ทั่วไป
หลังจากนักการตลาดเฝ้าคอยยอดการจำหน่ายของครึ่งปีแรก ที่ผันผวนจากสถานการณ์ทางการเมือง จนมาถึงยุค คสช. เมื่อปลายเดือน 5 สรุปว่าหลังผ่านพ้นครึ่งปีแรก ตลาดหดตัวลงไปถึง 41.0 % ขายกันได้เพียง 431,880 คัน ถ้าคิดบัญญัติไตรยางค์ง่ายๆ ก็จะแสดงว่า ปีนี้ทั้งปี ตลาดจะขายกันเพียง 860,000 คัน ก็เลยต้องมีการปรับเป้าการขายในประเทศกันใหม่
หลังจากนักการตลาดเฝ้าคอยยอดการจำหน่ายของครึ่งปีแรก ที่ผันผวนจากสถานการณ์ทางการเมือง จนมาถึงยุค คสช. เมื่อปลายเดือน 5 สรุปว่าหลังผ่านพ้นครึ่งปีแรก ตลาดหดตัวลงไปถึง 41.0 % ขายกันได้เพียง 431,880 คัน ถ้าคิดบัญญัติไตรยางค์ง่ายๆ ก็จะแสดงว่า ปีนี้ทั้งปี ตลาดจะขายกันเพียง 860,000 คัน ก็เลยต้องมีการปรับเป้าการขายในประเทศกันใหม่
เริ่มกันมาจากตัวเลขของสภาอุตสาหกรรม ที่เปิดออกมาก่อน ว่ามีการปรับลดประมาณการผลิต ปี 2557 ลงเหลือ 2,200,000 คัน ลดลงร้อยละ 10.46 แบ่งเป็นส่งออก 1,200,000 คัน ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้น ร้อยละ 7.02 แต่ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ เพียง 1,000,000 คัน ลดลง ร้อยละ 25.14 ก็แสดงว่า ตลาดต่างประเทศของเรายังมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี และดูจากโครงการก่อสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในบ้านเรา ที่เปิดหน้าเสื่อกันออกมาแล้ว ดูตัวเลขประเมินโดยภาพรวม น่าจะยังดีอยู่ไปอีกหลายปีทีเดียว
กลับมามองทางค่ายรถยนต์บ้าง เสียงส่วนใหญ่ประเมินกันว่า น่าจะปรับเป้ายอดรวมทั้งตลาดอยู่ในราว 900,000 คัน หรือมากกว่านั้นเล็กน้อย เพราะเป็นความเชื่อของนักการตลาดอยู่แล้ว ว่าเมื่อบ้านเมืองสงบ สภาวะทางการเมืองไม่มีอะไรน่าตกอกตกใจ ผู้คนก็จะกลับมามีอารมณ์ใช้จ่ายกันอีก แถมด้าน บีโอไอ ยังไฟเขียวให้การส่งเสริมการลงทุนกับค่ายรถยนต์ นั่นยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นกลับคืนมาเร็วขึ้น แต่ตัวเลข 9 แสนนี่ ก็ยังอยู่ในการประเมินที่ค่อนข้างอนุรักษนิยมอยู่บ้าง ประมาณว่าผลิตมาเกินเอาไว้เป็นสตอคน่ะ
แต่กระนั้นก็ตาม สำรวจได้จากการกระหน่ำโฆษณาแคมเปญของค่ายรถยนต์ในเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา ไม่ปรากฏว่ามีเจ้าไหนถอยจากตลาดเลยสักเจ้าเดียว มีแต่แคมเปญเพื่อรักษายอดขายกันสนั่นหวั่นไหว แถมมีรถเก๋งใหม่ล่าสุดจากเมืองจีน มีรถที่ราคาแพง ราคาเกินล้านบาท กล้าเปิดตลาดในช่วงนี้ ทั้งรถบรรทุก รถหัวลาก ก็กล้าเปิดตัวกันอย่างไม่เกรงกลัวสภาวะเศรษฐกิจใดๆ เลย ก็เชื่อได้เลยว่า ตลาดห้วงครึ่งปีหลังนี่ น่าจะไปได้ดีพอสมควรทีเดียว เอาเป็นว่า ซ่อนตัวเลข 1 ล้านคัน เอาไว้ในใจก่อนก็แล้วกัน มาคอยดูไตรมาสสุดท้าย ว่างาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 31 ปลายเดือนพฤศจิกายน นี้ จะสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งหรือไม่
ปีนี้ กรุณาอย่ามีคำถามว่า จะซื้อรถเมื่อไรดีนะครับ เพราะแคมเปญที่มีอยู่ตอนนี้น่ะ แทบจะไม่มีกำไรเหลือแล้วจ้า
