ทั่วไป
-
เหยียบดอกไม้... สะเทือนถึงดวงดาว
เคยได้ยินคำพูดที่ว่านี่หรือไม่ครับ ผลสะเทือนจากการปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ เพื่อนำไปสู่การเป็น
ศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในภูมิภาคเอเชีย (DETROIT OF ASIA) และสนับสนุนให้ผู้ผลิตรถยนต์พัฒนาเครื่องยนต์ที่มุ่งไปสู่การประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง
ทันทีที่กระทรวงการคลังประกาศออกมา ว่าผ่านมติ ครม. แล้ว วันรุ่งขึ้นค่ายยุโรป ก็ประกาศลดราคา
รถทันที พออีกวันต่อมารถญี่ปุ่น ค่ายรังสิตก็ประเภทเสือปืนไวเหมือนกัน ประกาศลดราคาทันทีเช่นกัน
เท่านั้นเอง โทรศัพท์ก็กระหึ่มทั่วประเทศ ก็จากบรรดาผู้ค้ารถทั้งหลายนั่นแหละครับ ว่าจะค้าขายกัน
อย่างไร สตอคเก่าจะว่าอย่างไรกัน บริษัทแม่จะยอมลดราคาให้หรือเปล่า
คิดง่ายๆ ว่า บริษัทรถยนต์ใหญ่ๆ สักสิบบริษัท แต่ละบริษัทมีผู้แทนจำหน่ายไม่เท่ากัน ผู้แทนจำหน่าย
ทุกคนทั้งประเทศ ก็อยากรู้ว่า บริษัทแม่จะทำอย่างไร ลดราคาเท่าไร
คนทั้งประเทศเลยนะครับ ที่ต้องโทร. ติดต่อถึงกันโดยด่วน เพราะไม่อย่างนั้นก็ค้าขายกันไม่ได้
จะตัดสินใจขายรถสักคันก็ไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าจะต้องลดราคาให้ลูกค้าเท่าไร ต้องแถมอะไรได้หรือเปล่า
ลูกค้าเองก็ไม่กล้าตัดสินใจซื้อรถ ในเมื่อคนขายเองยังบอกไม่ได้ว่าจะลดราคาเท่าไร สนุกสนานกันไป
ทั้งวงการ ทั่วประเทศ
เรื่องของเรื่องก็เป็นเรื่องของธุรกิจนั่นแหละครับ บริษัทแม่บังคับให้ผู้แทนจำหน่าย ต้องมีสตอคเพื่อการ
ขายอย่างน้อย ก็ประมาณเท่ากับยอดขายต่อเดือน สมมติว่าขายเดือนละ 500 คัน ผู้แทนจำหน่ายก็ต้องมีรถอยู่ในสตอคอย่างน้อย 500 คันในแต่ละช่วงเวลา ส่วนเรื่องเงินเรื่องทอง ก็แล้วแต่มาตรฐานของแต่ละบริษัท ของแต่ละสถาบันการเงิน ว่าคิดกันอย่างไร ซึ่งไม่เหมือนกัน
บังเอิญว่าตอนประกาศปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ สตอคก็ยังเต็มสตีมอยู่เต็มโกดัง เท่านั้นเองแหละ
ครับ ท่านสารวัตร
แล้วเจ้า 500 คันที่เต็มสตอคอยู่ที่ว่านี่ จะขายกันราคาเท่าไรกันแน่ คิดภาษีใหม่หรือยัง ใครจะแบกส่วนต่างของภาษี
คนที่ทำเรื่องพวกนี้นี่ ได้แต่เก็บเอาไว้ในอก ว่ายุ่งยากขนาดไหน เริ่มแค่คิดราคารถกันใหม่ ภาษีใหม่ ค่า
อินเซนทีฟสำหรับผู้แทนจำหน่าย จะตั้งเท่าไร ถ้าต้องชดเชยเงินค่าภาษีสำหรับรถที่อยู่ในสตอคของผู้
แทนจำหน่าย ต้องจ่ายเท่าไร
บริษัทที่ขายรถกันเดือนละหมื่นคันนี่ คิดเป็นเงินไม่ใช่แค่บาทสองบาทนะครับ ท่านผู้ชม
แค่กระทรวงการคลัง เหยียบดอกไม้เท่านั้นแหละ กระเทือนกันทั้งประเทศ แถมแรงกระเพื่อมนี่จะนาน
ขนาดไหน ก็ยังไม่มีนักการตลาดคนไหนตอบได้
เอาไว้ให้นิ่งแล้วคงมีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังเยอะแหละครับ
คุยเรื่องหนักๆ กันแล้ว เรื่องต่อไปนี่ก็คาดว่าไม่ค่อยหนักเท่าไรนะครับ
เวลาช่างโบยบินผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ประเทศชาติบ้านเมืองของเรา ย่างเข้าสู่ครึ่งหลังของการ
พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ 9 กันแล้ว ประมาณว่ารัฐบาลชุดนี้ บริหารบ้านเมืองมาได้สัก 3 ปี แต่สิ่งที่ยังเป็นความเหลื่อมล้ำในด้านต่างๆ ยังคงอยู่เกือบทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ และสังคมต่างๆ
แม้แต่คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ ยังยอมรับในรายงานการพัฒนาครึ่ง
แรกที่ผ่านมา ว่า สามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจของส่วนภูมิภาคได้ในระดับหนึ่ง โดยการกระจายรายได้ และกระจายผลการพัฒนาไปสู่ภูมิภาคเริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น ความยากจนและความแตกต่างของรายได้ระหว่างภาคลดลง คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นจากการเข้าถึงบริการด้านการศึกษาและ สาธารณสุขได้มากขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม แนวทางการบริหารยังให้ความสำคัญกับทิศทางการพัฒนาศักยภาพคนและสังคม
ค่อนข้างน้อย และจะเป็นข้อจำกัดในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของส่วนภูมิภาคในระยะต่อไป
เอาเป็นว่า เรามาดูผลงานของแผนครึ่งแรกกันหน่อย หนนี้ ขอให้เครดิทกับคนทำงานหน่อยนะครับ
มองกันในภาพรวมทั้งหมดก็แล้วกัน ว่าดูหรูหราเพียงใด
ในภาพรวม เศรษฐกิจไทยขยายตัวอย่างมีคุณภาพด้วยอัตราร้อยละ 5.4 ในปี 2545 และ 6.7 ในปี
2546 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ เฉลี่ยร้อยละ 4-5 ต่อปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการอุปโภค-บริโภค การลงทุนของภาคเอกชนและการส่งออกที่ขยายตัวสูงขึ้น
ภาพหรูหราภาพที่สอง สถาบันนานาชาติเพื่อพัฒนาการจัดการหรือ IMD ได้จัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ในปี 2546 ให้ไทยอยู่ในอันดับที่ 10 ดีขึ้นจากอันดับที่ 13 ในปี 2545 และอันดับที่ 14 ในปี 2544
ภาพที่สาม สามารถลดสัดส่วนคนจนลงจากร้อยละ 13.0 ในปี 2544 เหลือเพียงร้อยละ 9.8 ในปี 2545อันนี้ก็เกินเป้าเช่นกัน
ส่วนที่ต่ำกว่าเป้าหมาย พบว่า คนไทยมีจำนวนปีการศึกษาเฉลี่ยเพียง 7.8 ปี ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่
กำหนดไว้ 9 ปี และแรงงานอายุ 15 ปีขึ้นไป ที่มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษาขึ้นไปมีเพียงร้อยละ 38
นั่นคือภาพรวมหรูหราที่ผ่านมา ลองดูภาพในอนาคตที่คาดไว้
หนนี้มีการประเมินผลการพัฒนาตามเป้าหมายหลักของแผนฯ และประเมินผลกระทบการพัฒนา โดยอาศัยดัชนีชี้วัดที่ได้พัฒนาขึ้น 3 ชุด คือ ดัชนีชี้วัดความอยู่ดีมีสุข ดัชนีชี้วัดความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ และดัชนีชี้วัดการพัฒนาที่ยั่งยืน
ขอเวลาไปศึกษาเจ้าตัวชี้วัดทั้งสามชุดนี่ก่อนนะครับ ก่อนจะมารายงานความก้าวหน้าในโอกาสต่อไป
สำหรับวันนี้ ขอกลับไปศึกษาดูผลกระทบในภาพรวมจากการปรับโครงสร้างภาษี ว่าจะเอียงไปโดนใคร
อย่างไรมั่งหรือเปล่า
รับรองว่ามีเรื่องสนุกมาเล่าสู่กันฟังเยอะเชียวครับ
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กันยายน ปี 2547
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/7741