เมื่อมีโอกาสไปเที่ยวชมโมเดิร์นเทรด สรรพนานาร้านค้าภายใต้หลังคาเดียวกันในโครงการ "เมกาบางนา" ผมได้เข้าชมภาพยนตร์อเมริกันปี 2013 เรื่อง THOR: THE DARK WORLD ภาพยนตร์ตามยุคสมัยของวันนี้ ซึ่งถ้าเป็นสมัยก่อนก็ต้องเป็นเรื่อง STAR WARS ภาพยนตร์ว่าด้วยการผจญภัยในโลกจักรวาลของซูเพอร์ฮีโร เรื่องนี้เป็นตอนที่ 2 ต่อจากตอนแรกในปี 2011 ผู้แสดงนำส่วนใหญ่มาจากตอนแรก เพิ่มน้องใหม่มาไม่กี่ราย เช่น คริสโตเฟอร์ เอคเคิลสตัน, ซาคารี เลวี และคลิฟ รัสเซลล์ นักแสดงหน้าเดิมก็นำโดย คริส เฮมส์เวิร์ธ และนาตาลี พอร์ทแมน พ่วงท้ายด้วย แอนโธนี ฮอพคินส์ นักแสดงรุ่นเก๋า ภาพยนตร์ประเภทนี้ไม่ต้องการคุณค่าเรื่องราว สตอรีเขียนง่าย เพราะหนักไปทางการต่อสู้ ไม่ใช่ด้วยดาบแบบค่ายบางระจัน แต่ด้วยเทคโนโลยีที่เต็มไปด้วยจินตนาการ และเนื้อหาของเรื่องก็ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน เป็นเรื่องราวของผู้ร้ายที่ชื่อ มาเลคิธ ผู้เต็มไปด้วยความเคียดแค้นอาฆาต กลับมาสร้างความมืดมนให้กับห้วงจักรวาลอีกครั้ง พระเอก คือ ธอร์ ต้องอาศัยค้อนวิเศษปราบเหล่าคนร้าย แต่ปรากฏว่า มาเลคิธ รีเทิร์นเที่ยวนี้เล่นเกมแรง เรียกว่าทั้งประมุขโอดิน และแอสการ์ด "เอาไม่อยู่" ธอร์ ต้องมุ่งหน้าสู่การเดินทางที่เต็มไปด้วยภยันตรายทุกฝีก้าว รวมทั้งเป็นการเดินทางแบบส่วนตัวอีกต่างหาก เพื่อให้หนังมีรสชาติครบวงจร คือ มีทั้งพระเอก ผู้ร้าย และนางเอก นางเอกก็คือ ดร. เจน ฟอสเตอร์ นักวิชาการฝ่ายดาราศาสตร์เกี่ยวกับคุณสมบัติทางฟิสิคส์ของดาวนพเคราะห์และดาวดวงอื่นๆ ในจักรวาล นอกจากเป็นนักวิชาการระดับศาสตราจารย์แล้ว ยังเป็นที่รักของพระเอก ธอร์ ดร. ฟอสเตอร์ ถูก ธอร์ พาออกจากโลกมนุษย์ไปยังแอสการ์ด เพื่อให้เรื่องมันยุ่งเป็นยุงตีกัน แอนโทนี ฮอพคินส์ แสดงเป็น โอดิน ประมุขของแอสการ์ด ส่วนน้องชายบุญธรรมของ ธอร์ คือ โลกิ แสดงโดย ทอม ฮิดเดิลสตัน เหตุการณ์การทำสงครามในจักรวาลมีหลายครั้งในภาพยนตร์ ดูเอามันก็มัน และต้องพยายามลืมความคิดว่า ยังไงพระเอกเรื่องนี้ก็ต้องไม่ตาย สู้ยังไงก็ไม่ตาย สุดท้ายก็ไม่ตาย และแฮพพีเอนดิงกับนางเอกในตอน "จบบริบูรณ์" พระเอกปราบผู้ร้ายแล้วก็กลับไปบอก โอดิน ประมุขแอสการ์ด ว่าไม่รับตำแหน่งประมุขแอสการ์ดที่ โอดินเสนอ ขอกลับไปหานางเอกในโลกมนุษย์ แอสการ์ดก็เลยทำท่าว่า ประมุขคนต่อไป คือ โลกิ น้องชายบุญธรรมของ ธอร์ มาร์เวล สตูดิโอ เป็นผู้สร้างภาพยนตร์ชุดนี้ ซึ่งที่แล้วมามีเรื่อง