กลับมาดูภาพรวมว่าค่ายรถยนต์เอาอะไรมาประเมินตัวเลขครึ่งปีหลัง ดูจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย ประเมินเศรษฐกิจไทย หรือ จีดีพี (GDP) ปีนี้เอาไว้ที่ 1.5 % แต่หลังจาก คสช. ประกาศว่า จะสามารถตั้งเป้าทำให้ประเทศไทย มี จีดีพี เพิ่มขึ้นเป็น 2.5 % ก็ต้องมาดูว่า จะมีเม็ดเงินจากด้านไหน ที่จะเข้ามาช่วยให้เงินสะพัดมากกว่านี้ หลายฝ่ายก็เล็งไปที่ด้านการท่องเที่ยว ประกอบกับการเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ให้สามารถเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ รวมถึงสามารถจัดทำงบประมาณประจำปี 2558 ให้แล้วเสร็จ และสามารถประกาศใช้ได้ทันที ก็คาดกันว่า ในไตรมาส 3 และ 4 จีดีพี จะเติบโตได้ถึง 3-4 % จากการฟื้นตัวของการบริโภค และด้านการท่องเที่ยว
มองไกลไปถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2558 จีดีพี จะเติบโตได้ประมาณ 5.5 % ซึ่งถือว่าเป็นการโตเต็มศักยภาพ โดยมองว่า เศรษฐกิจมีแนวโน้มเริ่มฟื้นตัวโดยเฉพาะในส่วนภาคธุรกิจ ภาคเอกชน ที่มีความเข้มแข็ง ขณะที่ภาครัฐมีฐานะทางการคลังดีขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ดี ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา คือ ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน เนื่องจากที่ผ่านมาภาคครัวเรือนมีหนี้มาก แม้เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวลง แต่ยังต้องติดตามใกล้ชิด เพราะเกิดจากกลุ่มที่มีรายได้ต่ำ
แต่ผลพวงจาก คสช. เข้ามามีบทบาทในบ้านเรา ก็โดนลูกใหญ่ๆ ไปแล้ว 2 เจ้า จากกำหนดการจัดงานแสดงรถยนต์ ที่ประกาศกันใหญ่โต โครมคราม เจ้าแรก กระเด็นกระดอนไปจากรถแต่งจากต่างประเทศ ไม่เชื่อมั่นใจความปลอดภัย ไม่ยอมส่งรถมาให้โชว์ เพราะแต่งเอาไว้หลายสตางค์ เกรงว่าส่งมาแล้ว อาจจะไม่ได้ส่งกลับ ส่วนเจ้าที่ 2 นี่ก็ประกาศใหญ่โตเหมือนกัน เรื่องของรถนำเข้า แต่บรรดาเถ้าแก่รถนำเข้า เจอประกาศ คสช. แต่ละฉบับ ก็ได้แต่เอามือกุมขมับ แค่เรื่องการตรวจสอบที่มาของธุรกรรมทางการเงินจำนวนมากที่จะเอามาซื้อรถ ทั้งที่ใช้เงินไฟแนนศ์แท้ๆ คนซื้อก็ไม่อภิรมย์เสียแล้ว เถ้าแก่ที่ขายรถนำเข้า เกรงจะไม่ปลอดภัยในการตรวจสอบที่มาที่ไปย้อนหลัง เลยขอถอนตัว งานแสดงเนี่ยก็ล้มไปอีกเจ้าหนึ่ง ทั้งที่หนที่แล้วก็ล้มไปจากศูนย์ราชการเพราะ MOB นกหวีดหนหนึ่งแล้ว นี่เก็บเอามาเล่าสู่กันฟังเท่านั้นเอง
แต่ปูมที่น่าสนใจ คือ การเปิดตัวอภิมหาโครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีเงินลงทุนเกิน 50,000 ล้านบาท ของกลุ่มศูนย์การค้า ร่วมกับกลุ่มทุนเครือเจริญโภคภัณฑ์ กำหนดแล้วเสร็จในปี 2560 ว่ากลุ่มทุน ที่สามารถระดมเงินทุนได้แน่นอน มีความมั่นใจในศักยภาพของภาครัฐ กล้าลงสนามมาเต็มตัว โดยไม่หวั่นเกรงสภาวะเศรษฐกิจด้านไหนทั้งนั้น ก็แสดงว่า ประเทศไทย จะยังคงก้าวหน้าไปได้อย่างมีเสถียรภาพ แม้ว่าจะมีปัญหาทางด้านการเมืองบ้าง แต่ในเมื่อนักลงทุน กล้าเปิดตัวมาขนาดนี้ ทั้งที่สภาพการณ์ก็ไม่ได้นิ่งสนิทเสียเท่าใดนัก เท่ากับเปิดให้ชาวโลกเห็นว่าปัญหาทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องใหญ่ทางการลงทุน หากสามารถมองเห็นช่องทางที่มั่นใจแล้วว่าถูกต้อง
