รถใหม่
-
โพร์เช คาร์เรรา จีที
ยอดรถสปอร์ทซูเพอร์คาร์เมืองเบียร์
ที่งานมหกรรมยานยนต์ปารีสเมื่อปลายปี 2000 และบนแท่นหมุนขนาดยักษ์ในบูธของ
ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทเมืองเบียร์ มีรถแนวคิดคันหนึ่งปรากฏตัวให้สาธารณชนได้ยลโฉม
เป็นครั้งแรก พร้อมกับป้ายชื่อ โพร์เช คาร์เรรา จีที (PORSCHE CARRERA GT)
รายงานมหกรรมยานยนต์ปารีส ใน "ฟอร์มูลา" ฉบับเดือนธันวาคม 2543 กล่าวถึง
รถแนวคิดคันนี้ว่า "รถสปอร์ทระดับ ซูเพอร์คาร์ ซึ่งจะออกจำหน่ายในปี 2003 เพื่อ
สู้กับรถระดับเดียวกันอย่าง เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลอาร์ (MERCEDES-BENZ
SLR) และ แฟร์รารี เอฟ 60 (FERRARI F60) ซึ่งจะออกจำหน่ายในช่วงเวลา
ใกล้เคียงกัน นับเป็นรถตลาดที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ของ โพร์เช เพราะติด
ตั้งเครื่องยนต์ วี 10 สูบ 5.5 ลิตร ที่ให้กำลังสูงถึง 558 แรงม้า และสามารถทำ
ความเร็วได้ถึง 330 กม./ชม.นั่นเทียว"
สองปีครึ่งหลังจากนั้น คือที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งล่าสุด เมื่อเดือนมีนาคม
ที่ผ่านมานี่เอง รถชื่อเดียวกันปรากฏตัวให้เห็นอีกครั้งหนึ่ง ในรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลง
ไปบ้างในบางจุด และคราวนี้ไม่ได้อยู่ในฐานะ CONCEPT CAR หรือ "รถแนวคิด"
หากเป็น PRODUCTION CAR หรือ "รถตลาด" ที่กำหนดสนนราคาค่าตัวไว้สูงลิบ คือ
มองป้ายราคาก็ต้องแหงนคอตั้งบ่า
ย้อนหลังไปเมื่อกลางปี 1998 หลังจากคว้าชัยชนะในการแข่งรถมาราธอน 24 ชั่ว
โมง ที่ เลอ มองส์ (LE MANS) ในฝรั่งเศส ด้วยรถแข่งไร้เทียมทาน โพร์เช จีที-1
(PORSCHE GT-1) และไม่คิดที่จะลงแข่งอีกแล้วในปีถัดมา สิ่งที่ โพร์เช ถามตัวเอง
ในขณะนั้นคือ แล้วจะทำอะไรดีล่ะ ? ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทของเมืองเบียร์ ใช้เวลาไม่
นานนักในการค้นหาคำตอบ
ที่เห็นๆ กันอยู่ในขณะนั้นก็คือ ผู้ผลิตสัญชาติเดียวกันหลายๆ รายกำลังย่างเท้าเข้าสู่ธุรกิจ
ของรถสปอร์ทระดับ "ซูเพอร์คาร์" โฟล์คสวาเกน กำลังง่วนอยู่กับการพัฒนารถสปอร์ท
เครื่องยนต์ดับเบิลยู 12 สูบ โฟล์คสวาเกน นาร์โด (VOLKSWAGEN NARDO) ในขณะ
ที่ค่าย "สี่ห่วง" ก็กำลังหายใจเข้าหายใจออกเป็น เอาดี อวุส (AUDI AVUS) และ
ค่าย "ดาวสามแฉก" ก็กำลังมือไม่ว่างอยู่กับ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลอาร์ (MERCEDES-BENZ SLR)
หันมาดูต้นทุนที่มีอยู่แล้วในมือ ประสบการณ์ในวงการรถแข่ง ก็พิสูจน์แล้วว่ามีอยู่เพียบ
เครื่องยนต์หายใจอากาศธรรมดา วี 10 สูบ 5.5 ลิตร ที่เพิ่งออกแบบขึ้นใหม่เพื่อใช้
