พิเศษ
จีเอมไฮวายด์ ยานยนต์ยุคหน้า บังคับด้วยสาย เครื่องยนต์สะอาด
การเดินทางครั้งนี้ จีเอมพาเราแวะสนามทดสอบรถยนต์ของโอเพลที่เมือง DUDENHOFEN
ทดลองเทคโนโลยีล่าสุดไฟหน้าอัจฉริยะ AFL (ADAPTIVE FORWARD LIGHTING)
และเยี่ยมชมโรงงานมูลค่า 30,000 กว่าล้านบาท ที่มีความทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ตั้งอยู่ที่เมือง RUSSELSHEIM ประเทศเยอรมนี ก่อนที่จะพาเราบินข้ามไปที่โมนาโค เมืองเล็กๆ
แต่พราวเสน่ห์แถบประเทศฝรั่งเศษ มีชื่อเสียงติดอันดับโลกในเรื่องสนามแข่งฟอร์มูลาวัน
คงไม่บ่อยนักที่บริษัทรถยนต์จะเปิดโอกาสให้สื่อมวลชน ได้ใกล้ชิดกับกับรถต้นแบบ
เพราะส่วนใหญ่เป็นเพียงแค่รถแนวคิดที่ยังไม่สามารถวิ่งได้จริง แต่ครั้งนี้จีเอมใจถึง
ประกาศความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ที่จะพลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่
ของแหล่งพลังงานยุคหน้ายานยนต์อนาคต "ฟอร์มูลา"
มีโอกาสสัมผัสยานยนต์อนาคตครั้งนี้อย่างใกล้ชิด
แม้ว่าในปัจจุบันบริษัทรถยนต์มีการพัฒนารถยนต์อย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลดลง
ประสิทธิภาพในการควบคุมไอเสียดีขึ้น แต่เนื่องจากปริมาณการขายรถที่เพิ่มขึ้น
ทำให้การบริโภคน้ำมันยังคงสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ก่อให้เกิดผลกระทบด้านสิ่งแวลล้อม
และที่สำคัญแหล่งพลังงาน "น้ำมัน" เชื้อเพลิงกำลังลดน้อยลงเพราะเป็นแหล่งพลังงานที่ชาวโลกมีอยู่อย่างจำกัด
การหาพลังงานทดแทนจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เกิดสมดุลทางด้านพลังงาน
แหล่งพลังงานทดแทนอันได้แก่ พลังงานลม น้ำ แสงอาทิตย์ ไฟฟ้า ไฮดรอเจน เอธานอล แกโซฮอล
เมธานอล ถ่านหิน กาซธรรมชาติ นิวเคลีย์ ฯลฯ ต่างมีข้อดีข้อเสียทั้งสิ้น ก่อนที่เครื่องยนต์สันดาปจะถูกแทนที่
วิศวกรยังคงต้องเอาชนะข้อจำกัดต่างๆ เช่น ต้นทุน ปริมาณการผลิต น้ำหนัก ความเสถียร ความปลอดภัย
ทางเลือกแหล่งพลังงานทดแทนทั้งหมดนี้ ไฮดรอเจนมีโอกาสจะเป็นจริงได้มากที่สุด เร็วที่สุด
เพราะเป็นทรัพยากรที่เรามีอยู่อย่างเหลือเฟือ ประสิทธิภาพสูง สะอาดกว่า และมีความเป็นไปได้สูงที่จะนำมาใช้กับรถยนต์
ไฮดรอเจน ถูกค้นพบและทดลองเพื่อใช้กับรถยนต์มามากกว่ายี่สิบปีใกล้เป็นจริงแล้ว
เมื่อก่อนยังติดปัญหาเรื่องวัสดุที่ใช้ทำถังเชื้อเพลิงมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก รัศมีทำการสั้น
