พิเศษ
ย้อนรำลึก สุดยอดตำนานของการแข่งขันวิ่งเลียบเทือกเขาแอลป์ และสาเหตุที่ทำให้ โรลล์ส-รอยศ์ โกสต์ สามารถพิชิตตำแหน่ง รถที่ดีที่สุดในโลก มาครอบครอง
ย้อนรำลึก สุดยอดตำนานของการแข่งขันวิ่งเลียบเทือกเขาแอลป์ และสาเหตุที่ทำให้ โรลล์ส-รอยศ์ โกสต์ สามารถพิชิตตำแหน่ง รถที่ดีที่สุดในโลก มาครอบครอง
โค้งหักศอก ทางเลี้ยวแคบ กลีบเมฆ และความหนาวเหน็บ ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น รวมอยู่ใน STELVIO PASS ประเทศอิตาลี แต่ทว่ารถหรูหราอย่าง โรลล์ส-รอยศ์ เกี่ยวข้องอะไรกับเส้นทางวิ่งสุดโหดแห่งนี้ รถยนต์ซึ่งมีชนาดตัวใหญ่กว่าเรือรบประจัญบานของราชวงศ์อังกฤษสมัยนั้น สามารถวิ่งลัดเลาะสุดยอดเส้นทางเลียบเทือกเขาแอลป์ ที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเล 2,758 เมตร ได้จริงหรือ ?
เมื่อกล่าวถึง โรลล์ส-รอยศ์ คุณคงนึกถึงรถรุ่นหรูอย่าง โกสต์ ที่วิ่งกรีดกรายเฉิดฉายย่าน KNIGHTSBRIDGE กรุงลอนดอน พร้อมกับโชเฟอร์ธรรมดาๆ คนหนึ่งที่คอยเปิด/ปิดประตูรถให้สุภาพสตรีที่นั่งอยู่เบาะหลังพร้อมหิ้วถุงชอพพิงของห้างแฮร์รอดส์
แต่ครั้งนี้เปล่าเลย เราควบเจ้าโรลล์ส-รอยศ์ เข้าโค้งแล้วโค้งเล่าได้อย่างใจ โดยมีรูปปั้นเทพธิดาที่ปลายฝากระโปรงหน้าเป็นจุดเล็งภาพวิวภูเขาหิมะ ขอบถนน และรถบัสที่สวนมา
2 สาเหตุหลัก ที่ทำให้เรามาอยู่ท่ามกลางภูเขา LOMBARDY และ SOUTH TRYOL คือ เพื่อจะได้มีโอกาสนั่งหลังพวงมาลัยของรถหรูที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของผู้ดีอังกฤษ คล้ายๆ กับการนั่งดื่มน้ำชายามบ่าย และพระราชินีเอลิซาเบธ
เมื่อกล่าวถึงการแข่งขันวิ่งเลียบเทือกเขาเมื่อ 100 ปีที่แล้ว คุณจะเห็นภาพแห่งชัยชนะของบรรพบุรุษของรถยนต์ โรลล์ส-รอยศ์ โกสต์ นั่นคือ ซิลเวอร์ โกสต์ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใดที่ถนนเลียบเทือกเขาเส้นนี้ จะถูกพิชิตด้วยรถสไตล์วินเทจ ที่ส่งเสียงคำราม และขับเคลื่อนไปช้าๆ โดยคนขับที่ดูเป็นผู้ดีอังกฤษ พร้อมแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยเสื้อผ้าขนสัตว์ และแว่นตากันลม เหมือนกับอยู่ในความฝันไม่มีผิด
สาเหตุที่ 2 สำคัญไม่แพ้กัน คือ มุมมอง รุ่น โกสต์ นั้นเป็นรถ โรลล์ส-รอยศ์ ยุคใหม่เต็มตัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่าเป็นรถที่สมฐานะของชนชั้นสูงแห่งราชวงศ์อังกฤษเลยทีเดียว (ถึงแม้จะตกอยู่ในมือของค่ายเยอรมันแล้วก็ตาม แบบเดียวกับที่เกิดขึ้นกับกับญาติห่างๆ อย่าง เบนท์ลีย์) แต่ โรลล์ส-รอยศ์ ก็ยังทำได้ดี โดยการนำเอารถขนาดใหญ่ (น้ำหนัก 2.4 ตัน) มาผสมผสานกับความห้าวของรถสปอร์ท (เครื่องยนต์เบนซิน วี 12 สูบ ความจุ 6.6 ลิตร 571 แรงม้า) พร้อมยังคงความปราดเปรียวไว้ได้อย่างน่าทึ่ง