กับรถแข่ง ก็สามารถปรับแต่งให้ใช้กับรถถนนได้ไม่ยากเลย ที่สำคัญที่สุดก็คือ กลุ่มลูกค้า
จำนวนพันจำนวนหมื่นที่ภักดีต่อยี่ห้อ โพร์เช
จะมีอะไรอีกเล่า ที่น่าทำยิ่งกว่ารถสปอร์ทระดับ "ซูเพอร์คาร์" สักหนึ่งแบบ ทั้งหลายทั้ง
ปวงนี่เอง คือที่มาของโครงการออกแบบและพัฒนา โพร์เช คาร์เรรา จีที (PORSCHE
CARRERA GT) รถตลาดที่เร็วที่สุด ทรงพลังที่สุด และมีเทคโนโลยีก้าวล้ำนำยุคที่สุด
ในประวัติศาสตร์ครึ่งศตวรรษ ของยอดผู้ผลิตรถสปอร์ท ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ โพร์เช
ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทของเมืองเบียร์ เลือกใช้สตูดิโอซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนียในสหรัฐ
อเมริกาเป็นสถานที่ออกแบบและพัฒนา ส่วนวิศวกรที่ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้รับผิด
ชอบโครงการนี้ คือ นาย มิชาเอล ฮูลเชร์ (MICHAEL HOLSCHER) ซึ่งในอดีตก่อน
หน้านั้น เคยมีผลงานในฐานะหัวหน้าทีมออกแบบ เมร์เซเดส-เบนซ์ 500 อี (MERCE
DES-BENZ 500E) เอาดี อาร์เอส 2 (AUDI RS2) และ โอเพล ซาฟีรา (OPEL
ZAFIRA) มาก่อนแล้ว เขาใช้เวลาทำงานเพียงสองปีเศษ โดยมีอดีตแชมพ์โลกแรลลี
วัลเทร์ เริร์ห์ล (WALTER RORHL) และนักทดสอบรถชื่อดังของ โพร์เช คือ โรลันด์
คุสส์มอลล์ (ROLAND KUSSMALL) เป็นมือซ้ายและมือขวาที่มีส่วนร่วมเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะในขั้นตอนของการพัฒนา
ข้อมูลเกี่ยวกับ เครื่องยนต์กลไก สมรรถนะความเร็ว และตัวถังซึ่งทำจากพลาสติค
สังเคราะห์เสริมไฟเบอร์กลาสส์ เคยบอกไปครั้งหนึ่งแล้วใน "ข่าวรอบโลก" ฉบับเดือน
เมษายน 2546 จะไม่ฉายซ้ำอีกครั้งในที่นี้ ขอบอกเพิ่มเติมแต่เพียงว่า โพร์เช ตั้งใจ
จะบรรจุรถสปอร์ท "ซูเพอร์คาร์" แบบนี้ไว้ในสายการผลิตเพียง 3 ปี และจำกัดจำนวน
ผลิตไว้แค่ 1,500 คัน โดยที่ในปีแรกนี้ อัตราการผลิตจะอยู่ที่ระดับ 2 คัน/วัน และ
จะเพิ่มเป็น 2.7 คันโดยเฉลี่ยในปี 2004
ส่วนสนนราคาค่าตัวที่จะซื้อขายกันในยุโรป ราคาซึ่งยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มที่แตกต่าง
กันไปในแต่ละประเทศ กำหนดไว้แล้วว่าอยู่ที่ระดับ 390,000 เหรียญยูโร หรือเท่า
กับประมาณ 19.5 ล้านบาทไทย เมื่อคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินอย่างหยาบๆว่า ต้องมี
เงินไทยอยู่ในกระเป๋า 50 บาท จึงจะแลกได้ 1 เหรียญยูโร ราคานี้นับว่าไม่แพงเลย
เมื่อเทียบกับคู่แข่งโดยตรงของค่าย "ม้าลำพอง" คือ แฟร์รารี เอนโซ (FERRARI
ENZO) ซึ่งมีค่าตัวสูงถึง 600,000 เหรียญยูโร หรือประมาณ 30.0 ล้านบาทไทย
