ทั่วไป
-
เมื่อกล่าวถึง "เพลงผู้ใหญ่ลี" ถ้าจะให้จบกระแสความก็ต้องขอเล่าถึงเพลงที่มาในชุดเดียวกันคือ "เพลงสาวบ้านแต้" เพราะเพลงนี้นอกจากเป็นเรื่องมีที่มาใกล้เคียงกัน และโด่งดังพอๆ กันแล้ว ยังมีภาษาที่น่านำมาคุยกันสนุกๆ อีกด้วย
น่าเสียดายที่เพลงรำวงดั้งเดิมไม่เป็นที่แพร่หลายนัก จึงขอนำเพลงรำวงตำรับ "สุนทราภรณ์" มาคุยกัน
เพราะเพลงชุดนี้โด่งดังไม่ใช่เล่น แต่ไม่แน่ใจว่าผู้แต่งเนื้อร้องว่าจะเป็นคุณสมศักดิ์ เทพานนท์ ผู้มี
ความสามารถทั้งแต่งเพลง และขับร้องหรือไม่ แต่ผู้ร้องนำหมู่นั้นย่อมไม่หนีไปจากคุณศรีสุดา รัชต
วรรณ กับคุณเลิศ ประสมทรัพทย์ คู่เอกในดวงใจของแฟนเพลงรำวงสุนทราภรณ์แน่นอน
เพลงนั้นมีเนื้อร้องดังนี้
"เดียนสามนกกาเหว่ามันฮ่อง ยูงทองมันก็ฮ่องวอยๆ จากไปสาหวีวี่วี (ซ้ำ) หากบุญเฮามีคงจะได้เจอ
กัน (ซ้ำ)
จากกันตั้งแต่วันตี้ห้า วันตี้ห้าเดือนกันยายน พอศอสองสี่เก้าๆ (ซ้ำ) เจ้าซิ่อ่องไลเนอ เฮ็ดเปอเซอคือกะ
ด้งฝัดข่าว เจ้าซิอ่องไลแม สาวบ้านแต้ขี่สักกะยาน (ซ้ำ)
จดหมายไปสองสะบับ ได้ฮับหรือป่าวคนดี จากไปสาหวีวี่วี (ซ้ำ) ถ่าบุญเฮามีคงจะได้เจอกัน (ซ้ำ)
สายัณห์ตะวันแหล้ๆ สาวบ้านแต้ขี่รถสักกะยาน ขี่ไปทุกถิ่นสถาน (ซ้ำ) ขี่รถสักกะยานไปกับสันไหมเธอ
เสียใจบ้านอยู่ไกไปหน่อย ก้วยอ้อยเป็นแต่ป่าสอนลอน ขี่ไปจนหัวเข่าเหนื่อยอ่อน (ซ้ำ) เป็นป่าสอน
ลอนคือเกษตรสมบูรณ์ (ซ้ำ)"
ดูถ้อยคำสำเนียงแล้ว ไม่มีทางอื่นที่จะเลี่ยงว่าไม่ใช่เลียนถ้อยคำสำเนียงชาวอีสาน ซึ่งก็เป็นการดีที่
ดึงเพลงรำวงพื้นบ้านมาสู่ความสนใจของคนไทยทั่วไป ในวันเก่านั้น ไม่มีการโวยวายว่าเป็นการล้อ
เลียนหรือเหยียดหยามชาวอีสานแต่อย่างใด
แต่สิ่งที่ลูกอีสานให้ความสนใจ คือผู้แต่ง หรือผู้ร้อง ดูจะสับสนระหว่างถ้อยคำสำเนียงอีสานกับถ้อยคำสำเนียงชาวเหนือ
จริงอยู่ที่คำบางคำจะออกเสียงเหมือนกัน เช่น คำภาษากลางที่เป็นสระ "เอือ" คำทางภาคอีสานจะเป็น
สระ "เอีย" (เช่น เดือน เป็น เดียน) แต่คำที่ภาคกลางเป็น "ท" ซึ่งทางภาคเหนือออกเป็นเสียง "ต" นั้น แต่ทางอีสานยังออกเสียง "ท"
ลองไล่เลียงดูว่าที่ร้องก้องสนั่นทั้งบ้านทั้งเมืองนั้น ในฐานะ "ยามภาษา" แบบชาวบ้านเราเห็นอะไร
