ทั่วไป
หลังจากพิกัดเบี้ยประกันภัยรถยนต์ใหม่ได้ประกาศใช้เมื่อปี 2543 เป็นต้นมา ในวงการธุรกิจประกันภัยรถยนต์ของไทยก็เปลี่ยนสีสันไปเป็นอย่างมาก จากเดิมที่ก่อนหน้านั้นเราจะได้ข่าวเสมอว่าธุรกิจประกันภัยของบริษัทนั้นบริษัทนี้กำลังเข้าสู่ภาวะขาดทุน หลายบริษัทประกันภัยประสบปัญหาเรื่องเงินทุนไม่พอกับการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ถึงขนาดที่กรมการประกันภัยต้องเข้าไปควบคุมอย่างใกล้ชิดอย่างน้อย 11 บริษัท
หลังจากพิกัดเบี้ยประกันภัยรถยนต์ใหม่ได้ประกาศใช้เมื่อปี 2543 เป็นต้นมา ในวงการธุรกิจประกันภัยรถยนต์ของไทยก็เปลี่ยนสีสันไปเป็นอย่างมาก จากเดิมที่ก่อนหน้านั้นเราจะได้ข่าวเสมอว่าธุรกิจประกันภัยของบริษัทนั้นบริษัทนี้กำลังเข้าสู่ภาวะขาดทุน หลายบริษัทประกันภัยประสบปัญหาเรื่องเงินทุนไม่พอกับการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ถึงขนาดที่กรมการประกันภัยต้องเข้าไปควบคุมอย่างใกล้ชิดอย่างน้อย 11 บริษัท
สาเหตุสำคัญที่ถูกนำมาอ้างถึงภาวะขาดทุนของธุรกิจประกันภัยรถยนต์ขณะนั้น คือโครงสร้างพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ที่ใช้อยู่เดิมล้าสมัยเพราะใช้มากว่า 20 ปีแล้ว อัตราเบี้ยประกันภัยที่กรมการประกันภัยกำหนดเดิมนั้นไม่พอกับค่าซ่อม ค่าอะไหล่ เนื่องจากปัจจุบันค่าแรง ค่าเงิน ค่าครองชีพได้เปลี่ยนแปลงสูงขึ้นกว่าเดิม รถยนต์ก็มีหลายรุ่นมาก แบบ และราคารถยนต์ก็สูงขึ้นหลายเท่าตัว
ต่อมาเมื่อกรมการประกันภัยประกาศใช้พิกัดเบี้ยประกันภัยรถยนต์ใหม่ โดยแยกแยะปัจจัยการกำหนดเบี้ยประกันภัยออกเป็นหลายปัจจัย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายของผู้เอาประกัน และฝ่ายบริษัทรับประกัน ตัวอย่าง ปัจจัยความเสี่ยงภัยที่ต้องนำมากำหนดเบี้ยประกัน เช่น
ประเภทของรถยนต์ รถที่นำเข้าทั้งคัน เบี้ยประกันก็จะสูงกว่ารถที่ผลิตภายในประเทศ รถที่มีจำนวนซีซีของกระบอกสูบมาก เบี้ยประกันสูงกว่ารถที่มีกระบอกสูบน้อยกว่า รถที่บรรทุกน้ำหนักมากกว่าเบี้ยประกันก็ต้องแพงกว่ารถที่มีน้ำหนักบรรทุกน้อยกว่า
การใช้งานของรถยนต์ รถที่ใช้เพื่อการพาณิชย์ เบี้ยประกันก็ต้องแพงกว่ารถที่ใช้งานส่วนบุคคล รถรับจ้างเบี้ยประกันก็ต้องแพงกว่ารถที่ใช้งานทั่วไป
แบบของกรมธรรม์ รถที่ใช้งานโดยจำกัดผู้ขับขี่ (ระบุชื่อผู้ขับขี่) เบี้ยประกันก็จะถูกกว่ารถที่ใช้โดยไม่จำกัดผู้ขับขี่
ความเสียหายส่วนแรกที่ผู้เอาประกันยอมรับผิดชอบเองก็จะทำให้เบี้ยประกันภัยถูกลงตามสัดส่วนที่รับผิดชอบเอง
ส่วนลดประวัติดี รถที่มีประวัติการเกิดอุบัติเหตุน้อยหรือไม่เกิดอุบัติเหตุเลยก็จะได้รับส่วนลดประวัติดีต่อเนื่องถึงร้อยละ 50 และเมื่อเกิดอุบัติเหตุก็จะปรับส่วนลดเบี้ยประกันเป็นขั้นๆ ไป ซึ่งแต่เดิมนั้นถือว่าส่วนลดเบี้ยประกันประวัติดีถูกยกเลิกไปเลยหากมีการเกิดเคลมค่าเสียหาย
ในการประกาศใช้พิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ใหม่ดูจะได้รับการตอบรับจากสังคมพอสมควรอันเนื่องจากเจ้าของรถผู้เอาประกันมีทางเลือกมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้วเบี้ยประกันรถยนต์ทั้งระบบจะถูกปรับสูงขึ้นกว่าเดิมร้อยละ 10-50 ทำให้วงการธุรกิจประกันภัยรถยนต์มีกำไร บริษัทประกันภัยต่างๆ ขยายไลน์เพิ่มสัดส่วนรับประกันภัยรถยนต์มากขึ้น บริษัทประกันภัยต่างประเทศก็เข้ามาร่วมทุนหรือซื้อบริษัทประกันภัยในไทยมากขึ้น
