เทคนิค
-
ผมเขียนเรื่องนี้ตอนสิ้นสุดงานมอเตอร์เอกซ์โปพอดี เห็นยอดจำหน่ายรถแล้วหนักใจครับ
ว่าจะเอารถพวกนี้มาเรียงแทรกรถที่มีอยู่แล้วบนถนนได้ตรงไหน ปัญหานี้เด็ก 5 ขวบก็ตอบได้ว่า
ต้องสร้างถนนเพิ่มขึ้นให้สมดุลกัน แต่ในเมื่อไม่สามารถทำได้ในตัวเมืองของเมืองหลวง
ก็ต้องหามาตรการอื่นมาแก้ไข เช่น 1. ไม่สนับสนุนให้ประชาชนแห่กันซื้อรถ
แต่ก็ต้องมีทางออกที่ดีให้พวกเขาเลือกด้วย 2. ย้ายที่ทำงานของพวกเขาไปอยู่ในที่ๆ
การจราจรยังไม่หนาแน่น และมีที่สร้างถนนเพิ่มได้ 3. หยุดสร้างค่านิยมว่า ใครไม่มีรถ
เป็นพลเมืองชั้นต่ำ สมควรอับอาย (แบบเดียวกับโทรศัพท์มือถือ) ยังมีอีกหลายข้อหลายวิธี
รวมทั้งรายละเอียดอีกมากครับ หน่วยงานไหนบ้าง ที่รับผิดชอบเรื่องนี้ คงพอทราบกันอยู่แล้ว
ตอนนี้กลับมาเรื่องเทคนิคกันก่อน
สำหรับผู้ที่เพิ่งซื้อรถใหม่ อย่าลืมหาโอกาสระบายอากาศในห้องโดยสาร
ให้บ่อยที่สุดและนานที่สุดด้วยครับ ผมเคยเล่าในคอลัมน์นี้แล้วว่า อากาศในห้องโดยสารรถใหม่นั้น
อันตรายพอสมควร เพราะเป็นที่รวมของแกสพิษจากการระเหยของสารเคมีนานาชนิด
ทั้งจากพลาสติคต่างๆ กาวสารพัดชนิด และน้ำยาฟอกย้อม ล้าง หนังแท้ ที่ใช้กับเบาะนั่ง
เป็นเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยล้วนๆ ไม่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกหรือความชอบของผู้ใช้ พูดง่ายๆ ก็คือ
ไม่เกี่ยวกับความรู้สึกเหม็นหรือหอมของผู้ใช้รถนะครับ
และที่จริงแล้วความรู้สึกจากประสาทสัมผัสกลิ่น
ก็มีผลต่อความประทับใจในรถนั้นและช่วยเสริมภาพพจน์ของรถได้ไม่น้อยเหมือนกัน โรงงาน เอาดี
ซึ่งก้าวขึ้นมาทาบรัศมีสุดยอดรถเยอรมัน 2 รายเดิม สำเร็จไปหลายปีแล้ว และปัจจุบันกำลังมีชื่อเสียง
ว่าเป็นผู้นำในด้านคุณภาพของวัสดุในห้องโดยสาร เชื่อมั่นมาตลอดว่าห้องโดยสาร
ไม่เพียงควรมองดูดีเท่านั้น แต่ต้องดมดูดีด้วย เอาดี จึงมีทีมนักดมระดับหัวแถว
ไว้เพื่อตรวจสอบกลิ่นของชิ้นส่วนต่างๆ ในห้องโดยสาร ก่อนที่จะเลือกใช้หรือเลือกผลิตเพื่อใช้กับรถ
เอาดี ทุกรุ่น เป้าหมายหลักก็คือ ห้องโดยสารของรถ เอาดี ต้องมีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์
คือได้กลิ่นแล้วนึกออกว่าเป็น เอาดี แต่ต้องเป็นกลิ่นที่ประทับใจลูกค้าด้วย หรือถ้าไม่ได้ถึงขั้นนี้