ปัญหาเรื่องต้นทุน ต้องการแบตเตอรีสำรองเมื่อต้องใช้กำลังสูง การรักษาระดับความชื้นคงที่ อุณหภูมิการจัดเก็บ
การคายพลังงานเองเมื่อจอดอยู่กับที่ ความปลอดภัยและเวลาที่ใช้ในการเติมเชื้อเพลิง แต่ปัญหาเหล่านั้นได้ถูกแก้ไขแล้วสิ้นเชิง
ที่เหลืออยู่คงเป็นปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐาน สาธารนูปโภค สถานีเติมเชื้อเพลิงที่เรียกได้ว่าเป็นปัญหา "ไก่กับไข่อะไรจะเกิดก่อนกัน"
เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มที่จุดใดก่อน ผู้บริโภคก็คงจะยังไม่ซื้อและไม่ขับรถพลังงานแบบใหม่นี้ ถ้ายังไม่มีสถานีเติมเชื้อเพลิงมากเพียงพอ
ส่วนเจ้าของสถานีเติมเชื้อเพลิง ก็คงไม่กล้าลงทุนมหาศาลกับโครงการที่ยังไม่มีความต้องการมากนัก
เพื่อให้ฝันเป็นจริงเร็วขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐต้องยื่นมือเข้าช่วย ริเริ่มโครงการก่อนที่มันจะเดินได้เอง
ภาษีส่วนหนึ่งจะต้องถูกเฉือนมาสนับสนุนโครงการนี้ อาจจำเป็นต้องเริ่มจาก รถที่ใช้ในราชการก่อนเช่น รถตำรวจ รถพยาบาล รถดับเพลิง
รถสำหรับการทหาร หรือบริษัทขนส่งที่สามารถกำหนดเส้นทางเดินรถ ระยะทางวิ่ง วันเวลา สถานที่จุดเติมน้ำมันได้ และแน่นอนควรจะได้รับการลดหย่อนภาษี
กว่า 30 ปีที่ผ่านมาจีเอมทุ่มเงินลงทุนไปไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาทเพื่อวิจัยและพัฒนาพลังงานทดแทน เซลล์เชื้อเพลิงที่จะมาใช้กับรถยนต์
ทีมวิศวกรกว่า 500 คนใน GM FCA (GM FUEL CELL
ACTIVITIES) มุ่งมั่นกับการพัฒนาเซลล์เชื้อเพลิงชนิดใหม่นี้ ล่าสุดจีเอมเตรียมแผนจำหน่ายซาฟิรา
ไฮดรอเจน3 ถึงแม้ว่าต้นทุนการผลิตรถพลังงานไฮดรอเจนนั้นยังสูงกว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปถึง 10 เท่าก็ตาม (ในจำนวนการผลิต 100,000 คัน)
แต่มันจะถูกลงเรื่อยๆ ถ้าได้รับการส่งเสริมและเมื่อจำนวนการผลิตมากขึ้น เกจิอาจารย์สาขายานยนต์ มองโลกในแง่ดีได้คาดการณ์ว่า ในปี 2013
หนึ่งในสามของรถใหม่ในสหรัฐอเมริกาจะเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฮดรอเจน และไม่น้อยกว่า 15%
ของปั้มน้ำมันจะมีบริการหัวจ่ายสำหรับเชื้อเพลิงชนิดใหม่นี้
[HYDROGEN3]
โครงรถซาฟิรา ใช้พลังงานไฮดรอเจน พัฒนามาจาก HYDROGEN 1 และ 2 แก้ไขปัญหาต่างๆ
จนพร้อมผลิตจริงเพื่อจำหน่าย