บรรยายภาพ
8.โพร์เช คาร์เรรา จีที ซึ่งปรากฏตัวในลักษณะ "รถแนวคิด" ที่งานมหกรรมยานยนต์
ปารีสเมื่อปลายปี 2000 มีรายละเอียดปลีกย่อยในหลายๆจุด แตกต่างจากรถตลาด
เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเค กาบริโอเลต์
รถเปิดประทุนสี่ที่นั่งติดตราดาวสามแฉก
ค่าย "ดาวสามแฉก" นับเป็นผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมันเพียงเจ้าเดียวเท่านั้น ที่มี
รถยนต์นั่งเปิดประทุนให้เลือกใช้อย่างหลากหลายถึง 3 อนุกรม ได้แก่ เมร์เซเดส-
เบนซ์ เอสแอลเค (MERCEDES-BENZ SLK) เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเค (MERCE
DES-BENZ CLK) และ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอล (MERCEDES-BENZ SL)
ในบรรดารถเปิดประทุนติดตราดาวสามแฉกรวม 3 อนุกรมนี้ มีอยู่เพียงอนุกรมเดียว
เท่านั้น ซึ่งเป็นรถขนาด 4 ที่นั่ง คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเค
ยอดผู้ผลิตรถยนต์คุณภาพนำรถ เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเค ออกจำหน่ายเป็นครั้งแรก
เมื่อเดือนมิถุนายน 1997 รถรุ่นดังกล่าว อยู่ในตัวถังสองประตูคูเป ที่พัฒนามาจากรถ
ซาลูนขนาดเล็กที่สุดในสายการผลิตขณะนั้น คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาสส์ (MER
CEDES-BENZ C-CLASS)
ลูกค้าของค่าย "ดาวสามแฉก" ต้องรออีกหนึ่งปีเต็ม จึงได้ยลโฉมของรถ เมร์เซเดส-
เบนซ์ ซีแอลเค ในตัวถังอีกแบบหนึ่ง คือ ตัวถังเปิดประทุน หรือที่เรียกกันในภาษารถ
ยนต์ว่า "กาบริโอเลต์" (CABRIOLET) ซึ่งปรากฏตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรก
ที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งที่ 68 เมื่อเดือนมีนาคม 1998 และสองสามเดือนถัด
จากนั้นก็ออกจำหน่ายในตลาด เคียงคู่กับรถอนุกรมเดียวกันซึ่งอยู่ในตัวถังคูเป
สี่ปีเต็มหลังจากนั้น คือเมื่อต้นปี 2002 นี่เอง ค่าย "ดาวสามแฉก" ก็จัดการเปลี่ยนรุ่น
รถ เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเค เป็นครั้งแรก โดยนำรถรุ่นที่สองออกอวดตัวต่อสายตา
สื่อมวลชนและสาธารณชนคนรักรถเป็นครั้งแรก ที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งที่ 72
เมื่อต้นเดือนมีนาคม และก็เช่นเดียวกับการปรากฏตัวของรถรุ่นแรก คือมีเฉพาะตัวถัง
สองประตูคูเป
ส่วนรถรุ่นแรกในตัวถังเปิดประทุน ยังคงอยู่ในตลาดต่อมาอีกหนึ่งปี จนกระทั่งที่งาน
เดียวกันเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้เอง ผู้ชมจึงมีโอกาสยลโฉม เมร์เซเดส-เบนซ์
ซีแอลเค รุ่นที่สอง ในตัวถังสองประตูสี่ที่นั่งเปิดประทุน ซึ่งเรียกขานกันอย่างเต็มยศ