ถ้ากล่าวถึงความเข้ากันได้ดีของรถ โรลล์ส-รอยศ์ โกสต์ ยามเมื่อขับเข้าโค้งแล้วโค้งเล่าบน STELVIO PASS เปรียบได้กับไข่มุกที่ลื่นไหลบนสายสร้อยเส้นไหม เสียงเครื่องยนต์ขณะวิ่ง เงียบแบบแปลกๆ ราวกับกำลังวิ่งผ่านกลีบเมฆ แต่ยังไม่เงียบเท่าเครื่องยนต์ของ โรลล์ส-รอยศ์ แฟนทอม ที่ได้มีการติดตั้งเครื่องยนต์ไฟฟ้าเข้าไป เพื่อช่วยรับประกันความเงียบ (สำหรับผู้ที่ยอมจ่าย) จนแทบจะไม่รู้สึกถึงเสียงการทำงานของเครื่องยนต์เลย
ช่างเทคนิคย้ำกับเราว่า นี่ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด พร้อมทั้งอธิบายว่ามันคือผลของระบบป้องเสียงที่พัฒนาขึ้นใหม่ อีกทั้งยังใช้ระบบรองรับแบบถุงลมซึ่งควบคุมด้วยอีเลคทรอนิคส์ที่มีความนิ่ง และเงียบมากกว่าเดิม แม้แต่การกระแทกของประตูก็ไม่ให้บังเกิดเสียง โดยใช้กลไกตะขอเกี่ยวแทน
เส้นทางเริ่มท้าทายมากยิ่งขึ้น แต่ละโค้งเรียงรายเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ช่วงเวลาต่อจากนี้ คือ การทดสอบสมรรถนะที่แท้จริง และ โรลล์ส-รอยศ์ โกสต์ ก็ได้แสดงศักยภาพของมันให้โลกได้รับรู้
คนเยอรมันสามารถปัดฝุ่นบริษัทเล็กๆ ให้เป็นองค์กรที่แข็งแกร่งเพื่อผลกำไร และเปลี่ยนวิธีคิดใหม่หมด แต่ทว่าพวกเขาก็ยังสามารถรักษาทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้รถคันนี้เป็นรถแห่งตำนาน โดยใช้เวลากว่า 20 วัน ในการทำงานเพื่อเอาใจเจ้าของ ด้วยเบาะหนังสุดแพง พร้อมตกแต่งภายในด้วยไม้และโครเมียมอย่างดี เท้าของผู้ขับและผู้โดยสารจะจมอยู่บนพรมนุ่มๆ ทำจากหนังแกะ และเมื่อหันไปด้านข้าง ก็จะพบกับแซนด์วิชคุณภาพดีพร้อมรับประทานเสิร์ฟอยู่บนโต๊ะพิคนิค พร้อมด้วยแก้วคริสตัลและแชมเปญอย่างดีที่เก็บรักษา ด้วยอุณหภูมิที่พอเหมาะจากช่องเย็นภายในรถ
เมื่อถึงเวลานี้ เราไม่ต้องทำอะไรอีกแล้วนอกจากทอดกายลงบนที่นั่งด้านหลัง พร้อมมอบหน้าที่ขับขี่ให้แก่โชเฟอร์ เพราะความหรูหรานี่แหละที่ โรลล์ส-รอยศ์ คาดหวังที่จะให้ลูกค้าได้รับ
ตามรอยการเดินทางของ แรดเลย์
โรลล์ส-รอยศ์ 48 คัน วิ่งตามเส้นทางแห่งชัยชนะของ ซิลเวอร์ โกสต์ กว่า 2,900 กม. เพื่อฉลองสุดยอดรถที่ดีที่สุดในโลก