แต่จากการแข่งขันของธุรกิจประกันภัยระยะหลังๆ บริษัทประกันภัยต่างกระโดดมาแข่งขันรับประกันรถยนต์มากขึ้น มีการแย่งลูกค้าโดยการลดเบี้ยประกันภัย จนไม่มีบริษัทใดเลยที่จะยอมรักษากฎกติกาพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย เพราะถ้าจะรักษาพิกัดอัตราไม่ให้ส่วนลดเลยก็จะแข่งขันกับบริษัทอื่นๆ ไม่ได้ ทำให้เบี้ยประกันภัยที่บริษัทประกันภัยแต่ละบริษัทขายกันอยู่ทุกวันนี้ผิดเพี้ยนไปจากโครงสร้างพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยที่ประกาศใช้เมื่อปี 2543 ไปอย่างมาก
แต่ถ้ามองในแง่ของตลาดธุรกิจประกันภัยรถยนต์ ที่ทุกวันนี้มีรถยนต์เข้าตลาดสูงมากขึ้นกว่าปีละ 300,000 -500,000 คัน เบี้ยประกันมันก็ควรจะปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับปริมาณ ซึ่งเป็นไปตามหลักเศรษฐศาสตร์ธุรกิจหรือกลไกลตลาดที่ราคาย่อมแปรผันไปตามปริมาณ ปริมาณมากราคาก็ควรจะถูกลง
เรื่องนี้ผู้เขียนเคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้ว่าเบี้ยประกันที่กรมการประกันภัยประกาศมาเมื่อปี 2543 นั้นแพงมากไปและเป็นการช่วยเหลือบริษัทประกันภัยค่อนข้างมาก โดยครั้งนั้นได้รับเหตุผลว่าเพื่อให้บริษัทประกันภัยปรับตัวให้แข็งแรงขึ้นเพราะประเทศไทยถูกบังคับให้เปิดประกันเสรีตามเงื่อนไข ดับเบิลยูทีโอ (WTO) หากธุรกิจภายในประเทศไม่แข็งแรง ก็จะไม่สามารถแข่งขันกับบริษัทต่างประเทศที่จะเข้ามาได้
ก็ต้องยอมรับว่าตั้งแต่ประกาศใช้พิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยใหม่ปี 2543 มาจนถึงปัจจุบันเราไม่จะค่อยได้ยินว่ามีบริษัทประกันภัยใดมีปัญหาเรื่องเงินทุนไม่พอจ่ายค่าสินไหมทดแทน เท่าที่มีบ้างก็จะเป็นบริษัทประกันไม่ค่อยมีวินัยในด้านการเงินหรือขายเบี้ยประกันถูกมากเกินไป ซึ่งกรมการประกันภัยก็สามารถควบคุมได้เป็นอย่างดี
แต่เมื่อมาถึงวันนี้ปี 2548 เป็นเวลากว่า 5 ปีแล้วสำหรับการประกาศใช้พิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ สมควรอย่างยิ่งที่โครงสร้างพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยจะได้รับการปรับปรุง โดยปรับให้สมเหตุสมผลกับกลไกตลาด ดีกว่าปล่อยให้บริษัทประกันภัยต่างขายเบี้ยประกันภัยแบบผิดเพี้ยนไปจากพิกัดมากไปกว่านี้ ซึ่งนอกจากจะทำให้พิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยที่กรมการประกันภัยประกาศไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังไม่เป็นการส่งเสริมการเข้าสู่ยุคประกันภัยเสรีด้วย
ดังนั้นก็ถึงเวลาที่จะต้องยกเครื่องเบี้ยประกันรถยนต์ภาคสมัครใจโดยเปิดทางบริษัทใช้ดุลพินิจมากขึ้น โดยทางกรมการประกันภัยกำลังพิจารณา ในเบื้องต้นจะให้ประกาศใช้พิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยปรับปรุงใหม่ให้มีผลใช้บังคับในวันที่ 1 กรกฎาคม 2548 นี้