เต็มศักดิ์ว่า เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเค กาบริโอเลต์ (MERCEDES-BENZ CLK
CABRIOLET) ดังที่จ่าหัวไว้นั่นเอง
เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเค กาบริโอเลต์ มีขนาดตัวถังโตเท่ากับ เมร์เซเดส-เบนซ์
ซีแอลเค คูเป ในทุกมิติ คือ ยาว 4.638 ม. เท่ากัน กว้าง 1.740 ม. เท่ากัน สูง
1.413 ม. เท่ากัน และช่วงฐานล้อก็ยาว 2.715 ม. เท่ากัน แต่ที่ไม่เท่ากันก็คือ ค่า
สัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ ซึ่งของตัวถังคูเปอยู่ที่ระดับ 0.28 ส่วนของตัวถัง กาบริโอ
เลต์ อยู่ที่ระดับ 0.30 ซึ่งเป็นค่าที่ เมร์เซเดส-เบนซ์ ยืนยันไว้ในเอกสารประชาสัม
พันธ์ว่า ต่ำกว่ารถประเภทเดียวกันและขนาดเดียวกันทุกๆ แบบ ที่มีจำหน่ายในขณะนี้
ประทุนหลังคาของ เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเค กาบริโอเลต์ เป็นประทุนแบบอ่อน
ทำจากผ้าใบสังเคราะห์ที่ออกแบบในลักษณะ MULTI-LAYER กลไกเปิดปิดประทุนด้วย
ระบบไฟฟ้า บังคับควบคุมการทำงานด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว หรือด้วยระบบควบ
คุมระยะไกล ที่เรียกกันจนชินปากชินหูว่า รีโมท คอนทโรล (REMOTE CONTROL)
ด้วยโครงสร้างตัวถังที่แข็งแรงกว่ารถรุ่นก่อน และด้วยประทุนหลังคาที่ออกแบบได้
เป็นอย่างดี ทำให้คนของค่าย "ดาวสามแฉก" กล้ากล่าวอย่างเต็มปากเต็มคำโดยไม่
เกรงการโต้แย้งว่า เมื่อเทียบกับรถระดับเดียวกันทุกแบบทุกยี่ห้อ ห้องโดยสารขนาด
สี่ที่นั่งของ เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเค กาบริโอเลต์ เยี่ยมยอดที่สุด ทั้งในด้านการ
ป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอก การฉนวนความร้อน และทัศนวิสัยโดยรวม
ในขณะที่รถคูเปแยกโมเดลให้เลือกใช้ตามขนาดเครื่องยนต์รวม 7 รุ่น ในระยะแรก
นี้ เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเค กาบริโอเลต์ จะมีรถให้เลือกใช้เพียง 5 รุ่น คือ
CLK 200 KOMPRESSOR (163 แรงม้า)
CLK 240 (170 แรงม้า)
CLK 320 (218 แรงม้า)
CLK 500 (306 แรงม้า)
CLK 55 AMG (367 แรงม้า)
รายละเอียดของเครื่องยนต์ที่ติดตั้งในรถโมเดลต่างๆ โปรดย้อนกลับไปดู "ฟอร์มูลา"
ฉบับเดือนกรกฎาคม 2545 ใน"ระเบียงรถใหม่"ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวของ เมร์เซเดส-
เบนซ์ ซีแอลเค คูเป
เมร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาสส์ ที-โมเดล
ยอดรถตรวจการณ์ระดับสุดหรู
เดือนนี้ "ระเบียงรถใหม่" นำเสนอผลงานใหม่ของค่ายเยอรมันล้วนๆ เฉพาะของค่าย