ภายนอก/ภายใน
รู้จักแต่ยังไม่รู้ใจ
รูปทรงภายนอกดูแล้วคุ้นเคย แลดูไม่แตกต่างจากรถอเนกประสงค์รุ่นที่ขายดิบขายดีในบ้านเรา
มีเพียงสีพิเศษน้ำเงินเข้มที่แลดูสะอาดและทันสมัย เมื่อนั่งในตำแหน่งคนขับผมรู้สึกแปลกที่ไม่เห็นคันเกียร์ กลับเป็นปุ่มกดสองสามปุ่ม
ที่ใช้ควบคุมการเดินหน้า/ถอยหลัง/เกียร์ว่าง จอหน้าปัทม์แสดงข้อมูลสถานะไฮดรอเจน พื้นที่ห้องเก็บของสัมภาระมีขนาดไม่ต่างกับซาฟิรารุ่นที่จำหน่ายในบ้านเรา
เนื่องจากถังจุเชื้อเพลิงไฮดรอเจนที่พัฒนาร่วมกับบริษัท QUANTUM มีความแข็งแรงทนทานและมีขนาดเล็กลงมากกว่าในอดีต
สมถรรนะ
พลังงานไฮดรอเจนสามารถบรรจุได้สองรูปแบบคือแบบ LIQUID และ COMPRESSED
ให้กำลังต่อเนื่องที่ 94 กิโลวัตต์ สูงสุดที่ 129 กิโลวัตต์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักบรรทุก มอเตอร์ไฟฟ้ารีดกำลังสูงสุดได้ 82 แรงม้า (60 กิโลวัตต์)
แรงบิดสูงสุดที่ 215 นิวตันเมตรที่ 12,000 รตน. ใช้เวลาอุ่นเครื่องก่อนวิ่ง 30 วินาที ถังเชื้อเพลิงแบบ LIQUID มีปริมาตรจุ 68.0 ลิตร น้ำหนักถัง 90 กก.
สามารถจุเชื้อเพลิงได้ 4.6 กก. และแบบ COMPRESSED ถังเชื้อเพลิงปริมาตรจุ 77.7 ลิตร
หนัก 95 กก. จุเชื้อเพลิงได้ 3.1 กก. เชื้อเพลิงรูปแบบ LIQUID เมื่อเติมเชื้อเพลิงเต็มถังสามารถวิ่งได้
400 กม. และ 270 กม. สำหรับรุ่น COMPRESSED เชื้อเพลิงแบบ LIQUID เหมาะสำหรับการขับขี่ระยะทางยาวๆ
แม้ยังมีการคายออกบ้างเมื่อจอดอยู่ไม่ได้ใช้งานนานๆ แต่สำหรับแบบ OMPRESSED จะไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ ส่วนน้ำหนักรถรวม 1,590 กก. น้ำหนักเครื่อง 300 กก.
(หนักกว่าเครื่องดีเซล 100 กก.) อายุแบตเตอรี 5,500 ชม. หรือเทียบประมาณ 160,000 กม.
การควบคุมบังคับ
ผมไม่รู้สึกขัดเขินที่จะขับไฮดรอเจน3 วิ่งผ่านเมืองโมนาโค เส้นทางเดียวกับที่ถูกใช้เป็นสนามแข่งรถสูตรหนึ่งเมื่อถึงฤดูการ เส้นทางลัดเลาะเนินเขาสูงต่ำสลับไปมา
โฉบชายหาดโมนาโคพิสูจน์สมถนะความแรงของรถที่ไม่รู้สึกด้อยกว่าเครื่องยนต์เบนซินทั่วๆ ไป อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 16 วินาที ความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม.
(ตัวเลขจากโรงงาน) ถ้าจะให้เห็นภาพ คุณลองนึกถึงรถไฟฟ้าที่ใช้ในสนามกอล์ฟ กดคันเร่งจนมิด มอเตอร์ไฟฟ้ารีดแรงเสียงหวีดเสียดแทงใจสุดๆ ไปแตะที่ความเร็ว 100 กม./ชม.
