เมืองไทยติดอันดับโลกอีกแล้วครับ คราวนี้เข้าป้ายเป็นอันดับ 3 ของประเทศที่มีอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงสุด

เมืองไทยติดอันดับโลกอีกแล้วครับ คราวนี้เข้าป้ายเป็นอันดับ 3 ของประเทศที่มีอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงสุด สถิติอันน่าภาคภูมิของเรา คือ เสียชีวิต 38.1 คน/ประชากร 1 แสนคน ขณะที่อันดับ 2 ได้แก่ สาธารณรัฐโดมินิกัน อัตรา 41.7 คน/1 แสนคน ส่วนแชมพ์เป็นของประเทศเกาะนีอูเอ 68.3 คน/1 แสนคน เห็นตัวเลขแล้วค่อนข้างมั่นใจได้เลยว่า ภายใน 1-2 ปี เราจะไต่ขึ้นไปเป็นรองอันดับ 1 ด้านนี้ และอีกไม่นาน ถ้าผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องยังได้แต่เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และรณรงค์ไปวันๆ เราจะครองแชมพ์โลกประเทศที่มีคนตายคาถนนมากที่สุด หวังว่าคุณและผมจะอยู่ถึงวันฉลองแชมพ์ โดยไม่กลายเป็น "เหยื่อ" พวกเมาแล้วขับ หรือวิ่งสวนเลน ที่กำลังระบาดไปเสียก่อน ที่กล้าฝันถึงตำแหน่งแชมพ์โลก เพราะไม่เชื่อว่าการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และรณรงค์ทุกรูปแบบจะช่วยลดสถิติการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน และการตายอย่างมากมายลงได้ ทุกวันนี้มีเรื่องอะไรที่คนใช้รถใช้ถนนยังไม่รู้อีกหรือครับ ? เราทุกคนต่างทราบดีครับว่า ขับเร็ว ขับผิดกฎ แซงที่คับขัน พูดโทรศัพท์ขณะขับ เมาแล้วขับ ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ไม่สวมหมวกกันนอค ข้ามถนนใต้สะพานข้าม (และบนทางม้าลาย) ฯลฯ เป็นที่มาของอุบัติเหตุ และความตาย แต่เราก็ยังทำอย่างสนุกสนาน และตายอย่างสม่ำเสมอกันต่อไป ฉะนั้น ผมขอบอกเลย ไม่จำเป็นต้องเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เรื่องเหล่านี้อีกแล้ว ในเมื่อคนที่ละเมิดกฎแห่งความตาย ไม่ได้ทำเพราะไม่รู้ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ทำเพราะไม่มีใครเอาผิด ถึงมีก็สามารถหลบเลี่ยงได้ หรือแม้ไม่อาจหลบเลี่ยง โทษที่รับก็เบาสบาย จนไม่น่าเกรงกลัวสักนิด สิ่งที่ต้องทำ หากไม่อยากได้รับเกียรติเป็นแชมพ์โลกด้านนี้ คือ เพิ่มบทลงโทษผู้กระทำผิดกฎจราจรให้รุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่คนขับรถกับคนเดินเท้าเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผู้รักษากฎหมายที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาด้วย โดยเฉพาะความผิดที่จะนำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรง เช่น ขับ "ซิ่ง" หรือเมาแล้วขับ ต้องเอาให้หนักครับ ดูสิว่า ถ้าทำผิดแล้วโดนปรับหมดเนื้อหมดตัว หรือถึงกับติดคุกติดตะราง จะยังมีใครกล้าลองของอีกไหม ถ้ารัฐบาลเห็นด้วยกับผม และไม่ต้องการตำแหน่งแชมพ์โลกที่คนรังเกียจ รบกวนรีบขยับด้วย เรื่อง พรบ. พรก. หรือ รธน. ล้วนรอได้ครับ เพราะคนที่รอเขาไม่มีโอกาสขับรถในบ้านเรา แต่เรื่องนี้ ถ้าช้า ตัวท่าน หรือคนที่ท่านรักอาจเป็น 1 ใน 38.1 คนเมื่อไรก็ได้