อย่างน้อยที่สุด ก็ต้องอยู่ในระดับที่ลูกค้าไม่เกิดความรู้สึกต่อต้านหรือรังเกียจ
ปริมาณไอระเหยจากชิ้นส่วนเหล่านี้ จะกระจายออกมาตามอุณหภูมิครับ คือยิ่งร้อนยิ่งกลิ่นแรงนั่นเอง
ห้องโดยสารของรถจึงถูกจำลองสภาพให้คล้ายกับการจอดตากแดดขณะปิดกระจกหมด
โดยใช้โคมไฟแรงสูงจำนวนมาก ส่องผ่านกระจกและหลังคาเพื่อป้อนรังสีความร้อนแทนแสงแดด
นักดมจะต้องทนเหงื่อไหลไคลย้อยอยู่ในนั้น เพื่อดมขณะที่ความร้อนได้ระดับที่ต้องการ และให้คะแนน
เนื่องจากประสาทสัมผัสของมนุษย์เราไม่มีมาตรฐานตายตัว
กลิ่นเหม็นสำหรับคนหนึ่งอาจหอมสำหรับอีกคนหนึ่งก็ได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้นักดมอย่างน้อย 4 คน
ในการให้คะแนน สมาชิกในทีมจึงเป็นตัวแทนของลูกค้า แต่มีจมูกไวกว่ามาก
ส่วนรสนิยมนั้นจะต้องอยู่ในแนวเดียวกัน ประเภทจมูกไว แต่รสนิยมวิปริต ชาวบ้านร้อยคนว่าเหม็น
แต่กลับว่าหอม แบบนี้ไม่มีทางสอบผ่านเข้าร่วมทีมครับ เพราะฉะนั้นที่จะแตกต่างกันคือ
ระดับความชอบ หรือระดับการทนได้เท่านั้น
การให้คะแนนเป็นแบบการให้เกรดของโรงเรียนและมหาวิทยาลัยในเยอรมนี คือ 1. ยอดเยี่ยม
ไล่ลงมาจนถึง 4 เกือบตก และ 5 คือ ตกหรือไม่ผ่าน ส่วน 6 คือ ประเภทไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ตอบไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว ในทางปฏิบัติคะแนนรวมที่ได้จากการดมจะต้องไม่เกิน 3 ถ้าถึง 4
หัวหน้าแผนกก็จะถือว่าชิ้นส่วนนั้น "ไม่ผ่าน" แล้ว นักดมจะดมคนละไม่เกิน 6 ครั้ง
ไม่ว่าจะดมอะไรก็ตาม หลังจากนั้นต้องพักอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
เพื่อให้ประสาทรับกลิ่นอยู่ในสภาพสมบูรณ์จริงๆ
สมาชิกทีมนักดมจะถูกห้ามใส่น้ำหอมมาทำงาน อาหารกลิ่นแรงอย่างกระเทียมไม่ว่าจะสดหรือสุกแล้ว
ห้ามกินก่อนมาทำงานเด็ดขาด และที่ห้ามเด็ดขาดแบบไม่ต้องคัดเลือกให้เสียเวลา คือ สิงห์อมควัน
ไม่ว่าจะเพศผู้หรือเพศเมืย เพราะผู้เชี่ยวชาญเขาบอกว่าประสาทรับกลิ่นของคนเหล่านี้
เสื่อมไปหลายสิบเปอร์เซนต์ ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับการฝึกอบรมจากผู้เชี่ยวชาญการดมกลิ่น
ซึ่งโรงงานจ้างนักดมน้ำหอมระดับโลก มาเป็นอาจารย์ถึงโรงงาน
ผมเคยอ่านในสารคดีเกี่ยวกับนักดมน้ำหอมของโรงงานน้ำหอมชั้นนำเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว
