ทั่วไป
ในชีวิต นับแต่ลืมตามาดูโลกเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2477 เป็นต้นมา ผู้เขียนไม่เคยได้ตื่นเต้นอะไรเหมือนคืนวันพุธที่ 25 หรือ ความจริงคือเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม ที่ผ่านมานี้เลย
ในชีวิต นับแต่ลืมตามาดูโลกเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2477 เป็นต้นมา ผู้เขียนไม่เคยได้ตื่นเต้นอะไรเหมือนคืนวันพุธที่ 25 หรือ ความจริงคือเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม ที่ผ่านมานี้เลย
แม้ว่า มีหมอหัวใจแนะนำว่าอายุขนาดนี้แล้ว ให้ละเว้นเหตุการณ์ที่ตื่นเต้น และอย่างพี่ชายที่แสนดีที่ชื่อ ศักดเกษม หุตาคม (ชื่อของท่านต้องสะกดอย่างนี้ ) นักประพันธ์ นามปากกาว่า "อิงอร" ผู้เป็นโรคหัวใจ บอกว่า เวลาที่อยากฟังหรือชมการชกมวยที่ชอบเป็นชีวิตจิตใจ บอกว่า "พี่ก็ใช้วิธีเปิดวิทยุดังน้อยหน่อย แล้วตัวเองต้องไปทำอย่างอื่น เช่น รดน้ำต้นไม้อยู่ไกลๆ ให้ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง"
แต่เมื่อคืนดังกล่าวที่ผ่านมา ผู้เขียนละเมิดกฎที่รู้มาแทบทุกอย่าง คือ รู้ว่าฟุตบอลชิงชนะเลิศถ้วยใหญ่ที่เรียกว่า "ยูฟาแชมเพียนส์ลีก" ซึ่งเป็นรางวัลสุดยอดทีมในยุโรปนั้น เขาจะเริ่มถ่ายทอดจากอตาเติร์ก โอลิมปิค สเตรเดียมของประเทศตุรกี ตรงกับเวลาในเมืองไทยตอน ตีหนึ่งสี่สิบห้า (01.45 น.) ซึ่งวันรุ่งขึ้นต้องไปทำงาน เมื่อคนที่ต้องนอนเตียงเดียวกันถามว่า จะดูฟุตบอลไหม เขาจะได้หนีไปนอนห้องอื่น ด้วยความเกรงใจจึงบอกเขาไปว่า ไม่เป็นไรหรอก อัดเทปไว้แล้วก็จะปิดไฟนอนเลย
ความจริงก็ทำเช่นนั้น หากใจวิตกกังวลอยู่เหมือนแฟนของ ลิเวอร์พูล ทั่วโลก และโดยเฉพาะในเมืองไทย (ซึ่งเดิมเชื่อกันว่า มีจำนวนน้อยกว่าแฟน แมนยู หรือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเทด แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าน่าจะมากกว่า) เแฟน ลิเวอร์พูล จะแน่นเหนียวมาก แม้ทีมจะแพ้บ้าง ชนะบ้าง หรือไม่พอใจโคชคนก่อน (เฌราร์ด อูลลิแอร์)ไปบ้าง
อาจเป็นเพราะว่า ลิเวอร์พูลเคยเป็นทีมที่มีลีลาการเล่นแบบอังกฤษยอดเยี่ยมมาก่อน หรือว่าลิเวอร์พูล แม้จะเคยได้ถ้วยนี้มา 4 ครั้งแล้ว แต่ก็ห่างเหินถ้วยใหญ่ใบนี้มา 21 ปีแล้ว เมื่อได้เข้าชิงคราวนี้ แฟนของลิเวอร์พูล (ที่เรียกว่า "เธอะคอพ" ) มีหรือจะไม่เอาใจใส่เชียร์เต็มที่ อยากให้ชนะได้เหมือนเมื่อ 21 ปีทีแล้ว นี่ก็คงเป็นเหตุหนึ่งให้แฟนไม่อยากนอน หรือพูดให้ถูกว่านอนไม่หลับหรือหลับไม่ลง
ด้วยเหตุนั้น ผู้เขียนจึงค่อยๆ ลุกเข้าห้องน้ำบ่อยเป็นพิเศษคืนนั้น เพื่อจะแอบดูผลบนจอโทรทัศน์ แล้วแอบไปเปิดวิทยุฟังรายงานสดในห้องน้ำ
