ทั่วไป
เยอรมนี-ยอดผู้ผลิตรถหรูของเมืองเบียร์เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ เปิดตัวรถไฟฟ้าแบบแรกของค่าย สามารถวิ่งได้เร็ว 150 กม./ชม.และวิ่งได้ไกล 160 กม. จะออกโชว์รูมในเมืองเบียร์เดือนพฤศจิกายนนี้ โดยติดป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู ไอ 3 (BMW I3) และติดป้ายค่าตัว 34,950 ยูโร หรือประมาณ 1.43 ล้านบาท
บีเอมดับเบิลยู เปิดตัวรถไฟฟ้า
เติมไฟเต็มวิ่งได้ไกล 160 กม.
เดือนพฤศจิกายนเริ่มออกขาย
เยอรมนี-ยอดผู้ผลิตรถหรูของเมืองเบียร์เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ เปิดตัวรถไฟฟ้าแบบแรกของค่าย สามารถวิ่งได้เร็ว 150 กม./ชม.และวิ่งได้ไกล 160 กม. จะออกโชว์รูมในเมืองเบียร์เดือนพฤศจิกายนนี้ โดยติดป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู ไอ 3 (BMW I3) และติดป้ายค่าตัว 34,950 ยูโร หรือประมาณ 1.43 ล้านบาท
หลังจากนำรถแนวคิดติดป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู ไอ 3 (BMW I3) ออกอวดตัวตามงานแสดงรถยนต์ระดับ "อินเตอร์" มาแล้วหลายงาน เมื่อวันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม ที่เพิ่งผ่านมานี่เอง ยอดผู้ผลิตรถหรูของเมืองเบียร์ก็ทำให้การรอคอยของผู้อยากเป็นเจ้าของรถระดับ "พรีเมียม" ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ สิ้นสุดลง โดยการนำตัวจริงเสียงจริงของรถไฟฟ้าติดป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู ไอ 3 (BMW I3) ออกอวดตัวต่อสายตาสื่อมวลชนเป็นครั้งแรกพร้อมๆ กันใน 3 เมืองสำคัญของโลก คือ ที่นครนิวยอร์คของสหรัฐอเมริกา ที่กรุงลอนดอนของอังกฤษ และที่กรุงปักกิ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีน
บีเอมดับเบิลยู ไอ 3 รถไฟฟ้าแบบแรกในประวัติศาสตร์ของค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" และเป็นรถระดับ "พรีเมียม" แบบแรกของโลกที่ออกแบบตั้งแต่ต้นให้เป็นรถขับด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ อยู่ในตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบค ยาว 3.999 ม. กว้าง 1.775 ม. และสูง 1.578 ม. ที่มีน้ำหนักตัว 1,195-1,315 ม. และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.29-0.30 ม. เป็นตัวถังน้ำหนักเบาแต่แข็งแรง ที่โครงสร้างห้องโดยสารทำจากพลาสติคเสริมความแข็งแรงด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า CARBON-FIBRE-REINFORCED PLASTIC หรือ CFRP และมีบานประตูข้างที่เปิดแยกจากกันโดยไม่มีเสาค้ำยันกลาง ดังที่เห็นในภาพ
เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยพลังของมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 125 กิโลวัตต์/170 แรงม้า ที่มีน้ำหนักตัวเพียง 50 กก. และถ่ายทอดกำลังสู่ล้อผ่านระบบเกียร์จังหวะเดียว ส่วนแบทเตอรีที่ติดตั้งอยู่ใต้พื้นรถ เป็นแบทเตอรี ลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขนาด 360 โวลท์ 22 กิโลวัตต์ชั่วโมง ของ SAMSUNG แห่งเกาหลีใต้ ที่รับประกันการใช้งาน 6 ปี หรือ 160,000 กม. และสามารถประจุไฟด้วยไฟบ้านโดยใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง ประจุไฟเต็มหม้อแต่ละครั้งรถจะวิ่งได้ประมาณ 130-160 กม. ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร และโหมดการขับขี่ซึ่งมีให้เลือกรวม 3 แบบ คือ COMFORT-ECO PRO-ECO PRO PLUS ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 150 กม./ชม. ด้วยเหตุผลด้านประสิทธิภาพพลังงาน ถ้าวิ่งเร็วกว่านี้จะเปลืองไฟจนเกินไป