ยักษ์ใหญ่ ซึ่งเป็นรถติดตรา "ดาวสามแฉก" มีผลงานชิ้นใหม่ๆ มาเล่าสู่กันฟังถึงสองชุด
และที่เห็นอยู่ขณะนี้ เป็น เมร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาสส์ ที-โมเดล (MERCEDES-BENZ
E-CLASS T-MODEL) รถตรวจการณ์รุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งปรากฏตัวต่อสายตาสาธารณชน
เป็นครั้งแรก ที่งานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ในสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่าน
มา และขณะนี้ออกจำหน่ายแล้วในยุโรป โดยที่รถพวงมาลัยซ้ายเริ่มจำหน่ายเมื่อเดือน
มีนาคม ส่วนรถพวงมาลัยขวาซึ่งมีเกาะอังกฤษเป็นตลาดใหญ่ เพิ่งออกจำหน่ายเมื่อเดือน
มิถุนายนนี่เอง
นับเป็นตัวตายตัวแทนของรถตรวจการณ์รุ่นเดิม ซึ่งอยู่ในตลาดมาตั้งแต่ปี 1996 และ
กล่าวได้ว่าเป็นรถตรวจการณ์ระดับสุดหรู ที่ขายดีที่สุดในโลก เพราะในช่วงเวลา 6 ปี
รถตราดาวสามแฉกรุ่นนี้สามารถทำยอดขายทั่วโลกได้สูงถึง 266,000 คัน นั่นเทียว
ตัวถังห้าประตูทรงสองกล่อง ซึ่งพัฒนาจากตัวถังสี่ประตูทรงสามกล่องของ เมร์เซเดส-
เบนซ์ อี-คลาสส์ ซาลูน (MERCEDES-BENZ E-CLASS SALOON) ซึ่งออกตลาดล่วง
หน้าไปแล้วหนึ่งปีเต็ม มีขนาดโตกว่าตัวถังรถรุ่นเดิมในทุกมิตินอกจากความสูง คือ ยาว
4.850 ม. กว้าง 1.822 ม. และสูง 1.495 ม. เทียบกับรถรุ่นเดิมซึ่ง ยาว 4.839
ม.กว้าง 1.799 ม.และสูง 1.505 ม. ในขณะที่ช่วงฐานล้อก็ขยายจาก 2.833 ม.
เป็น 2.854 ม. เช่นเดียวกับรถซาลูน ส่วนค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศซึ่งเป็นค่าที่บ่ง
บอกความลื่นลมนั้น ลดจาก 0.31 ในรุ่นก่อน เหลือ 0.30 ในรุ่นนี้ (ในขณะที่ตัวถัง
ซาลูนอยู่ที่ระดับ 0.26)
รูปทรงองค์เอวโดยรวม ดูเผินๆ โดยไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก บางคนอาจไม่รู้ว่าเป็นรถ
รุ่นใหม่ ทั้งๆ ที่ตัวถังทั้งหมด ตั้งแต่หัวจรดหาง ตั้งแต่กันชนหน้าจรดกันชนหลัง เป็นผล
งานที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด และไม่มีชิ้นส่วนตัวถังชิ้นใด สามารถสลับสับเปลี่ยนกันได้
กับชิ้นส่วนของรถรุ่นเดิม
เอกสารประชาสัมพันธ์ของค่าย "ดาวสามแฉก" อธิบายว่า เป็นลักษณะการออกแบบที่
เรียกในภาษาอังกฤษว่า CUTTING-EDGE AESTHETIC ซึ่งสามารถประสมประสาน
อรรถประโยชน์การใช้สอยเข้ากับรูปทรง ได้อย่างเยี่ยมยอด และน่าจะถือได้ว่า เป็น
มาตรฐานใหม่ของรถยนต์นั่งประเภทนี้
ดังเช่นที่ทำไปแล้วกับรถตัวถังซาลูน ค่าย "ดาวสามแฉก" แบ่งการตกแต่งและอุปกรณ์ใน
รถ เมร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาสส์ ที-โมเดล เป็น 3 ระดับ กำกับด้วยรหัส คลาสสิค