หันมาดูทางด้านศูนย์วิจัยของธนาคารบ้าง ค่ายสีเขียว ประเมินว่า การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2557 พร้อมจัดทำงบประมาณปี 2558 ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2557, การเร่งอนุมัติโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ (BOI) มูลค่ากว่า 7 แสนล้านบาท และ การช่วยเหลือเกษตรกรเรื่องการคืนเงินโครงการจำนำข้าวแก่ชาวนาจำนวน 9.2 หมื่นล้านบาท จะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ จีดีพี ในครึ่งปีหลังเป็น 4.3 % โดยมีผลทำให้ จีดีพี เฉลี่ยทั้งปี 2557 ปรับจาก 1.8 % ขึ้นเป็น 2.3 % ซึ่งปัจจัยหลัก ได้แก่ การใช้จ่ายของภาครัฐ การลงทุนของภาคเอกชน การบริโภคของประชาชน ส่วนการส่งออกสุทธิที่เป็นปัจจัยที่ 4 ของการเติบโตของ จีดีพี จะสามารถกระเตื้องขึ้นได้เป็น 3 % ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีกว่าปี 2556 ที่ติดลบอยู่ 0.2 %
ส่วนเม็ดเงินด้านอื่น ก็มี อาทิ ผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีโครงการที่น่าจะเปิดประมูลได้ในช่วงปี 2557-2558 มูลค่ารวมประมาณ 4.8 แสนล้านบาท ประกอบด้วยโครงการที่เกี่ยวกับเส้นทางคมนาคมเป็นหลัก ได้แก่ โครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 การปรับปรุงสนามบินดอนเมือง รถไฟรางคู่ รถไฟฟ้าสายสีเขียว เป็นต้น
ขณะที่ทิศทางเชิงบวกของโครงสร้างพื้นฐานประกอบกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อการลงทุนของภาคเอกชน ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะฟื้นตัวขึ้นได้โดยมีอัตราการเติบโตที่ 5.8 % ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จในเขต กทม. และปริมณฑล จะขยายตัวถึง 3.4 % จากครึ่งปีแรกที่ติดลบ 13.1 %
ที่ค่ายสีเขียวประเมินออกมาอย่างนี้ เพราะมีตัวอย่างจากการเข้าตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทเครื่องดื่ม ที่ธนาคารเป็นผู้รับดำเนินการ ที่สามารถทำราคาเข้าตลาด หรือ ไอพีโอ ได้สูงกว่าเป้าหมาย และได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนสถาบันที่จองหุ้นล้นหลามมากถึง 18 เท่า ของจำนวนหุ้นที่เปิดขาย ซึ่งธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มมีมูลค่าตลาดกว่า 1.8 ล้านล้านบาท และยังสามารถเติบโตได้อีกมาก
นอกจากนี้ ในภาคการส่งออกแม้จะมีการปรับประมาณการเติบโตของปี 2557 ลดลงจาก 5 เป็น 3 % แต่ยังถือเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในครึ่งปีหลัง เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยอุตสาหกรรมหลักที่ผลักดันการส่งออก ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ ที่มีการคาดการณ์การเติบโตที่ 12 % ในครึ่งปีหลัง จากครึ่งปีแรกที่เติบโตเพียง 3 % ทั้งนี้ยังมีโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก บีโอไอ รออนุมัติอีกกว่า 4 แสนล้านบาทในปีนี้ ซึ่งหากสามารถผลักดันโครงการต่างๆ ออกมาได้อย่างรวดเร็ว จะช่วยให้เศรษฐกิจครึ่งปีหลังสดใสยิ่งขึ้นไปอีก
เปิดเป้ามาให้เห็นขนาดนี้ ยังจะพอให้ความเชื่อมั่นต่อสภาวการณ์ด้านเศรษฐกิจของบ้านเราในครึ่งปีหลังได้หรือยัง นี่แค่เจาะให้ดูแบบผิวเผิน ก็ยังมีความมั่นใจแบบไม่ต้องกังวลสงสัยแบบว่า แอบซ่อนตัวเลข 1 ล้านคัน เอาไว้ในใจ ชนิดไม่เคอะเขินแต่อย่างใด เพราะต้องรับทราบ รับฟังข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่แบบฟังเอาจากวิทยุ หรือทีวี ตอน 3 ทุ่ม แต่ต้องเข้าไปนั่งฟังงานแถลงข่าวมากมายในแต่ละสัปดาห์ มีแต่เรื่องประเทืองปัญญามาเล่าสู่กันฟังทั้งนั้น
ไม่มีเรื่องกระเป๋า 15 ใบ แต่อย่างใด อิอิ
เรื่องโดย : มือบ๊วย formula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กันยายน ปี 2557
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/33685