เห็นตัวเลขแล้วยังรู้สึกว่าไม่โดนใจเพราะวิ่งได้ไม่ไกล ก็มีทางเลือก นั่นคือการติดตั้งอุปกรณ์พิเศษซึ่งเรียกกันในภาษาอังกฤษว่า RANGE EXTENDER หรือ "ตัวยืดระยะทาง" เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 2 สูบเรียง 647 ซีซี 25 กิโลวัตต์/34 แรงม้า ที่ได้มาจากรถสกูเตอร์ BMW C650 พร้อมถังเชื้อเพลิงขนาด 9 ลิตร ทำหน้าที่เป็นเจเนอเรเตอร์ปั่นไฟเข้าแบทเตอรี และช่วยยืดพิสัยการเดินทางเป็นประมาณ 300 กม.
เดือนพฤศจิกายนนี้จะเริ่มออกโชว์ในเมืองเบียร์และอีกหลายประเทศในยุโรป พร้อมกับป้ายค่าตัว 34,950 ยูโร หรือประมาณ 1.43 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 39,450 ยูโร หรือประมาณ 1.62 ล้านบาท เมื่อติดตั้ง "ตัวยืดระยะทาง" ด้วย ส่วนในภูมิภาคอื่นๆ คือ สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศ ต้องรอช่วงครึ่งแรกของปีหน้า
เมร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาสส์
โมเดลพิเศษเอาใจผู้ใช้รถประหยัด
รวมทั้งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เยอรมนี-เจ้าของเครื่องหมายการค้า "ดาวสามแฉก" เพิ่มทางเลือกใหม่ให้แก่ผู้อยากเป็นเจ้าของรถระดับหรู ที่ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยรถหรู เมร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ E-CLASS) โมเดลพิเศษรวม 2 โมเดล ซึ่งจะออกโชว์รูมในเมืองเบียร์ก่อนสิ้นปีงูเล็ก
เมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ยอดผู้ผลิตรถหรูเจ้าของเครื่องหมายการค้า "ดาวสามแฉก" ได้ออกข่าวเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ ว่ากำลังจะนำรถโมเดลพิเศษติดป้ายชื่อ เมร์เซเดส-เบนซ์ อี 200 เนเชอรัล แกส ดไรฟ (MERCEDES-BENZ E 200 NATURAL GAS DRIVE) และ เมร์เซเดส-เบนซ์ อี 220 บลูเทค บลูเอฟฟิเชียนซี เอดิชัน (MERCEDES-BENZ E 220 BLUETEC BLUEEFFICIENCY EDITION) ออกสู่ตลาดในเมืองเบียร์ เพื่อสนองประสงค์ของลูกค้ารถหรูติดตรา "ดาวสามแฉก" ที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับความประหยัดและสิ่งแวดล้อม
โมเดลแรก คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ อี 200 เนเชอรัล แกส ดไรฟ เป็นรถที่ใช้เชื้อเพลิงได้ 2 แบบ คือ ใช้น้ำมันเบนซินก็ได้ ใช้แกสธรรมชาติก็ได้ รถโมเดลนี้ติดตั้งเครื่องเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,991 ซีซี 115 กิโลวัตต์/156 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ 7G-TRONIC PLUS สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 10.4 วินาที และความเร็วสูงสุด 220 กม./ชม. มีถังบรรจุแกส 3 ถัง รวมความจุ 121.5 ลิตร (19.5 กก.) ถังหนึ่งติดตั้งอยู่ด้านหลังของพนักพิงเบาะหลัง ส่วนอีก 2 ถัง อยู่ใต้พื้นห้องเก็บของ เมื่อวิ่งด้วยแกสเพียงอย่างเดียว จะมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 116 กรัม/กม. และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 116 กรัม/กม. แต่เมื่อแกสหมดถังและรถเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงเบนซินโดยอัตโนมัติ จะมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 6.3 ลิตร/100 กม. หรือ 15.9 กม./ลิตร และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 147 กรัม/กม.