แปลกไปบ้าง
คำแรกคือ "เดือน" ที่ออกเสียงเป็น "เดียน" นั้นไม่มีปัญหา เพราะชาวอีสานส่วนใหญ่ออกเสียงเช่นนั้น
เช่น "เกลือ" เป็น "เกีย" (ไม่มีควบกล้ำ) "เสือ" เป็น "เสีย" ฯลฯ แต่ว่าไม่ใช่เห็นสระ "เอือ" แล้วต้องเป็น
สระ "เอีย" เสมอไป ถ้าเป็นภาษาสมัยใหม่หรือคำสมัยใหม่แล้ว ชาวอีสานก็ออกเสียงสระ "เอือ" เช่น
"รุ่งเรือง" (แต่ลิ้นชาวอีสานไม่นิยมดัดลิ้นเป็นเสียง "ร" จึงเป็นเพียง "ลุ่งเลือง") ไม่ใช่ "รุ่งเรือง" หรือ
ออกเสียงเป็น "ฮุ่งเฮียง" อย่างที่มีคนเข้าใจผิดว่า "ร" ของภาษากลาง ทางอีสานออกเสียง "ฮ" เสมอ
คำต่อมาคือ "ฮ่อง" (ถ้าเขียนให้เข้าใจง่าย ควรต้องเขียนว่า "ฮ้อง" ตามลักษณะคำที่มีพยัญชนะต้นเป็น
อักษรต่ำ เมื่อผันด้วยวรรณยุกต์เอกจะออกเสียงเป็นเสียงโท ถ้าผันด้วยวรรณยุกต์โทจะออกเสียงเป็น
เสียงตรี แต่คำทั่วไปที่ภาษากลางออกเสียงเป็นเสียงตรีนั้น สำเนียงอีสานทั่วไปจะออกเสียงเป็นเสียงโท (เช่น "ม่าน่อย" ที่เล่าไว้ในตอนเพลงผู้ใหญ่ลี ถ้าจะเขียนให้พออ่านรู้เรื่องก็ต้องเขียน "ม้าน้อย" แต่ถ้าเขียนให้ใกล้เคียงที่ชาวอีสานออกเสียงจริงๆ ก็ต้องเขียน "ม่าน่อย")
คำ "วอยๆ" เป็นคำวิเศษณ์ประกอบคำกริยา "ร้อง" (ถ้าเป็นสมัยเก่าครูก็คงสอนว่าเป็น "คำกริยา
วิเศษณ์") เป็นการเลียนเสียงร้องของนกยูง
เช่นเดียวกับคำ "จากไปสาหวีวี่วี" ซึ่งมาจากคำ "จากไปซะไกลลิบลิ่ว (ไกลแสนไกล)" มีคนไปเขียนเป็น
"สวี" ตามเสียงที่ร้องออกมา ทำให้เกิดการเข้าใจผิดไปได้
ความเข้าใจผิดอีกอย่างก็คือ เนื่องจากชาวอีสานไม่นิยมออกเสียง "ร" ฉะนั้น คำที่เป็นเสียง "ร" ดั้งเดิม
ในภาษาอีสาน จึงเป็นเสียง "ฮ" ไป เช่น เฮือน (เรือน) ฮ้อน (ร้อน) โฮง (โรง) เฮียน (เรียน) แต่ถ้าเป็นคำ
สมัยใหม่ เช่น "โรงเรียน" "โรงพยาบาล" ก็จะออกเสียงเป็น "โรงพยาบาล" เช่นเดิม ต่างแต่ไม่ดัดเสียง
รัวเป็น "ร" หากแต่ออกเสียงเป็น "ล" ฉะนั้น จึงออกเสียงที่แท้เป็น "โลงเลียน" "โลงพยาบาล"
ด้วยเหตุผลประการฉะนี้ คำที่ว่า "ฮ้อน" ผู้เขียนจึงเขียนว่า "ฮ่อน" แต่คำ "ได้ฮับ" ตามที่ชาวสุนทราภรณ์
ร้องนั้นไม่ใช่อีสานที่แท้ ที่ถูกต้องควรออกเสียงว่า "ได้ลับหลือป่าว"
