ฮอนดา วางจำหน่ายคอมแพคท์ สเตชันแวกอน แบบใหม่ "ชัทเทิล" (SHUTTLE) เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา ชัทเทิล เป็นคอมแพคท์ สเตชันแวกอน รุ่นใหม่ที่ใช้งานง่าย และประหยัดเชื้อเพลิง ตามแบบฉบับรถประหยัดพลังงาน อีกทั้งมีรูปทรงอันโอ่อ่า และมีพื้นที่บรรทุกสัมภาระที่ราบเรียบ มีความกว้างเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มรถสเตชันแวกอน อีกทั้งยังมีสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม

ฮอนดา วางจำหน่ายคอมแพคท์ สเตชันแวกอน แบบใหม่ "ชัทเทิล" (SHUTTLE) เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา ชัทเทิล เป็นคอมแพคท์ สเตชันแวกอน รุ่นใหม่ที่ใช้งานง่าย และประหยัดเชื้อเพลิง ตามแบบฉบับรถประหยัดพลังงาน อีกทั้งมีรูปทรงอันโอ่อ่า และมีพื้นที่บรรทุกสัมภาระที่ราบเรียบ มีความกว้างเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มรถสเตชันแวกอน อีกทั้งยังมีสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม ฮอนดา ชัทเทิล มีให้เลือก 6 รุ่น ตามความต้องการ ได้แก่ ไฮบริด, ไฮบริด เอกซ์, ไฮบริด เซด ที่วางเครื่องยนต์แอทคินสัน DOHC I-VTEC IDCD ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ DCT 7 จังหวะ มีระบบขับเคลื่อนให้เลือกทั้งขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อ ชัทเทิล ไฮบริด เป็นรถที่มีอัตราเร่งดี ผสานเข้ากับสมรรถนะด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม ให้การประหยัดเชื้อเพลิงในระดับสูงสุด ด้วยอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 34.0 กม./ลิตร อีกทั้งยังมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็นครั้งแรก ส่วนรุ่น จี วางเครื่องยนต์เบนซิน ไดเรคท์อินเจคชัน ขนาด 1.5 ลิตร รหัส I-VTEC DOHC และมี 2 รุ่นพิเศษ ที่ออกแบบและผลิตขึ้นเพื่อคนพิการและผู้สูงอายุ ซึ่งมีทั้งรุ่นไฮบริด และเครื่องยนต์เบนซิน โดยรถทุกรุ่น มีระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อให้เลือก และพิเศษขึ้นไปอีก ในรุ่นสำหรับคนพิการ ที่นั่งข้างคนขับ เบาะนั่งสามารถปรับหมุนได้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ ฮอนดา ชัทเทิล มีพื้นที่บรรทุกสัมภาระขนาดใหญ่สุดในกลุ่มรถสเตชันแวกอน ซึ่งเป็นผลจากการออกแบบที่ลงตัว โดยเน้นบานประตูขนาดใหญ่ พื้นเรียบ ทำให้จัดเก็บสัมภาระต่างๆ ได้ง่ายและสะดวก ดีไซจ์นภายนอกดูทันสมัย มีเอกลักษณ์โดดเด่น เพิ่มฟังค์ชันต่างๆ เข้ามามากมาย แนวเส้นหลังคาที่ลื่นไหล ลู่ลม ทำให้ตัวรถมองดูสปอร์ท กระจังหน้าและไฟหน้า ออกแบบเป็นชิ้นเดียวกัน เน้นภาพลักษณ์ที่ดุดัน และล้ำยุคแบบโซลิด วิง เฟศ (SOLID WING FACE) ตามแบบฉบับของ ฮอนดา อีกทั้งยังมีการพัฒนาไฟหน้าระบบแอลอีดี แบบอินไลน์ใหม่ ช่วยให้ไฟหน้าทั้งแผงส่องสว่างในระนาบเดียวกัน การตกแต่งภายในห้องโดยสาร เน้นความพึงพอใจของผู้ขับขี่เป็นหลัก