ขออาลัยอย่างสุดซึ้งกับเหตุการณ์ใน 6 จังหวัดภาคใต้ ที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นยักษ์ โหมเข้าถล่มบ้านเรือน ร้านค้า สถานบันเทิงบริเวณริมหาด ย่อยยับในชั่วพริบตา รวมถึงชีวิตมนุษย์อีกนับพัน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก รวมทั้งกุศลผลบุญของแต่ละท่าน หนุนส่งผู้ประสบเคราะห์กรรมจงมีความสุขในสัมปรายภพเทอญ

ขออาลัยอย่างสุดซึ้งกับเหตุการณ์ใน 6 จังหวัดภาคใต้ ที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นยักษ์ โหมเข้าถล่มบ้านเรือน ร้านค้า สถานบันเทิงบริเวณริมหาด ย่อยยับในชั่วพริบตา รวมถึงชีวิตมนุษย์อีกนับพัน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก รวมทั้งกุศลผลบุญของแต่ละท่าน หนุนส่งผู้ประสบเคราะห์กรรมจงมีความสุขในสัมปรายภพเทอญ ชั่วชีวิตของกระผม ก็เพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรกนี่แหละครับ มันน่าสลดใจจริงๆ แต่ก็ยังซึ้งในน้ำใจคนไทย ที่ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ผ่านทั้งองค์กรของรัฐ มูลนิธิต่างๆ มากมาย วิ่งขบวนรถกันเป็นสายลงสู่ 6 จังหวัดภาคใต้ ดีใจ ที่เราชาวไทยไม่ทอดทิ้งกัน เริ่มเรื่องกันอย่างเศร้าๆ นะครับ แต่เนื้อหาต่อจากนี้จะไม่เศร้าเลย เพราะตัวเลขการขายในเดือน 11 ที่ผ่านมา ทำเอาบรรดานักการตลาดกระดี๊กระด๊ากันยกใหญ่ ตัวเลขยอดการขายเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงปรอทแตก 36.4 % ทำยอดได้ 58,578 คัน ยอดรวมปาเข้าไป 552,773 คัน กว่าโค้งอันตรายฉบับนี้จะถึงมือท่าน คงจะมีผู้ออกมาป่าวประกาศถึงตัวเลขประมาณการ สำหรับปี 2548 นี้ เอาเป็นว่าขออนุญาตให้โหรหลังสถานฑูตจีน ประเมินก่อน เพราะต้องเขียนต้นฉบับล่วงหน้าว่า ตัวเลขประมาณการของปี 2547 จะขายกันได้ราวๆ 610,00 คัน ประมาณว่า 11 เดือนขายได้ 552,773 บวกอีกเท่ากับเดือน 11 552,773+58,578=611,351 คัน คือตัวเลข 12 เดือนของปี 2547 นี้ ตัวเลขของปี 2548 จะอยู่ที่ประมาณเพิ่มอีก 10 % ก็คือ 611,351+61,135=672,486 คัน บัญญัติไตรยางค์อย่างง่ายๆ นะครับ บังเอิญกระผมได้รับการส่งเสียให้เล่าเรียนมาน้อย ไม่ได้มีดีกรีสูงส่งเป็นดอคกับเขา ก็เลยใช้วิธีคิดเอาอย่างคนธรรมดาสามัญนี่แหละครับ แต่ต้องไม่ลืมสภาวะแวดล้อมทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม อย่าลืมว่าเดือนกุมภาพันธ์ จะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ หนนี้รถเก่ารถใหม่จะขายดีกันถ้วนหน้า เพราะหัวคะแนนมีความจำเป็นต้องใช้ เพียงแต่ว่าจะดาวน์ให้ก่อนเท่านั้น ส่วนค่างวดค่อยว่ากันทีหลัง หลังเสร็จเลือกตั้งแล้ว ไฟแนนศ์กรุณาตามเอาคืนเองนะจ๊ะ อย่าลืมว่าปัญหาหมกเม็ด 3 จังหวัดภาคใต้ยังไม่จบ อย่าลืมว่าปัญหายาเสพติดยังคุกรุ่น อย่าลืมว่าเงินที่ทุ่มลงไปกับสนามบินสุวรรณภูมิ ยังไม่หวนคืนกลับมาเป็นกำไร แถมยังจะต้องปรับปรุงสนามบินดอนเมือง ให้กลายเป็นสถานที่ทำการอีก แถมต้องเริ่มต้นจ่ายดอกเบี้ยเสียแล้วกระมัง อ้อ เรื่องสุดท้ายที่ไม่อยากให้ลืมครับ อภิมหาโครงการกรุงเทพ ฯ เมืองใหม่ อภิมหาโครงการถนนในทะเล ไปขึ้นที่แหลมผักเบี้ย อภิมหาโครงการรัฐสภาแห่งใหม่ ที่ยังชักเข้าชักออกกันอยู่นั่นแหละ แหม ทีแรกนึกว่าเรื่องเดียว เขียนไปๆ ชักเยอะ ที่จริงยังไม่หมดนะเนี่ย แต่กลัวว่าจะกลายเป็นคอลัมน์แนะนำโครงการใหม่ๆ ของภาครัฐไปเสีย แถมจะเข้าข่ายสนับสนุนออกนอกหน้าเสียด้วยสิ ส่วนเรื่องที่มาเลย์ ประกาศจะลดอัตราภาษีตามมติของ อาฟตา ที่เสนอกันมานมนากาเล แล้ว ก็ยังเป็นรื่องลอยอยู่ในวิมานเช่นเดิม