ธุรกิจ
เปิดโฉมรถลุยแบบใหม่
ค่ายใบพัดเครื่องบิน
เปิดโฉมรถลุยแบบใหม่
อีกสองปีมีให้ขับแน่นอน
สหรัฐอเมริกา-บีเอมดับเบิลยู (BMW) ยอดผู้ผลิตรถยนต์คุณภาพ เจ้าของเครื่องหมาย
การค้าใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว เปิดเผยโฉมหน้าของรถกิจกรรมกลางแจ้งอนุกรมใหม่
ที่จะนำออกสู่ตลาดในปี 2004 โดยนำรถแนวคิด ซึ่งเป็นต้นแบบของรถอนุกรมดังกล่าว
ออกอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนไปเรียบร้อยแล้ว ที่งานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ ใน
สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
บีเอมดับเบิลยู ตั้งชื่อรถแนวคิดคันนี้ว่า บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ แอคทิวิที (BMW X ACTI
VITY) อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วไปว่า เมื่อกลายสภาพเป็นรถตลาดและ
ออกจำหน่ายในปี 2004 รถกิจกรรมกลางแจ้งขับเคลื่อน 4 ล้ออนุกรมใหม่นี้ จะมีชื่อว่า
บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 3 (BMW X3)
ตัวถังยาว 4.550 ม. (ยาวกว่ารถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 ทัวริง 70 มม. แต่สั้นกว่า
บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 5 117 มม.) ของ บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ แอคทิวิที เป็นผลงาน
รังสรรค์ของทีมออกแบบ บีเอมดับเบิลยู ในยุคที่มี คริส แบงเกิล (CHRIS BANGLE)
ยอดนักออกแบบเมืองผู้ดีที่เพิ่งเดินทางมาเยือนเมืองไทยเป็นนายใหญ่ ชิ้นส่วนตัวถัง
ภายนอก เป็นการคละเคล้าผสมผสาน ระหว่างรูปทรงที่เว้าเข้าและนูนออก เป็นรูป
ลักษณ์ที่ แบงเกิล อธิบายด้วยคำว่า FLAME SURFACING ในภาษาอังกฤษ ซึ่งน่าจะ
แปลเป็นไทยได้ว่า "แผ่นผิวอันเร่าร้อน"
ในรถแนวคิดคันนี้ ประตูบานท้ายมีลักษณะเป็นประตูสองบาน ติดบานพับด้านล่างด้านบน
และเปิดแยกออกจากกัน ในลักษณาการเหมือนหอยอ้าเปลือก แต่ในรถตลาด คาดว่า
จะเป็นประตูสองบานเช่นเดียวกับรถแนวคิด แต่คงจะติดบานพับด้านข้าง เหมือนรถ
ประเภทเดียวกันขนาดเดียวกันของค่ายอังกฤษ ที่จะเป็นคู่แข่งตัวสำคัญเมื่อรถ บีเอมดับ
เบิลยู เอกซ์ 3 ออกขายในตลาด คือ แลนด์ โรเวอร์ ฟรีแลนเดอร์ (LAND ROVER
FREELANDER)
ในรถแนวคิด บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ แอคทิวิที เก้าอี้ที่นั่งซึ่งติดตั้งในห้องโดยสาร มี
อยู่เพียง 4 ตัว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีช่วงฐานล้อที่ยาวถึง 2.820 ม. จึงเชื่อกัน
ว่า เมื่อกลายสภาพเป็นรถตลาด น่าจะมีเนื้อที่เพียงพอสำหรับ 5 ที่นั่ง โดยเก้าอี้ที่นั่ง
ตัวหลังซึ่งเป็นเก้าอี้แบบม้ายาว คงจะแยกเป็นสองส่วน และมีพนักพิงแบบพับได้ เพื่อ