ย้อนกลับไปดูคำ "เจ้าซิอ่องไลเนอ" และ "เจ้าซิอ่องไลแม" ถ้าเขียนอย่างให้เข้าใจภาษาที่แท้จริงก็คือ
"เจ้า (อย่า) ซิโอ่งหลายเน้อ" ซึ่งแปลว่า "เธอหยิ่งมากนักนะ" และ "เธออย่าหยิ่งมากนักซี" คนที่กำกับ
การร้อง เวลาคุณศรีสุดาร้อง ควรจะกำชับว่า "โอ่ง" ไม่ใช่ "อ่อง" "โอ่ง" ภาษาอีสานแปลว่า "หยิ่ง" และ
"หลาย" แปลว่า "มาก" ส่วน "เน้อ" หรือ "เด๊อ" เป็นคำสั่งกำชับทำนองว่า "นะ"
คำว่า "เฮ็ดเปอเซอคือกะด้งฝัดช่าว" เป็นคำที่พูดเชิงเสียดสีหน่อยๆ ว่า "ทำหน้าบานเหมือนกะด้งฝัด
ข่าว" เทียบสำนวนไทยทั่วไปก็ว่า "หน้าบานเป็นจานเชิง" (เฮ็ด=ทำ, เปอเซอ=บาน, คือ=เหมือน)
"สะบับ" ก็คือ "ฉบับ" พึงเข้าใจว่าอีสานแท้มีแต่เสียง "สอ-ซอ" ไม่มีเสียง "ฉอ-ชอ" ดังนั้น "ฉบับ" จึง
ออกเสียงเป็น "สะบับ" และ "ฉัน" จึงเป็น "สัน" (ขี่รถสักกะยานไปกับสันไหมเธอ)
"แหล้ๆ" แปลว่า "สีคล้ำๆ-มืดๆ" เช่นเรียกคนผิวสีคล้ำว่า "ไอ้แหล้" (ออกเชิงไม่นับถือ) หรือ "อ้ายแหล้"
(ยกย่องเป็นพี่) ถ้าเรียกเชิงเหยียดๆ นิดๆ เอ็นดูหน่อยๆ ก็เรียก "บักแหล้" (=ไอ้แหล้)
คำว่า "ไก" - "ก้วย" ก็คือ "ไกล-กล้วย" คงเข้าใจได้ดีว่าอีสานไม่นิยมควบกล้ำ ส่วนคำว่า "สอนลอน"
แปลตรงๆ ก็คือ "สลอน" นั่นเอง (ย้ำว่า อีสานไม่นิยมใช้ควบกล้ำ)
ความจริงซึ่งเพื่อนผู้รู้จริงอย่างอาจารย์อำพล สุวรรณธาดา ครูภาษาไทยดีเด่น กำชับผู้เขียนว่า ควร
บอกกล่าวความจริงให้รู้ทั่วกันว่า วันเวลาเริ่มต้นเพลงผู้ใหญ่ลีนั้น ที่จริงต้องราวๆ พศ. 2483-2484
(สองพันสี่ร้อยแปดสิบสาม-สองพันสี่ร้อยแปดสิบสี่) คือสมัยจอมพลป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี มีการสั่งให้ประชาชนปลูกผักทำสวนครัว และเลี้ยงสัตว์ เช่น หมู เป็ด-ไก่ เพื่อเป็นการส่งเสริมอาชีพในครัวเรือน นักร้องนักแต่งเพลงรำโทนพื้นบ้านก็ "หัวแหลม" ใช้ภูมิปัญญาแบบชาวบ้าน ก็นำเหตุการณ์มาแต่งร้องประกอบการรำโทนมาก่อน ก่อนที่ที่จะมีชาวเมืองและกรมศิลปากรเอามาแต่งเพลงรำวงในกาลต่อมา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้แล
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กันยายน ปี 2547
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/7753