แต่เหตุการณ์ไม่เป็นอย่างใจคาด ปรากฏว่าพอกดอัดเทปปั๊บ นาทีแรกที่ทีมคู่แข่ง คือ เอซี มิลาน หรือ ทีมปีศาจแดงดำ โยนลูกโด่งเข้าไปในเขต ลิเวอร์พูล ปรากฏว่าดาราคนโปรดของแฟน มิลาน ก็กดเท้ายิงไกลเข้าประตูอย่างสวยงามมากๆ ทำเอาแฟนปีศาจแดงดำเฮแทบถล่มทลาย ในขณะที่แฟนเธอะคอพใจรูดไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม เพราะใครๆ ก็พูดว่า ถ้าหงส์แดงโดนยิงนำไปก่อนแล้ว มักจะเอาคืนได้ยากมาก
ผู้เขียนเองก็เช่นกัน เกิดวิตกดังนั้นจึงเข้าห้องน้ำบ่อยมาก แต่กระนั้น ยังเผลอหลับไปหน่อย พอตื่นเข้าห้องน้ำอีกครั้ง ปรากฏว่าครบ 45 นาทีแรกไปแล้ว เห็นเขาเอาไฮไลท์มารีเพลย์ให้ดู ยิ่งใจหายใหญ่ หงส์แดงที่รักโดนเข้าไป 0:3 ประตูแล้วหรือนี่ พรุ่งนี้ต้องทำใจให้ได้ว่าอย่างน้อย คงสัก 5 ลูกกระมัง ถ้าครึ่งแรกเป็นอย่างนี้
ด้วยความกังวล จึงหยุดเทปสักพัก (เกรงเทปไม่พอ เผื่อมีเหตุการณ์ยืดเยื้อ...?!) รอเขาเริ่มแข่งครึ่งหลัง จึงกดอัดเทปต่อแล้วก็ล้มตัวลงนอนด้วยใจที่คิดว่าช่างหัวมันปะไร ถึงอย่างไรเราก็ยังจะเชียร์ทีมนี้ต่อไป
ปรากฏว่านอนยังไม่หลับอีก จึงแอบดูโทรทัศน์อีก โดยหรี่เสียงอยู่แล้ว แต่เอ๊ะ
ขณะกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นแท้ๆ แต่เห็นใครล่ะ..ใครคนหนึ่งโยนลูกไปหน้าประตูของทีม เอซี ฃมิลาน แล้ว "สตีวีจี" หรือ สตีเวน เจอร์ราร์ด กัปตันไดนาโมของหงส์ก็โหม่งลูกเข้าประตูสวยงาม ทีแรกเข้าใจว่าเป็นฝันไป แต่พอเห็นเจอร์ราร์ด และแฟน ลิเวอร์พูล กระโดดโลดเต้นด้วยความด้วยความดีใจสุดๆ ก็เชื่อว่าไม่ได้ฝัน
และยังไม่ทันเคลิ้มดี ก็เห็นลูกก็มาเข้าทางเท้าของ วลาดิเมียร์ ซมิเซร์ ให้วอลเลย์ได้สวยงามเข้าไปอีกลูก เลยคิดว่านี่มันหนังคนละม้วนกับครึ่งแรกแล้ว ครึ่งนี้เป็นฝีมือแก้ทางของโคชหงส์แดง ราฟาเอล เบนิเตซ ที่แก้เกมมาได้ อ้าว...ยังคิดไม่จบเลย ก็เห็น "สตีวีจี" ของหงส์ถูกสะกิดล้มลงในเขตโทษของ มิลาน และเห็นกรรมการเอาลูกไปวางที่จุดโทษ แสดงว่าได้ลูกโทษแน่แล้ว แล้วใครจะยิงล่ะทีนี้
เพราะ เจอร์ราร์ด เคยเลียนแบบ เบคแฮม มาแล้วหนหนึ่งในนัดสำคัญ คือเตะวืดขึ้นฟ้า
หาแววลุ้นไม่เจอ
.
ในนาทีเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนั้น เห็น กซาบี อลนโซ กองกลางที่ เบนิเตซ เชื่อมือก็มารับอาสา แล้วก็ทำเอาแฟน ลิเวอร์พูล เกือบหัวใจวาย เมื่อ อลนโซ ซัดเต็มแรง แต่ประตูมือกาวของ มิลาน ซึ่งเซฟได้ดีเป็นพิเศษในคืนนั้น...ปัดออกมาได้
แต่แล้วก็เหมือนพระเจ้าทำสคริพต์ไว้เรียบร้อย เมื่อ อลนโซ ไม่ใช่ "อลนเซ่อ" เขาตัดสินใจตามเข้าไปซ้ำลูกฟุตบอลที่กระฉอกออกมา โดยที่นักเตะทั้ง มิลาน และชาวหงส์คนอื่นยังตกใจอยู่
กระดกเท้าส่งเข้าไปอย่างหวุดหวิด แม้นักเตะ มิลาน คนหนึ่งเอาเท้าซัดออกมา แต่กรรมการก็เป่าว่าลูกข้ามเส้นเข้าไปเรียบร้อยแล้ว โอ้...มายกอด !