ให้มีพื้นที่สำหรับบรรทุกของชิ้นยาวๆ เช่น ไม้สกี หรืออุปกรณ์กีฬากลางแจ้งอื่นๆ ซึ่ง
เป็นสิ่งที่ขาดเสียมิได้ของครอบครัวคนหนุ่มคนสาว อันเป็นลูกค้าเป้าหมายของรถแบบนี้
ในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดหลัก และเป็นตลาดที่ไม่นิยมเครื่องยนต์ดีเซล เชื่อว่า
เครื่องยนต์ที่ บีเอมดับเบิลยู จะเสนอให้เลือกใช้ จะมีทั้งเครื่อง 6 สูบเรียง 2.5
ลิตร 192 แรงม้า และเครื่อง 6 สูบเรียง 3.0 ลิตร 231 แรงม้า รวมทั้งอาจจะ
มีรุ่น M VERSION ให้เลือกใช้ด้วย ส่วนในตลาดยุโรปที่ไม่มีปัญหาเรื่องเครื่องดีเซล
คาดว่า ที่จะมีให้เลือกใช้ น่าจะเป็นเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรงขนาด
3.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงถึง 184 แรงม้า
ส่วนระบบเกียร์เพื่อถ่ายทอดกำลังสู่ล้อทั้ง 4 ผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออย่างเดียวกับที่
ใช้อยู่ในขณะนี้กับรถ บีเอมดับเบิลยู 330 ไอเอกซ์ (BMW 330IX) จะมีให้เลือกใช้
2 แบบ คือเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ซึ่งขณะนี้มีใช้อยู่
ในรถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-7 (BMW 7-SERIES)
บีเอมดับเบิลยู จะใช้โรงงานของพันธมิตรคือ MAGNA ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศออสเตรีย
เป็นที่ผลิตรถกิจกรรมกลางแจ้งอนุกรมใหม่นี้ โดยในระยะแรกจะตั้งเป้าหมายการผลิต
ไว้ที่ระดับ 60,000 คัน/ปี
ย่อยข่าว
* อังกฤษ-ยอดผู้ผลิตรถหรูของเมืองผู้ดี คือ โรลล์ส-รอยศ์ (ROLLS-ROYCE) ซึ่งแปร
สภาพเป็นผู้ผลิตรถยนต์ในเครือข่ายของ บีเอมดับเบิลยู (BMW) แห่งเยอรมนี ไปแล้ว
พร้อมๆ กับการเปลี่ยนศักราชใหม่ครั้งล่าสุด นำรถแบบใหม่ออกอวดตัวในโชว์รูมเป็นที่
เรียบร้อยแล้ว เป็นรถระดับสุดหรูประเภท "คนซื้อไม่ได้ขับ คนขับไม่ได้ซื้อ" ที่ออกแบบ
ใหม่ทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดหาง แต่กลับใช้ชื่อเก่า คือ โรลล์ส-รอยศ์ แฟนทอม (ROLLS-
ROYCE PHANTOM) ติดตั้งเครื่องยนต์ วี 12 สูบ 6,750 ซีซี สามารถทำอัตราเร่ง
0-100 กม./ชม. ใน 5.9 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 240 กม./ชม.
ผลิตในอังกฤษเช่นเดียวกับรถ โรลล์ส-รอยศ์ รุ่นอื่น แต่ที่โรงงานใหม่ซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง
กูดวูด (GOODWOOD) สนนราคาค่าตัวที่ติดป้ายไว้ไม่แพงสักเท่าไร คือแค่ 240,000
ปอนด์ หรือเท่ากับประมาณ 16.5 ล้านบาทเท่านั้นเอง เศรษฐีไทยขนหน้าแข้งไม่ร่วง
* อิตาลี-นิตยสารรถยนต์ชั้นนำหลายฉบับของยุโรป รายงานข่าวตรงกันว่า ชื่อที่ยอด
ผู้ผลิตรถสปอร์ทกระทิงดุ เลือกใช้กับรถสปอร์ทแบบใหม่ล่าสุด ซึ่งจะเปิดตัวต่อสายตา
สาธารณชนเป็นครั้งแรกในงานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งที่ 73 ระหว่างวันที่ 6-16