เจมส์ แรดเลย์ นักขับผู้มีชื่อเสียงสัญชาติอังกฤษ และผู้ชำนาญการแข่งวิ่งเลียบเทือกเขา เคยแต่งรถรุ่น ซิลเวอร์ โกสต์ เพื่อพิชิตเส้นทางเลียบเทือกเขาแอลป์มาแล้ว เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ได้รับความนิยมสูงสุด ของบรรดานักขับผู้ที่ซึ่งอยากจะทดสอบความคงทน และสมรรถนะของรถ
แรดเลย์ ลงแข่งครั้งแรกในปี 1912 แต่ต้องถูกให้ออกจากการแข่งขันเนื่องจากเกียร์มีปัญหา ต่อมาในฤดูร้อนปี 1913 หลังจากแก้ไขปัญหาเกียร์ และปรับระบบรองรับ เขาได้กลับมาลงแข่งอีกครั้ง ระยะทางกว่า 2,900 กม. ไต่ผ่านเทือกเขาแอลป์ระหว่างประเทศออสเตรีย สวิสเซอร์แลนด์ อิตาลี และสโลเวเนีย ชัยชนะครั้งนี้ทำให้รถ โรลล์ส-รอยศ์ ซิลเวอร์ โกสต์ ได้รับตำแหน่งรถที่ดีที่สุดในโลกไปครอง และทำให้มันกลายเป็นตำนาน
เพื่อเป็นการฉลองชัยชนะนั้น กลุ่ม โกสต์ 20 หรือกลุ่มคนผู้ชื่นชอบและหลงใหล โรลล์ส-รอยศ์ ที่รวมตัวกันทั่วโลก (ไม่ใช่แค่เพียงชาวอังกฤษเท่านั้น แต่ยังมีทั้งเยอรมัน อเมริกัน ออสซี และแอฟริกาใต้ ด้วย) ได้ร่วมกันรำลึกถึงชัยชนะครั้งนี้ด้วยการนำรถ ซิลเวอร์ โกสต์ กว่า 48 คัน ลงสู่สนาม แต่ละคันผลิตระหว่างช่วงปี 1909-1926 ใช้เวลเดินทางทั้งหมด 15 วัน โดยเริ่มและจบที่กรุงเวียนนา ในช่วงเดือนมิถุนายน รถของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนนั้นล้วนแล้วไม่ธรรมดา
โรลล์ส-รอยศ์ ซิลเวอร์ โกสต์ คันที่ แรดเลย์ ใช้แข่งนั้น ได้ถูกนำขึ้นหิ้งพร้อมเกียรติยศเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันเป็นของ จอห์น เคเนดี นักสะสมชาวนิวซีแลนด์ซึ่งพบมันในโรงนาที่ประเทศอังกฤษในช่วงยุค 60 และยังมี 40/50 HP ที่เป็นของ วินสตัน เชอร์ชิลล์ ซึ่งเคยเป็นราชรถของมหาราชาแห่งอินเดีย
น่าแปลกที่รถรุ่นนี้ ล้วนได้รับเกียรติสูงสุดแทบจะทุกคัน
วิ่งอย่างกล้าหาญ
รถ โรลล์ส-รอยศ์ ซิลเวอร์ โกสต์ พระเอกของการวิ่งเลียบเขาของ แรดเลย์ ได้รับฉายาว่า รถที่ดีที่สุดในโลก หลังจากที่สามารถพิชิตสุดยอดทางวิ่งเลียบเทือกเขาแอลป์กว่า 2,900 กม. เมื่อปี 1913
เสน่ห์ของวันวาน บนเทคโนโลยีวันนี้ ทำให้เราหลงใหล โกสต์ แม้ว่ามันจะวิ่งอยู่บนเส้นทางคดเคี้ยวขึ้นเขาก็ตาม"
ข้อมูลจำเพาะ
รุ่น 100 ปี พิชิตเส้นทางเลียบเขาแอลป์
ความจุ 6,592 ซีซี วี 12
กำลัง 571 แรงม้า ที่ 5,250 รตน.
79.5 กก.-ม. ที่ 1,500 รตน.
ระบบขับเคลื่อน ล้อหลัง
เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.
อัตราเร่ง 0 - 100 กม./ชม. : 4.9 วินาที
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 7.4 กม./ลิตร
น้ำหนัก 2,360 กก.