THE AVENGERS รวมอยู่ด้วยอีกเรื่องหนึ่ง ก่อนจะมาถึงเรื่อง THOR: THE DARK WORLD การทำตลาดของภาพยนตร์ หนีไม่พ้นการจัดทำหนังสือการ์ตูนออกจำหน่ายก่อนเปิดฉาย โลกิ ประทับใจคนดูมาตั้งแต่ตอนแรก มีส่วนทำให้การตลาดเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ ภาพยนตร์ได้รับการวิจารณ์เป็นผลบวก จากสื่อหลายฉบับ ทั้ง "ลอสแองเจลิส ไทม์" หนังสือพิมพ์รายวันประจำลอสแองเจลิส และ "ฟอร์บส์" นิตยสารด้านการเงินของกลุ่มมหาเศรษฐีอเมริกัน ทางด้านรายได้ THOR: THE DARK WORLD เก็บรายได้ทำลายสถิติตอนแรก และ THE AVENGERS เปิดฉายครั้งแรกที่โรงภาพยนตร์ โอเดียน เลสเตอร์ สแควร์ ในกรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ปีที่แล้ว ในสหรัฐอเมริกาเอง เริ่มตั้งแต่ 7 พฤศจิกายน ปีที่แล้ว ครองอันดับ 1 บอกซ์ออฟฟิศ ระยะเวลา 2 สัปดาห์ เก็บเงินรายได้ถึง 145,097,130 เหรียญสหรัฐ ฯ จากโรงฉายทั้งหมด 3,841 โรง ในต่างประเทศ ผมไม่มีข้อมูลว่าประเทศไทยฟันไปเท่าไร มีแต่ข้อมูลที่บอกว่า THOR: THE DARK WORLD ครองแชมพ์ และทำเงินดี เฉพาะที่เมืองจีน กับรัสเซีย ตัวเลขรายได้ทั้งหมด ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2556 มียอดรวมทั้งสิ้น 482,436,753 เหรียญสหรัฐ ฯ ทุบสถิติทุกเรื่องในอดีต แค่เวลา 19 วันแรกที่ออกฉาย THOR: THE DARK WORLD ชี้ให้เห็นว่า แฟนหนังทั่วโลก โดยเฉพาะชาวเอเชีย ค่อนข้างจะคลั่งไคล้กับแนวทางการต่อสู้บนห้วงจักรวาล สู้กันแล้วสู้กันอีก ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ไม่รู้ว่ากระแสความคลั่งไคล้ของแฟนานุแฟนจะยืนยาวไปถึงเมื่อไร ที่เมืองจีนถึงขนาดใช้โพสเตอร์หนังเรื่องนี้ เป็นเอกลักษณ์ "ความรักกลุ่มคนไม้ป่าเดียวกัน" ผมดูแล้วก็เหมือนเรื่อง MAN OF STEEL เรื่องราวของมนุษย์ซูเพอร์แมน เล่าเรื่องในลีลาใหม่ เริ่มตั้งแต่เกิดบนดาวนพเคราะห์ ถูกส่งมาถึงโลกมนุษย์ ฝ่ายผู้ร้ายตามมาล้างผลาญกันวินาศสันตะโร จนกระทั่งพระเอกเป็นฝ่ายชนะ กลายเป็นสุภาพบุรุษหล่อเหลา สวมแว่นตา สะพายกล้อง ใช้ชื่อว่า คลาก เคนท์ เข้าทำงานกับสื่อ "เดลี พแลเนท" แฮพพีกันไปถ้วนหน้า สำหรับ MAN OF STEEL ผมคิดว่ายังมีข้อเตือนใจ หากโลกมนุษย์มีซูเพอร์แมนแบบนี้ก็คงไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรพระเอกจะทรยศโลกมนุษย์ ซึ่งจาก THOR: THE DARK WORLD ผมเก็บอะไรไม่ได้เลย ที่นั่งมันวิเศษเกินไปหรือเปล่าไม่ทราบ เอนนอนเหยียดขาสบาย...!