั้งใครจากไปไหนโดยไม่กลับมาแล้ว น่าเสียดายที่ประเพณีนี้ เมื่อกาลเวลาผ่านไปนานปี พี่ๆ ก็มีความจำเป็นทั้งหน้าที่และสุขภาพ ไม่อาจไปร่วมชุมนุมด้วยได้สม่ำเสมอ ทราบว่าวันสำคัญสำหรับปลุกจิตสำนึกความเป็นนิสิตชายชาวอักษรนี้ ยังคงมีอยู่ แม้บางปีจะมีคนมาร่วมงานน้อย แต่น่าจะได้รับการสืบทอดต่อไป
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กันยายน ปี 2548
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/8174