เพราะตามข่าวที่ออกมา สังเกตดูตอนท้ายๆ นะครับ มีหมกเม็ดว่าจะยังคงให้การสนับสนุนผู้ผลิตชิ้นส่วนภายในประเทศ เพื่อให้สามารถยืนหยัดได้ต่อไป ประมาณว่าพูดเรื่องจริงไม่หมดแหละครับ ใครอยากเถียงเรื่องนี้เชิญได้ หลังปีใหม่มานี่ รู้สึกเปรี้ยวปากจัง อ้อ คนที่พักอาศัยอยู่แถวสี่แยก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โปรดเตรียมตัวให้พร้อม ทางการเริ่มย้ายสิ่งสาธารณูปโภคที่กีดขวางออกแล้ว กำลังจะเริ่มดำเนินการขุด ขุด และขุด เพื่อทำอุโมงค์ลอดใต้ถนนพหลโยธิน คาดว่าจะใช้เวลาอย่างเร็วที่สุด 3 ปีครับ เกิดมาเป็นคนกรุงเทพ ฯ ต้องทำใจ ยอมรถติดเพื่อให้การจราจรโปร่งโล่ง ในอีก 3 ปีข้างหน้า รักษาสภาพจิตเอาไว้ก่อนนะครับ จะได้เห็นถนนที่รถราวิ่งกันฉิว ขอวกกลับไปตรงตัวเลขหน่อยนะครับ อย่าลืมว่ามาตรฐานมลพิษ หรือมลภาวะฉบับใหม่ จะมีผลบังคับใช้ ปีหน้านี้ ทำให้บรรดาผู้ประกอบการที่ผลิตรถกระบะ 1 ตัน เครื่องยนต์ดีเซล ต้องปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ เพื่อให้ผ่านมาตรฐานไอเสียใหม่ ความหมายง่ายที่สุดก็คือ รถกระบะดีเซลรุ่นใหม่ ราคาจะสูงขึ้น ตั้งแต่ประมาณเดือนตุลาคม เป็นต้นไป ซตพ. ง่ายดีไหมครับ เรื่องถัดไป เป็นรายการหาเสียงช่วง 3 เดือน ก่อนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการจราจรบนถนนวิภาวดีรังสิต มีความคล่องตัวขึ้น เนื่องจากมีจุดที่เกิดการจราจรติดขัด ในระดับพื้นราบอยู่เป็นประจำ แต่ส่วนที่เป็นทางยกระดับ ปริมาณการจราจรยังเบาบาง สามารถรองรับปริมาณการจราจรเพิ่มได้อีก รวมทั้งในช่วงเทศกาล มีผู้ใช้รถใช้ถนนเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดอุบัติเหตุกันอยู่บ่อยๆ ปัจจุบัน การจราจรบนถนนวิภาวดีรังสิตหนาแน่นในพื้นที่ราบประมาณ 250,000 คัน/วัน ส่วนบนทางยกระดับมีการจราจรประมาณ 100,000 คัน/วัน ยังสามารถรองรับได้อีก 80,000 คัน/วัน ปัจจุบัน ทางยกระดับดอนเมือง มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 3.3 ล้านบาทเศษ ในอัตราที่จัดเก็บสำหรับรถเก๋ง 4 ล้อ 30 บาท/คัน ส่วนที่เชื่อมต่อจากดอนเมือง-อนุสรณ์สถาน 13 บาท/คัน ส่วนของกรมทางหลวงจัดเก็บช่วงอนุสรณ์สถาน-รังสิต 10 บาท/คัน รวมตลอดทั้งสาย 53 บาท/คัน ถ้าสามารถจูงใจให้ผู้ใช้ทางในพื้นที่ราบ ขึ้นไปใช้บนทางยกระดับได้บางส่วน ก็จะทำให้การจราจรในระดับพื้นราบเบาบางลง และมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น จึงเห็นควรให้ดำเนินการดังนี้ เริ่มด้วยยกเลิกค่าผ่านทาง 10 บาทสุดท้ายของกรมทางหลวง แล้วปรับเปลี่ยนค่าผ่านทางของ ทางยกระดับดอนเมือง เป็นรถยนต์ 4 ล้อ เก็บคันละ 20 บาทตลอดทั้งสาย ส่วนรถที่มีล้อเกิน 4 ล้อ เก็บคันละ 50 ตลอดทั้งสายเช่นกัน อ้อ ไม่นับรวมล้ออะไหล่นะครับ เอาเฉพาะล้อที่ติดกันถนนก็พอ ทั้งนี้เป็นการทดลอง เป็นการชั่วคราว 3 เดือน ปัจจุบันมีปริมาณรถที่ใช้ทางยกระดับเฉลี่ย 70,000 คัน/วัน แต่ถ้าหากปริมาณรถเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 70,000 คัน/วัน หรือมีผลทำให้รายได้ต่ำกว่า 3.3 ล้านบาท/วัน รัฐจะชดเชยให้กับบริษัทในส่วนต่างในอัตราร้อยละ 80 แต่หากรายได้รวมคงเดิมหรือมากกว่าเดิม หาร 2 จ้า ส่วนเงินที่จะต้องชดเชย กำหนดให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน เป็นเจ้าภาพจัดสรรเงินชดเชยให้ คนช่างคิดนะครับ ร้อยวันพันปีไม่คิด แต่พอถึงเวลาตีระฆัง กำหนดวันเลือกตั้ง แหม ทำไมความคิดมันถึงได้พรูพรั่ง ถะถั่งหลั่งหลายปานฉะนี้ ผู้น้อยขอคำนับด้วยสุราสัก 10 จอก ขอคารวะ