ขณะที่ชาวหงส์แดงทั่วโลกชอคตะโกนดีใจพร้อมกันเต็มที่นั้น ชาวเอซี มิลานและแฟนปีศาจแดงดำทั่วโลกก็ชอคใบ้ไปด้วยเช่นกัน
ผู้เขียนจึงข่มตาหลับพลางนึกปลอบใจตัวเองว่า
ตอนนี้เป็นอะไรช่างหัวมันแล้ว คอยรู้ผลตอนเช้า คาดว่าน่าจะชนะ หรือแม้ทีมจะแพ้ ก็ไม่ขายหน้าสักเท่าไรแล้ว
ปรากฏว่าหลับไปได้พักใหญ่ ก็ตื่นมาอีกที เห็นเขากำลังดวลจุดโทษกันอยู่ อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงเข้าไปเปิดวิทยุในห้องน้ำฟัง คนบรรยายบอกว่า ลิเวอร์พูล ผ่อนเกมลงหรือ มิลาน ตั้งตัวได้แล้วหลังเสมอกัน 3:3 แม้กระทั่งต่อเวลา 30 นาที ลิเวอร์พูล เกือบไปหลายครั้ง โดยเฉพาะหวุดหวิดหน้าประตูโดยโชคช่วยหรือพระเจ้าไม่เป็นใจครั้งสำคัญ ตอนท้ายเกือบหมดเวลาต่อพิเศษ...
แล้วก็เลยมานั่งดูแบบไร้เสียงอีกเช่นเคย จนรู้ว่า เจร์ซี ดูเดค-ประตูหงส์ที่เป็นจอมยุ่ยเมื่อครึ่งเวลาแรกนั้น กลับมาเป็น ฮีโรเพราะเซฟลูกโทษได้ในตอนดวล แม้ ริเซ ของ ลิเวอร์พูล จะยิงไม่เข้าไปลูกหนึ่ง ถูกประตู มิลาน ปัดได้ แต่โดยรวมแล้ว แฟน ลิเวอร์พูล ทั่วโลกก็ได้เฮ พบความสุขอย่างเต็มที่และแทบเหลือเชื่อ หลังจากรอคอยถ้วยใบนี้มาถึง 21 ปี...21 ปีที่รอคอย...!! ด้วยชัยชนะอันหวาดเสียว 4:3 จากการดวล ช่างเป็นคืนที่ตื่นเต้นครบรสอะไรอย่างนั้น แม้เมื่อมาดูอย่างละเอียดจากเทปที่อัดไว้ ก็ยิ่งเห็นเป็นการชิงชนะเลิศที่สุดยอดครบรสและมีแรงเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาน่าใจหาย สมกับทีมสุดยอดของสองประเทศ 2 ลีกมาดวลกันโดยแท้
ผู้เขียนยังหาเนื้อเพลง YOU'LL NEVER WALK ALONE (ซึ่งเป็นเพลงประจำใจของชาวหงส์แดงไปแล้ว) ไม่ได้ แต่ได้เนื้อความเป็นเลาๆ พอเกลาเป็นกลอนชื่อ "เธอจะไม่โดด-เดี่ยวเดียวดาย" ได้ดังนี้ "คราใดที่เธอฝ่าพายุร้าย/ จงเชิดหน้าท้าทายให้ห้าวหาญ/อย่าหวั่นกลัวมืดมนอนธการ/พายุผ่านแสงรวีฉาดสีทอง/และนกน้อยร้อยดนตรีสุนทรีรส/เธอจงจรดเท้าย่างอย่างผยอง/แม้ความฝันวิมานทลายกลายทำนอง/เมื่อฝันต้องลมริ้วพลิ้วพลัดไป/ก้าวต่อไปก้าวต่อไปอย่าไหวหวั่น/สู้ด้วยหวังสู่ฝั่งฝันอันสดใส/จงเชิดหน้าท้าฝันด้วยมั่นใจ/เธอจะไม่โดดเดี่ยวผู้เดียวเลย
แด่ เธอะคอพ และทุกผู้ที่ไม่ยอมพ่ายหวังทั้งปวง @
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/8124