รถแกส/เบนซินโมเดลนี้ จะเริ่มออกโชว์รูมในเมืองเบียร์เดือนสุดท้ายของปีงูใหญ่ พร้อมกับป้ายค่าตัว 47,808 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 1.96 ล้านบาท ค่าย "ดาวสามแฉก" บอกว่า การใช้แกสธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง นอกจากช่วยลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์จากปลายท่อไอเสียได้ร้อยละ 20 แล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงได้มากกว่าร้อยละ 50 อีกต่างหาก โดยระบุว่าเมื่อใช้ราคาในเยอรมนีเป็นเกณฑ์วัด การใช้รถปีละ 20,000 กม. จะประหยัดค่าเชื้อเพลิงได้ถึง 1,000 ยูโร นั่นเทียว
ส่วนโมเดลหลัง คือ รถชื่อยาว เมร์เซเดส-เบนซ์ อี 220 บลูเทค บลูเอฟฟิเชียนซี เอดิชัน เป็นรถดีเซลสะอาดซึ่งติดตั้งเครื่องเทอร์โบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 2,143 ซีซี 125 กิโลวัตต์/170 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ &G-TRONIC PLUS สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 8.4 วินาที และความเร็วสูงสุด 227 กม./ชม. แต่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่เยี่ยมยอดมาก คือ แค่ 4.4 ลิตร/100 กม. หรือ 22.7 กม./ลิตร และมีอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 114 กรัม/กม. ซึ่งนับว่าต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับรถขนาดเดียวกันทุกรุ่นทุกแบบที่มีจำหน่ายอยู่ในขณะนี้
รถโมเดลหลังนี้มีกำหนดออกโชว์รูมในเดือนกันยายน 2013 โดยติดป้ายค่าตัว 47,273 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 1.94 ล้านบาท เป็นราคาที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มของเมืองเบียร์ซึ่งสูงถึงร้อยละ 19 ไว้เรียบร้อยแล้ว
ฮอนดา ซีวิค ตรวจการณ์ เผยโฉม
ออกแบบและผลิตโดยทีมงานในยุโรป
มีทั้งเครื่องเบนซินและเครื่องดีเซล
อังกฤษ/ญี่ปุ่น-ยักษ์รองเมืองยุ่นเปิดเผยโฉมหน้าและรายละเอียดบางส่วนของรถตรวจการณ์ขนาดเล็กกะทัดรัดติดป้ายชื่อ ฮอนดา ซีวิค ทัวเรอร์ (HONDA CIVIC TOURER) ซึ่งจะเริ่มจำหน่ายในตลาดยุโรปตอนต้นปีหน้า โดยมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้รวม 2 ขนาด มีทั้งเครื่องเบนซินและเครื่องดีเซล และประกาศว่า จะนำตัวจริงเสียงจริงของรถแบบใหม่นี้ออกอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรก ที่งานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทในเยอรมนี ซึ่งกำหนดมีขึ้นตอนกลางเดือนกันยายนของปีงูเล็ก