(CLASSIC) เอเลแกนศ์ (ELEGANCE) และ อวองการ์ด (AVANGARDE)
ที่ไม่เหมือนกันก็คือ ในขณะที่มีรถซาลูนให้เลือกใช้ตามขนาดเครื่องยนต์ถึง 10 โมเดล
คือ E 200 CDI-E 220 CDI-E 270 CDI-E 320 CDI-E 400 CDI-E 200
KOMPRESSOR-E 240-E 320-E 500-และ E 55 AMG ในระยะแรกนี้ เมร์เซเดส-
เบนซ์ อี-คลาสส์ ตัวถังตรวจการณ์มีรถให้เลือกใช้เพียง 6 โมเดล ได้แก่
E 220 CDI (150 แรงม้า)
E 270 CDI (177 แรงม้า)
E 320 CDI (204 แรงม้า)
E 200 KOMPRESSOR (163 แรงม้า)
E 240 (177 แรงม้า)
E 320 (224 แรงม้า)
สนนราคาค่าตัวของรถพวงมาลัยขวาในตลาดอังกฤษ อยู่ระหว่าง 27,400-36,500
ปอนด์ หรือเท่ากับประมาณ 1.92-2.56 ล้านบาทไทย อีกไม่นานคงเข้ามาขายใน
บ้านเรา แต่สนนราคาคงต้องคูณสองคูณสาม
โอเพล ซิกนุม
โฉมใหม่และชื่อใหม่ของค่ายสายฟ้า
ปิด "ระเบียงรถใหม่" ในเดือนที่ คำสะแลง "ขี้หลี" กลายของแสลงของผู้ยิ่งใหญ่ใน
เครื่องแบบสีกากี ด้วยรถอนุกรมใหม่ล่าสุดของค่าย "สายฟ้า" ที่เพิ่งออกจำหน่ายใน
ตลาดยุโรป โดยเฉพาะรถพวงมาลัยขวา เพิ่งออกขายในตลาดเมืองผู้ดี เมื่อวันที่ 1
มิถุนายน ที่ผ่านมานี่เอง
โอเพล ซิกนุม (OPEL SIGNUM) รถอนุกรมใหม่และชื่อใหม่ ของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์
แห่งเมืองเบียร์ ที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของยักษ์ใหญ่ เจเนอรัล มอเตอร์ส คอร์พอเรชัน
ตอนที่ยังมีฐานะเป็น CONCEPT CAR หรือ "รถแนวคิด" ปรากฏตัวให้เห็นมาแล้วสาม
สี่ครั้งในงานมหกรรมยานยนต์รายการสำคัญๆ จนกระทั่งที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวา
ครั้งล่าสุด เมื่อเดือนมีนาคม 2003 นี่เอง จึงปรากฏตัวให้เห็นอีกครั้งหนึ่ง และคราว
นี้ อยู่ในรูปลักษณ์ของ PRODUCTION CAR หรือ "รถตลาด" อย่างสมบูรณ์
เป็นรถขนาดครอบครัวสไตล์ใหม่ ซึ่งพัฒนามาจากรถขนาดครอบครัวอนุกรมดั้งเดิมที่
ผู้ใช้รถในยุโรปรู้จักคุ้นเคยกันดี คือ โอเพล เวคทรา (OPEL VECTRA) กล่าวกัน
อย่างตรงไปตรงมาไม่ต้องอ้อมค้อม โอเพล ซิกนุม คือรถอนุกรมใหม่ ที่ค่าย "สายฟ้า"
บรรจุเข้าสู่สายการผลิต แทนที่รถ โอเพล เวคทรา ตัวถังห้าประตูแฮทช์แบค ที่เลิก
ผลิตไปนานกว่าหนึ่งปีมาแล้วนั่นเอง
ตัวถังทรงสองกล่อง ซึ่งยังไม่ค่อยแน่ใจว่าควรจะเรียก แฮทช์แบค หรือ ตรวจการณ์
มีขนาดยาว 4.636 ม. กว้าง 1.798 ม. และสูง 1.466 ม. ออกแบบโดยให้ความ
สำคัญเป็นพิเศษกับเนื้อที่โดยสาร โดยให้มีช่วงฐานล้อยาวถึง 2.830 ม. คือยาวกว่า
ช่วงฐานล้อของรถ โอเพล เวคทรา ถึง 130 มม. ทั้งๆ ที่มีตัวถังยาวกว่ากันเพียง
40 มม. (โอเพล เวคทรา มีตัวถังยาว 4.596 ม. กว้าง 1.798 ม. สูง 1.460 ม.