มีนาคม 2003 นี้ คือ ลัมโบร์กินี กัลลาร์โด (LAMBORGHINI GALLARDO) และยัง
บอกด้วยว่า รถสปอร์ทกระทิงดุรุ่นใหม่ล่าสุดนี้ จะติดตั้งเครื่องยนต์ วี 10 สูบ ความจุ
5.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงถึง 500 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังผ่านล้อทั้ง 4 ผ่านเกียร์ธรรมดา
6 จังหวะ หรือเกียร์กึ่งอัตโนมัติ E-GEAR ซึ่งติดตั้งแป้นเปลี่ยนจังหวะเกียร์ไว้บนพวง
มาลัย รูปทรงองค์เอวตัวถัง ซึ่งเป็นผลงานรังสรรค์ของทีมงานที่มี ลุค ดองเคอโวลค์
(LUC DONCKERWOLKE) นักออกแบบชาวดัทช์เป็นผู้นำ วิจารณ์กันว่า เหมือนย่อส่วน
จากรถรุ่นพี่ คือ ลัมโบร์กินี มูร์ซีเอลาโก (LAMBORGHINI MURCIELAGO) รถสปอร์ท
กระทิงดุเพียงแบบเดียวที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน ส่วนสนนราคาค่าตัวเมื่อออกจำหน่ายใน
ปี 2004 โดยตั้งเป้าหมายการขายไว้ที่ระดับ 1,300 คัน/ปี คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 7
ล้านบาทไทย
* เยอรมนี-ปี 2002 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป นับเป็นปีทองอีกปีหนึ่งของ เอาดี (AUDI) ผู้
ผลิตรถคุณภาพของเมืองเบียร์ ในรอบปีดังกล่าว เจ้าของเครื่องหมายการค้า "สี่ห่วง"
ทำยอดขายรถยนต์ทั่วโลกได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 742,000 คัน
* อังกฤษ-ตลาดรถใหม่ในเมืองผู้ดี ปิดบัญชีประกอบการในรอบปี 2002 ด้วยยอดจด
ทะเบียนรถใหม่รวมทั้งสิ้น 2,563,631 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 4.3 จาก 2,458,
769 คันในรอบปีก่อนหน้านั้น เมื่อแยกตามยี่ห้อรถ รถขายดีที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่
1. ฟอร์ด 400,808 คัน
2. วอกซ์ฮอลล์ 318,633 คัน
3. เปอโฌต์ 208,920 คัน
4. เรอโนลต์ 194,685 คัน
5. โฟล์คสวาเกน 178,924 คัน
6. ซีตรอง 130,415 คัน
7. โตโยตา 104,498 คัน
8. นิสสัน 100,751 คัน
9. เอมจี โรเวอร์ 99,108 คัน
10. บีเอมดับเบิลยู 85,567 คัน
และเมื่อแยกตามรุ่นของรถ ปรากฏว่ารถขายดีที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่
1. ฟอร์ด โฟคัส 151,209 คัน
2. วอกซ์ฮอลล์ โคร์ซา 105,199 คัน
3. วอกซ์ฮอลล์ อัสตรา 102,107 คัน
4. เปอโฌต์ 206 96,938 คัน
5. ฟอร์ด ฟิเอสตา 93,591 คัน
6. เรอโนลต์ กลีโอ 86,337 คัน
7. โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ 72,362 คัน
8. ฟอร์ด มนเดโอ 72,016 คัน
9. เรอโนลต์ เมกาน 69,530 คัน
10. ฟอร์ด คา 62,863 คัน
บรรยายภาพ
6.ภาพบนสุด คือ โตโยตา คัลดีนา (TOYOTA CALDINA) รถตรวจการณ์ยอดนิยม
ของยักษ์ใหญ่เมืองปลาดิบ ซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 2 และอยู่ในตลาดมาตั้งแต่เดือนกันยายน