ภายในสองสามอึดใจ มันอาจเป็นรถกอล์ฟที่วิ่งเร็วที่สุดในโลกเพราะวิ่งอยู่ในสนามแข่งฟอร์มูลาวัน ถึงแม้แรงขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้าจะมีอากัปกิริยาคล้ายๆ รถเกียร์ซีวีที
ที่ทำให้ผมคิดถึงจังหวะเครื่องยนต์และการเปลี่ยนเกียร์แบบเดิมๆ อยู่บ้างก็ตาม แต่ผมพอทำใจได้ถ้ามันจะทำให้สิ่งแวดล้อมสะอาดและทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้น
[HY-WIRE]
จีเอมปิดสนามบินเพื่อให้เราได้สัมผัสรถต้นแบบ HY-WIRE ที่ผมอยากเรียกมันว่า "ยานยนต์ยุคหน้า
บังคับด้วยสาย-พลังงานสะอาด" เขาพาเราขึ้นเฮลิคอปเตอร์จากหน้าโรงแรมมุ่งสู่สนามบินแห่งหนึ่ง
ที่เมือง FREJUS ห่างไปไม่ไกลนักจากเมืองโมนาโค
สถานที่นี้ผู้คนไม่พลุกพล่าน มีพื้นที่ใหญ่โตเพียงพอสำหรับให้เราได้สัมผัสรถแนวคิดที่กำลังจะพลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของยาน
ยนต์อนาคต
แนวคิดจีเอม HY-WIRE ไม่เพียงพลิกโฉมแหล่งพลังงานรถยนต์ ที่เปลี่ยนจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นพลังงานไฮดรอเจน แต่ยังรวมถึงการปฏิวัติ
ระบบขับเคลื่อนต่างๆ อีกด้วย ระบบกลไกถูกทดแทนด้วยระบบอิเลคทรอนิคส์ เครื่องยนต์สันดาปถูกแทนที่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า
โครงสร้างรถถูกทดแทนด้วย CHASSIS ซึ่งหนาเพียง 11 นิ้ว แนวคิดนี้จะทำให้การเปลี่ยนประเภทรถง่ายเหมือนเปลี่ยนหน้ากากมือถือ
เพียงแค่ยกโครงเดิมออกและเปลี่ยนโครงใหม่เข้าไป ปรับเปลี่ยนซอฟท์แวร์เพื่อให้เข้ากับบุคคลิกรถประเภทต่างๆ คุณก็จะได้รถใหม่ในเวลาเพียงแค่จิบกาแฟรอ
นอกจากนั้นระบบพวงมาลับแรคแอนด์พิเนียนถูกแทนด้วยคันบังคับควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า (CONTROL UNIT) ที่สามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งคนขับจากซ้ายไปขวา
ด้วยเวลาเพียงไม่ถึง 1 นาทีซึ่งน่าจะช่วยลดต้นทุนการผลิตรถยนต์ในอนาคตได้ คันเร่งและแป้นเบรคถูกย้ายไปไว้ที่คันบังคับควบคุม ที่ใช้การบิดและบีบแทนการเร่งและเบรค
ผมหวังว่าจีเอมคงไม่ได้บอกกับเราว่ารถในอนาคตจะต้องบีดๆ และบิบๆ แต่เขาคงต้องการแสดงถึงอิสรภาพในการออกแบบรถยนต์ในอนาคตที่ไร้ขีดจำกัด
เทคโนโลยีนี้เคยใช้แล้วประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมอากาศยาน ครั้งนี้ถือเป็นการจับเอาเทคโนโลยีอากาศยานมาติดดินใช้กับรถยนต์กันบ้าง
FUEL CELL อิสระภาพในการออกแบบภายนอก
ภายนอกดูเหมือนรถซีดานทั่วๆ ไปที่มีขนาดตัวถังใหญ่ แต่พอนั่งที่คนขับกลับให้ทัศนะวิสัยที่ดีผิดคาด