ฮอนดา ซีวิค ทัวเรอร์ (HONDA CIVIC TOURER) ที่เพิ่งเปิดเผยตัวผ่านสื่อต่างๆ เมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาดังที่กล่าวข้างต้น เป็นรถที่ออกแบบและพัฒนาโดยทีมงานของฮอนดาในทวีปยุโรป และจะใช้โรงงานซึ่งตั้งอยู่ในเกาะอังกฤษเป็นที่ผลิต ตัวถังทรงสองกล่องซึ่งยาว 4.520 ม. กว้าง 1.770 ม. และสูง 1.440 ม. ไม่ได้ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดหาง แต่พัฒนาจากตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบค ยาว 4.285 ม. กว้าง 1.770 ม. และสูง 1.440 ม. ของรถ ฮอนดา ซีวิค (HONDA CIVIC) รุ่นที่ 9 ซึ่งมีการผลิตทั้งในอังกฤษและในตุรกี และเพิ่งเริ่มจำหน่ายในตลาดยุโรปเมื่อปลายปี 2011 รูปทรงองค์เอวของตัวถังโดยรวม วิจารณ์กันในยุโรปนับว่าทำได้ดี และมีจุดดึงดูดสายตาอยู่หลายจุด รวมทั้งเส้นตัวถังใต้ขอบหน้าต่างที่พาดยาวตั้งแต่เสาคู่หน้าจนจรดท้ายรถ ส่วนภายในห้องโดยสารที่ออกแบบให้นั่งได้รวม 5 คน มีจุดเด่นซึ่งน่าจะเป็นจุดขายสำคัญ คือ ห้องเก็บของท้ายรถที่จุถึง 624 ลิตร (วัดจากพื้นจนถึงระดับหน้าต่าง) และจะขยายเป็น 1,668 ลิตร เมื่อพับราบเบาะหลังซึ่งแยกเป็น 2 ส่วนในอัตรา 60:40 (วัดจากพื้นจนถึงระดับหลังคา)
จะเริ่มออกโชว์รูมในหลายประเทศของยุโรปตอนต้นปี 2014 โดยมีเครื่องยนต์ให้เลือกเพียง 2 ขนาด คือเครื่องเบนซิน 4 สูบเรียง ความจุ 1.8 ลิตร กับเครื่องเทอร์โบดีเซล 4 สูบเรียง ความจุ 1.6 ลิตร ที่ยักษ์รองของเมืองยุ่นบอกว่า ออกแบบ/พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับตลาดยุโรป ด้วยเทคโนโลยีที่ตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า EARTH DREAMS TECHNOLOGY ส่วนระบบเกียร์เพื่อถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้า ก็จะมีให้เลือกใช้ทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ
รถ ฮอนดา ซีวิค ซึ่งปัจจุบันมีขายอยู่ทั่วโลกแต่ไม่มีจำหน่ายในญี่ปุ่น มีรูปลักษณ์และประเภทตัวถังที่แตกต่างกันไปในแต่ละตลาด ในทวีปยุโรปซึ่งนิยมใช้รถแฮทช์แบคและเครื่องยนต์ดีเซล มีตัวถังให้เลือกใช้ 2 แบบ คือ ตัวถังแฮทช์แบคและตัวถังตรวจการณ์ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น ในทวีปอเมริกาเหนือซึ่งมีสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดหลัก ฮอนดา ซีวิค ก็มีตัวถังให้เลือกใช้ 2 แบบ แต่เป็นตัวถังคูเปกับตัวถังซีดาน (เวอร์ชันเดียวกับรถที่จำหน่ายในเมืองไทย) ในสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งเป็นตลาดสำคัญอีกตลาดหนึ่งของรถแบบนี้ มีตัวถังแบบเดียว คือ ตัวถังซีดาน ในออสเตรเลียซึ่งขับรถพวงมาลัยขวาเหมือนประเทศไทย มีตัวถัง 2 แบบเช่นเดียวกัน แต่เป็นตัวถังแฮทช์แบคกับตัวถังซีดาน ส่วนในบราซิลซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของทวีปอเมริกาใต้ ก็มีตัวถังเพียงแบบเดียวเหมือนบ้านเรา คือ ตัวถังซีดาน
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา/บริษัทผู้ผลิต formula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2556
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/32483