นุ่มนวลดั่งแพรไหม
ถึงแม้ว่ารถจะมีขนาดใหญ่โต แต่ โรลล์ส-รอยศ์ โกสต์ ก็คล่องตัว และจัดการปราบพยศในทางโค้งได้อย่างเชื่องมือ ผนวกกับระบบรองรับแบบถุงลมควบคุมด้วยอีเลคทรอนิคส์ ทำให้ผู้โดยสารสะดวกสบายจนแทบไม่รู้สึกเลยว่ารถกำลังเคลื่อนที่
ความหรูหราเหนือระดับ
เครื่องหนังราคาแพง การตกแต่งลายไม้ และผ้าที่ทออย่างประณีต ทั้งหมดเพื่อให้ผู้โดยสารตระหนักถึงการเอาใจใส่ลูกค้า รวมถึงได้รับประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร
โรลล์ส-รอยศ์ โกสต์ แต่ละคันในงานเฉลิมฉลองนั้นล้วนเป็นรุ่นลิมิเทด ที่ได้แรงบันดาลใจมากจากรุ่น ซิลเวอร์ โกสต์ ที่เป็นตำนานของ เจมส์ แรดเลย์ โดยผลิตเพียง 35 คันเท่านั้น (ถูกขายไปเกือบจะหมดแล้ว) ที่ได้ผ่านพโรแกรม BESPOKE เพื่อช่วยแต่งให้รถแต่ละคันมีเอกลักษณ์เฉพาะ ดังนั้น โรลล์ส-รอยศ์ แต่ละคันจึงไม่ซ้ำกับใคร อีกทั้งยังเป็นหนึ่งเดียวในโลก ตัวถังรถมีสีฟ้าและเงิน ช่องระบายด้านหน้า และล้ออัลลอยเป็นสีดำ ภายในประดับตกแต่งด้วยของมีราคาเพื่อยกระดับ เช่น หน้าจอแสดงข้อมูลเส้นทางโดยละเอียด ติดตั้งอยู่ที่คอนโซลด้านหน้า และนาฬิกาแบบเข็มที่แสดงเวลาที่เหลือสำหรับการแข่งขัน
ภายใต้ความงดงามและเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคันนั้น ทุกคันยังคงมีความเป็น โกสต์ อยู่ เพียงได้รับการตกแต่งเพิ่มเติมเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย เครื่องหนังนุ่มอย่างดี และไม่เก็บความร้อนสำหรับให้ความสะดวกสบายแก่ผู้โดยสารอย่างเต็มที่ (ต้องใช้หนัง 8 ตัว ต่อรถ 1 คัน สัตว์เหล่านี้ถูกเลี้ยงในทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ปลอดลวดหนาม เพื่อป้องกันการเกิดรอยขีดข่วนบนหนังของมัน เพื่อให้ได้ชิ้นงานที่ไร้ที่ติ) ขนแกะชั้นเยี่ยมถูกนำมาถักทออย่างพิถีพิถันจากฝีมือช่างมือหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างภายในรถเริ่มจากต้นกำเนิดชั้นยอดเหมือนๆ กันทำให้สีสันภายในเป็นโทนเดียวกันทั้งหมดอย่างไร้ข้อผิดพลาดใดๆ รวมถึงยังมีที่เก็บร่มที่พร้อมใช้ในงานท่ามกลางสายฝนที่ถูกซ่อนอยู่ภายในประตูด้านคนขับ
สัญลักษณ์นำโชค ดีไซจ์นจากความคิดของ ลอร์ด มอนทากู เมื่อปี 1911 โดยได้แรงบันดาลใจมาจาก รูปวาดเทพเจ้ากรีกโบราณ NIKE ผู้เป็นเทพแห่งชัยชนะ แต่ต้นแบบจริงๆ ที่ถูกใช้ในการทำรูปปั้นนี้คือ คู่รักของท่านลอร์ด ซึ่งเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเรืออับปางหลังจากนั้นไม่นาน นับแต่นั้นมารูปปั้นของเธอ ก็ได้มาประดับตกแต่งอยู่บนด้านหน้าของ โรลล์ส-รอยศ์ ทุกรุ่นตลอดกาล อีกทั้งยังสามารถซ่อนลงไปในฝากระโปรงได้ เพื่อกันมิให้มือดีขโมยไป ส่วนมากรูปปั้นหน้ารถจะทำมาจากเหล็กทั้งอัน อาจมีบ้างที่ทำจากเงิน หรือทองคำ สำหรับลูกค้าเงินถุงเงินถังสตางค์มากมาย
สไตล์ที่น่าหลงใหล
รายละเอียดภายใน โรลล์ส-รอยศ์ โกสต์ สามารถสร้างบรรยากาศหรูหราได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นคอนโซลที่ประดับด้วยไม้ นาฬิกาเข็มจับเวลาการวิ่งเลียบเขา ช่องเก็บร่มภายในประตู และจิตวิญญาณความหรูหราที่สามารถซ่อนลงไปในฝากระโปรง
เรื่องโดย : LAURA CONFALONIERI
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2557
คอลัมน์ Online : พิเศษ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/32921