1997 ส่วน 2 ภาพล่างเป็นรถรุ่นใหม่ ที่เพิ่งออกจำหน่ายเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา
นี่เอง มีขนาดตัวถังใกล้เคียงกันมากกับรถรุ่นเดิม คือ ยาว 4.510 ม. กว้าง 1.750
ม. และสูง 1.445 ม. กับมีช่วงฐานล้อยาว 2.700 ม. มีทั้งแบบขับล้อหน้าและแบบ
ขับ 4 ล้อ โดยมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้รวมสามขนาด คือ เครื่อง DOHC 4 สูบเรียง
16 วาล์ว 1.8 ลิตร 132 แรงม้า (รหัสเครื่องยนต์ 1ZZ-FE) เครื่อง DOHC 4
สูบเรียง 16 วาล์ว 2.0 ลิตร 150 แรงม้า (รหัสเครื่องยนต์ 1AZ-FSE) และเครื่อง
เทอร์โบ DOHC 4 สูบเรียง 16 วาล์ว 2.0 ลิตร 260 แรงม้า (รหัสเครื่องยนต์
3S-GTE) ส่วนระบบเกียร์มีแบบเดียว คือเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ สนนราคาค่าตัว
ในญี่ปุ่น อยู่ระหว่าง 1.72-2.91 ล้านเยน หรือประมาณ 0.60-1.02 ล้านบาท
7. ฟอร์ด โฟคัส รถยอดนิยมเมืองอังกฤษ ปี 2002 ขายได้ถึง 151,209 คัน
8. โรลล์ส-รอยศ์ แฟนทอม ออกจำหน่ายแล้วในเมืองผู้ดี ด้วยค่าตัวระดับ 16.5 ล้านบาทไทย
9. วอกซ์ฮอลล์ โคร์ซา
10.วอกซ์ฮอลล์ อัสตรา
11. แจกวาร์ อี-ไทพ์ ซีรีส์ 1
12. ลัมโบร์กินี มูร์ซีเอลาโก
13. แอสตัน มาร์ทิน แวนควิช
ออโทคาร์ (AUTOCAR) นิตยสารรถยนต์รายสัปดาห์ฉบับเก่าแก่ที่สุดของเมืองผู้ดี จัด
อันดับ 100 MOST BEAUTIFUL CARS หรือ "รถสวยที่สุด 100 คัน" โดยรวบรวม
ความคิดเห็นจากบุคคลสำคัญในวงการรถยนต์และนักออกแบบรถยนต์นับร้อยคน ปรากฏ
ว่า รถที่ได้รับการยกย่องว่ารถสวยที่สุด คือ แจกวาร์ อี-ไทพ์ ซีรีส์ 1 (JAGUAR E-
TYPE SERIES 1) ซึ่งออกจำหน่ายเมื่อปี 1961 และมีรถรุ่นปัจจุบันที่ติดอยู่ใน 10 อันดับ
แรกเพียงสองแบบ คือ ลัมโบร์กินี มูร์ซีเอลาโก (LAMBORGHINI MURCIELAGO)
กับ แอสตัน มาร์ทิน แวนควิช (ASTON MARTIN VANQUISH) โดยมีรายชื่อของรถ
ที่ ออโทคาร์ คัดเลือกว่าสวยที่สุด 20 อันดับแรก ดังนี้
1. แจกวาร์ อี-ไทพ์ ซีรีส์ 1 (1961) 11. เมร์เซเดส 300เอสแอล กัลล์วิง (1954)
2. ลัมโบร์กินี มูรา (1970) 12. แฟร์รารี 275 จีทีบี (1964)
3. แฟร์รารี 250 จีที (1959) 13. บูกัตตี ไทพ์ 57 แอทแลนทิค (1938)
4. แฟร์รารี 288 จีทีโอ (1984) 14. แฟร์รารี 250 จีทีโอ (1962)
5. โพร์เช 911 (1963) 15. ซีตรอง เดแอส (1956)
6. อัลฟา 8 ซี 2900 (1935) 16. ฟอร์ด จีที 40 (1966)
7. เอซี คอบรา 289 (1962) 17. แฟร์รารี ดีโน 246 จีที (1969)
8. ลัมโบร์กินี มูร์ซีเอลาโก (2002) 18. แฟร์รารี 456 จีที (1994)
9. แอสตัน มาร์ทิน ดีบี 4 จีที (1962)19. แอสตัน มาร์ทิน ดีบี 7 (1994)
10. แอสตัน มาร์ทิน แวนควิช (2001) 20. แฟร์รารี ทีอาร์ 250 (1957)
เรื่องโดย : ชูศักดิ์
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/389