และมีช่วงฐานล้อยาว 2.700 ม.)
ห้องโดยสารซึ่งออกแบบตามแนวคิด FLEX SPACE วางเก้าอี้ที่นั่งเป็นสองแถว และ
เฉพาะเก้าอี้ที่นั่งแถวหลัง ซึ่งเป็นเก้าอี้แบบตัวใครตัวมันเหมือนเก้าอี้ตัวหน้า สามารถ
เลื่อนเก้าอี้ไปข้างหลังได้ถึง 130 มม. เมื่อต้องการเพิ่มพื้นที่วางขาวางเข่า ยิ่งกว่า
นั้น พนักพิงเก้าอี้ยังสามารถปรับมุมให้เอนไปข้างหลังได้ถึง 30 องศา อีกต่างหาก
เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า ที่มีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้อย่างจุใจถึง 7 ขนาด มีทั้งเครื่อง
เบนซินและเครื่องดีเซล
เครื่องเบนซินซึ่งมีให้เลือกใช้ถึง 4 ขนาด ประกอบด้วย เครื่อง 4 สูบเรียง 1,796
ซีซี 122 แรงม้า เครื่องเทอร์โบ 4 สูบเรียง 1,998 ซีซี 175 แรงม้า เครื่องฉีด
เชื้อเพลิงโดยตรง 4 สูบเรียง 2,198 ซีซี 155 แรงม้า และเครื่อง วี 6 สูบ 3,175
ซีซี 211 แรงม้า ทั้งหมดเป็นเครื่อง DOHC ตระกูล ECOTEC ที่ผู้ผลิต กล่าวอ้างด้วย
ความภาคภูมิใจมานมนานแล้วว่า เป็นเครื่องยนต์ที่ให้กำลังสูงแต่ประหยัดเชื้อเพลิง
และเฉพาะเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง 2,198 ซีซี 155 แรงม้า นับเป็นเครื่องเบนซิน
ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรงแบบแรกที่ค่าย "สายฟ้า" นำมาใช้ โดยพัฒนามาจากเครื่องยนต์
น้ำหนักเบา ที่นำเสนอต่อลูกค้าเป็นครั้งแรกเมื่อสองปีก่อน
ส่วนเครื่องดีเซลซึ่งมีให้เลือกใช้รวม 3 ขนาด ประกอบด้วย เครื่องเทอร์โบ 4 สูบ
เรียง 1,994 ซีซี 100 แรงม้า เครื่องเทอร์โบ 4 สูบเรียง 2,171 ซีซี 125 แรง
ม้า และเครื่องเทอร์โบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง วี 6 สูบ 3,000 ซีซี 177 แรงม้า ทั้ง
หมดเป็นเครื่อง DOHC ตระกูล ECOTEC เช่นเดียวกัน และโดยเฉพาะเครื่องหลังสุด
นับเป็น เครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง วี 6 สูบ (COMMON RAIL V6
TURBO-DIESEL ENGINE) แบบแรกในประวัติศาสตร์ของผู้ผลิตรถยนต์รายนี้
ระบบเกียร์ก็มีให้เลือกใช้อย่างหลากหลายเช่นเดียวกัน คือมีทั้ง เกียร์ธรรมดา 5
จังหวะ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ACTIVE SELECT
ซึ่งมีกลไกให้เปลี่ยนจังหวะเกียร์ด้วยมือก็ได้ เมื่อต้องการการขับขี่แบบสปอร์ท
สนนราคาค่าตัวที่ซื้อขายกันในขณะนี้ รถพวงมาลัยขวาในตลาดอังกฤษ ซึ่งจำหน่ายใน
ชื่อ วอกซ์ฮอลล์ ซิกนุม (VAUXHALL SIGNUM) อยู่ระหว่าง 18,000-25,600 ปอนด์
หรือเท่ากับประมาณ 1.26-1.79 ล้านบาทไทย เมื่อคิดว่าเงินไทย 70 บาท แลกเงิน
ฝรั่งได้แค่ 1 ปอนด์
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : รถใหม่
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/576