ด้วยปรัชญาการออกแบบที่เน้นคุณภาพและความสะดวกสบายในการใช้งาน มีการจัดวางแผงอุปกรณ์สีดำแบบ บแลค คริสตัล คอนโซลกลาง สร้างพื้นที่ส่วนตัวตรงที่นั่งคนขับ และที่นั่งข้างคนขับ ติดตั้งเท้าแขนขนาดใหญ่ พร้อมทั้งจัดวางถาดและที่วางแก้วน้ำ ตลอดจนกล่องเก็บของตรงกลางคอนโซลไว้ในตำแหน่งที่ใช้งานง่าย นอกจากนี้ ยังมีคอนโซลบอกซ์ขนาดใหญ่ ที่มีปลั๊กไฟสำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์ไอทีต่างๆ จุดเด่นของ ฮอนดา ชัทเทิล ไม่ได้อยู่ที่หน้าตาและรูปทรงภายนอกเท่านั้น ยังอยู่ที่พื้นที่บรรทุกสัมภาระซึ่งถูกออกแบบให้มีขนาดความจุ 570 ลิตร และมีการขยายความยาวของห้องบรรทุกสัมภาระออกได้สูงถึง 184 ซม. และเมื่อคุณพับเบาะที่นั่งแถว 2 ลง จะได้พื้นที่บรรทุกสัมภาระสูงถึง 1,141 ลิตร อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นว่า ประตูท้ายมีขนาดใหญ่ และอยู่ในระดับต่ำ จึงทำให้การขนย้ายสัมภาระต่างๆ ทำได้ง่าย นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งตะกร้าอเนกประสงค์ (MULTI USE BASKET) ไว้ที่ด้านหลังของที่นั่งแถวหลัง เพื่อให้เป็นพื้นที่สำหรับวางสิ่งของขนาดเล็ก/ใหญ่ สามารถแยกใช้ทั้งตัวซ้าย/ขวาได้ อีกทั้งยังเอื้อมมือจากที่นั่งแถวหลังมาหยิบของได้สะดวก และสามารถพับเก็บในเวลาที่ไม่ใช้ได้เช่นกัน สำหรับเครื่องยนต์ของ ฮอนดา ชัทเทิล มีให้เลือกทั้งเบนซินธรรมดา และไฮบริด โดยไฮไลท์อยู่ที่รุ่นไฮบริด ที่วางเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง DOHC 1.5 ลิตร รหัส L15B ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า พร้อมระบบถ่ายทอดกำลังเกียร์อัตโนมัติ DCT 7 จังหวะที่มีมอเตอร์ในตัว และใช้แบทเตอรีลิเธียม-ไอออน สามารถแล่นโดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียว เครื่องยนต์รุ่นนี้ให้กำลังสูงสุด 110 แรงม้า ที่ 6,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 13.7 กก.-ม. ที่ 5,000 รตน. ส่วนมอเตอร์ให้กำลังสูงสุด 22 กิโลวัตต์ (295 แรงม้า) ที่ 1,313-2,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 16.3 กก.-ม. ที่ 0-1,313 รตน. และระบบโดยรวมให้กำลังสูงสุด 137 แรงม้า (101 กิโลวัตต์) ที่ 6,000 รตน. ส่วนอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยสูงสุด ในรถรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า ทำได้ 34.0 กม./ลิตร และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ทำได้ 27.6 กม./ลิตร นอกจากนี้ ในรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง DOHC 1.5 ลิตร ที่มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ CVT ให้กำลังสูงสุด 132 แรงม้า ที่ 6,600 รตน. แรงบิดสูงสุด 15.8 กก.-ม. ที่ 4,600 รตน. อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า ทำได้ 21.8 กม./ลิตร และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ทำได้ 19.4 กม./ลิตร