จากการแถลงรายงานของกรมการประกันภัยในเรื่องนี้โดยนางสาวบุษรา อึ๊งภากรณ์ รองอธิบดีกรมการประกันภัยในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาวางระบบจัดเก็บข้อมูลและปรับปรุงอัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ว่าการปรับปรุงรื้อโครงสร้างอัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ เปิดทางบริษัทประกันใช้ดุลพินิจรับประกันภัยเพิ่มเติมได้เพื่อรองรับการเปิดเสรี
สำหรับหลักเกณฑ์สำคัญของการปรับปรุงแก้ไขพิกัดอัตราในครั้งนี้ประกอบด้วย การเพิ่มช่วงกว้างของเบี้ยประกันภัยพื้นฐานขั้นต่ำ และสูงสุดให้มากขึ้น เพื่อให้บริษัทประกันภัยสามารถใช้ดุลพินิจในการับประกันภัยได้เพิ่มขึ้น และเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมหากจะมีการปล่อยเสรีในด้านอัตราเบี้ยประกันภัยในอนาคต
เบี้ยประกันภัยที่กำหนดใหม่เป็นอัตราเบี้ยประกันภัยที่ประชาชนผู้เอาประกันภัยและบริษัทประกันภัยยอมรับได้ โดยมีการปรับลดหรือเพิ่มเบี้ยประกันภัยบวก/ลบไม่เกิน 20 % ยกเว้นรถลากจูงหรือรถพ่วงที่มีความเสี่ยงภัยสูงมาก โดยจะให้บริษัทประกันภัยสามารถลดเบี้ยประกันภัยสำหรับรถใหม่ที่มีอายุการใช้งานไม่เกิน 1 ปี ซึ่งเป็นรถยนต์นั่งและรถโดยสารที่มีลักษณะการใช้ส่วนบุคคลได้โดยขึ้นอยู่กับความสมัครใจของบริษัทประกันภัย แต่ทั้งนี้ สามารถลดได้ไม่เกิน 15 % ของเบี้ยประกันภัยสุทธิ
ในส่วนของอายุผู้ขับขี่ให้อายุเกิน 50 ปี ได้ปรับปรุงให้รับส่วนลดมากกว่ากลุ่มคนอายุ 36-50 ปี คือ จากเดิมลดในอัตรา 15 เป็น 20 % และอายุ 36-50 ปี จากเดิมลดในอัตรา 20 เป็น 15 % เนื่องจากผู้ขับขี่ที่มีอายุกลุ่มนี้จะมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ขับขี่ที่มีอายุเกิน 50 ปี โดยกำหนดให้ใช้เฉพาะรถยนต์นั่ง และรถโดยสามารถที่ทำการประกันภัยประเภท 1 และประกันภัยประเภท 2
นอกจากนี้ ยังเพิ่มลักษณะการใช้รับจ้างสาธารณะ สำหรับรถจักรยานยนต์ โดยใช้อัตราเบี้ยประกันภัยเดียวกับลักษณะการใช้เพื่อการพาณิชย์ไปก่อน เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุงกฎหมายของกรมการขนส่งทางบก
และได้มีการปรับปรุงอัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับเอกสารแนบท้าย 3 ประเภทคือ การประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (รย. 01) การประกันภัยค่ารักษาพยาบาล (รย. 02) และการประกันภัยตัวผู้ขับขี่ (รย. 03) ซึ่งปัจจุบันกำหนดเป็นอัตราคงที่เป็นอัตราเบี้ยประกันภัยขั้นสูงแทนเพื่อให้ประชาชนผู้เอาประกันภัยได้รับประโยชน์มากขึ้น และเพื่อให้บริษัทประกันภัยสามารถใช้ดุลพินิจในการกำหนดเบี้ยประกันภัยตามความเสี่ยงภัย
ในขณะหลายบริษัทประกันภัยก็เตรียมบุกตลาดประกันภัยรถยนต์ หลังประเมินสถานการณ์ตลาดรถในปีนี้คาดว่าจะขยายตัวกว่า 32 % หลังจากในปีที่ผ่านมาธุรกิจรถยนต์เติบโตประมาณ 60 % ซึ่งก็ถือว่ายังอยู่ในทิศทางที่ดี ทั้งนี้ยังได้รับปัจจัยหนุนจากการแสดงมอเตอร์โชว์ และมอเตอร์เอกซ์โป อีกด้วย จึงเป็นส่วนที่ช่วยให้ธุรกิจประกันรถยนต์ยิ่งเติบโตยิ่งขึ้น
ก็คงจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจรอรับโครงสร้างพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ใหม่กันเร็วๆ นี้นะครับ
เรื่องโดย : กฤชกมล
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2548
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/8068