เขาบอกว่านักดมระดับโลกที่โรงงานน้ำหอมเหล่านี้จ้างไว้ ทั้งโลกนี้มีไม่ถึงสิบคน
คนพวกนี้สามารถแยกแยะกลิ่นต่างๆ ที่ไม่ซ้ำกันได้เกินกว่า 5,000 กลิ่น น่าเสียดายที่ไม่ทราบค่าจ้าง
แต่นักดมชิ้นส่วนในห้องโดยสารรถ ไม่ต้องมีพรสวรรค์ระดับนี้ครับ
ส่วนใหญ่ก็คัดจากบุคลากรที่มีอยู่นั่นเอง เช่น บางคนก็เป็นนักเคมีอยู่ในห้องแลบ ฯ ของ เอาดี เอง
หัวหน้าทีมเล่าว่า ก่อนผลิตรถแต่ละรุ่น จะมีชิ้นส่วนของห้องโดยสารไม่ต่ำกว่า 500 ชิ้น
ผ่านการถูกดมและประเมิน ชิ้นส่วนเหล่านี้ส่งกลิ่นได้สารพัดแบบ บางชิ้นกลิ่นเหมือนอากาศในเล้าหมู
บางชิ้นก็เหมือนหัวหอมเจียว ชิ้นส่วนที่มีโอกาสถูกแดดจนร้อนจัดในการใช้งานจริง เช่น แผงหน้าปัด
จะถูกนำเข้าเตาอบ แล้วต่อท่อออกมายังหน้ากาก เพื่อให้นักดมสูดให้สะใจก่อนให้คะแนน
ส่วนยางขอบประตู หรือแผ่นไม้ประดับแผงหน้าปัด และแผงประตู จะถูกตัดเป็นชิ้นขนาดย่อม
ใส่ในขวด แล้วอบจนร้อนถึง 80 องศาเซลเซียส (ขนาดนี้มือพองแล้วนะครับถ้าไปจับ)
แล้วเปิดฝาให้นักดมเหล่านี้จัดการ
ตอนเริ่มตั้งทีมจมูกทองนี้เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา บรรดาโรงงานรถ "ยี่ห้อ" อื่น
หรือแม้แต่ใครก็ตามที่ได้รู้ได้ฟัง ล้วนหัวเราะเยาะกันทั้งนั้น แต่หลังจากปี 1992 ไม่มีโรงงานรถยนต์
"ยี่ห้อ" ไหนเลย ที่ไม่มีทีมนักดมห้องโดยสาร
เมื่อคนที่ไปสัมภาษณ์ ถาม ไฮโค ลุสส์มานน์-ไกเกร์ (HEIKO LUSSMANN-GEIGER)
หัวหน้าทีมนักดมของ เอาดี ว่าเป็นไปได้หรือไม่ ว่าวันหนึ่งนักดมเหล่านี้จะตกงาน
เพราะอาจมีใครคิดเครื่องดมขึ้นมาได้ คำตอบของเขาคือ
ไม่มีเครื่องมือใดจะมาแทนจมูกมนุษย์ในการดมกลิ่นได้ ผมว่ามาตายตอนจบนี่เอง
น่าจะบอกว่ายังไม่มีวี่แวว คงอีกนานมากๆ หรืออะไรทำนองนี้มากกว่า
เพราะบรรดาสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทำงานแทนมนุษย์เราได้อย่างน่าทึ่งนั้น
ก็ล้วนถูกผู้เชี่ยวชาญในอดีตทำนายไว้ว่าไม่มีวันเป็นไปได้ทั้งนั้น ดู แคลคูเลเตอร์ หรือ คอมพิวเตอร์
เป็นตัวอย่างได้ครับ ต่างประเทศเขาถึงมีภาษิตไว้ว่า ห้ามพูดว่า "ไม่มีวัน" เด็ดขาด
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน มกราคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : เทคนิค
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/7452