อาจเป็นเพราะใช้วัสดุโปร่งใสแทนที่บริเวณฝากระโปรงหน้าตำแหน่งเดิมของเครื่องยนต์ มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำเพราะมอเตอร์และเซลล์เชื้อเพลิงซ่อนอยู่ในโครงแชสซีใต้ท้องรถ
DRIVE-BY-WIRE อิสระภาพในการออกแบบภายใน
เนื่องจากไม่มีข้อจำกัดในการออกแบบ นักออกแบบจึงมีอิสระในการจัดสรรพื้นที่ห้องโดยสารให้กว้างขวาง นั่งสบาย ที่วางขาปรับยืดหดได้ตามความต้องการ ไม่มีเสาบีพิลาร์ ประตูเปิดปิดแบบตู้
จอภาพและกระจกมองหลังอยู่ภายในรถ แป้นคันแร่งและเบรคถูกย้ายตำแหน่งมารวมไว้ที่พวงมาลัยควบคุมหรือที่เรียกว่า CONTROL UNIT ถูกพัฒนาโดยบริษัท SKF
เจ้าแห่งผู้ผลิตระบบควบคุมด้วยไฟฟ้าที่ใช้บนเครื่องบิน สามารถย้ายตำแหน่งซ้ายขวาได้ มีเซนเซอร์ตรวจจับสัญญาณการเคลื่อนไหวเพื่อควบคุมการเลี้ยวด้วยระบบไฟฟ้า บิดคือเร่ง บีบคือเบรค
ระบบเบรคพัฒนาร่วมกับ BREMBO ความรู้สึกการควบคุมบังคับคล้ายๆ กับการเล่นรถบังคับ แต่คราวนี้ผมกลับกำลังนั่งบังคับอยู่ในรถคันโตซะเอง
แนวคิด AUTOnomy ออกแสดงครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ดีทรอย 2002
แต่ครั้งนั้นเป็นเพียงโครงรถแนวคิดเปล่าๆ เป็นร่างไร้วิญญาณ ยังวิ่งไม่ได้ ด้วยเวลาเพียง 8 เดือนเศษจีเอมสานแนวคิด เสกรถต้นแบบสเกตบอร์ด ผ่าตัดใส่วิญญาณจนทำรถแนวคิดคันนี้วิ่งได้จริง
แนวคิดปฏิวัติยานยนต์ครั้งนี้ อาจเทียบได้กับยุคกล้องถ่ายรูปด้วยฟิล์มเปลี่ยนเป็นกล้องดิจิตอล
มันดีขึ้น เร็วขึ้น และสะดวกขึ้นแต่ต้องใช้เวลาสักพักให้ผู้บริโภคปรับตัว
[AFL]
ไฟหน้าอัจฉริยะระบบ AFL นี้จะใส่ในเวคตรา VECTRA และซิกนัม SIGNUM มีข้อดีคือ
เพิ่มทัศนวิสัยการมองเห็นเวลากลางคืน เป็นระบบความปลอดภัยเชิงปองกัน ไฟระบบใหม่นี้
เป็นแบบไบซีนอน มันจะโยกซ้ายขวาตามทิศทางการโค้งของถนนได้ประมาณ 15 องศา
โดยสัมพันธ์กับความเร็ว ที่ความเร็วสูงระบบจะปรับมุมองศาไฟหน้าขึ้นลง
ให้สมดุลกับน้ำหนักบรรทุกและพิ้นผิวถนน และที่พิเศษคือไฟด้านข้างมุม 90 องศา
จะสว่างขึ้นเมื่อหักเลิ้ยวที่ความเร็วต่ำกว่า 50 กม./ชม. ทำให้เห็นแยกที่เลี้ยวอย่าชัดเจน
ขอขอบคุณ
บริษัท
จีเอมไฮวายด์ ยานยนต์ยุคหน้า เครื่องยนต์สะอาด บังคับด้วยสาย จีเอมไฮวายด์
ยานยนต์ยุคหน้า บังคับด้วยสาย เครื่องยนต์สะอาดลองของจริง
สองรถแนวคิดพลังงานบริสุทธิ์ บนสนามแข่งรถสูตรหนึ่งที่โมนาโค
พิสูจน์รถพลังงานยุคหน้ายานยนต์อนาคต ที่วิ่งได้จริงจากจีเอม จีเอมพลิกโฉมวงการ
ปฏิวัติยานยนต์พลังงานบริสุทธิ์จีเอมไฮวายด์ ยานยนต์มีสายเครื่องยนต์สะอาด
เรื่องโดย : ชลัทชัย ปภัสร์พงษ์
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2546
คอลัมน์ Online : พิเศษ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/550