พิเศษ
ประเทศไทยถือเป็นฐานการประกอบรถที่สำคัญของ มิตซูบิชิ เพื่อส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลก และล่าสุดได้ทุ่มเม็ดเงินเพิ่มถึง 1 พันล้านบาท สร้างโรงงานแห่งที่ 3 เพื่อขยายกำลังการผลิต สำหรับตลาดในประเทศ มิตซูบิชิ ก็เติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง "ฟอร์มูลา" สัมภาษณ์พิเศษ โนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด
ประเทศไทยถือเป็นฐานการประกอบรถที่สำคัญของ มิตซูบิชิ เพื่อส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลก และล่าสุดได้ทุ่มเม็ดเงินเพิ่มถึง 1 พันล้านบาท สร้างโรงงานแห่งที่ 3 เพื่อขยายกำลังการผลิต สำหรับตลาดในประเทศ มิตซูบิชิ ก็เติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง "ฟอร์มูลา" สัมภาษณ์พิเศษ โนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด
ฟอร์มูลา : คุณมองว่าสถานการณ์รถยนต์โดยรวมปีนี้ จะเป็นอย่างไร ?
มูราฮาชิ : ตลาดรถยนต์โดยรวมปีนี้ ถือเป็นปีต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ที่รัฐบาลได้ประกาศนโยบายรถยนต์คันแรก และในปีก่อนหน้า ก็มีเรื่องของอุทกภัย ทำให้ตลาดรถยนต์โดยรวมปีที่แล้วเติบโตสูงมากเป็นประวัติการณ์ถึงกว่า 1.4 ล้านคัน ถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างมาก
สำหรับปีนี้ ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคม สถานการณ์ของตลาดรถยนต์ไม่ค่อยดีนัก ทุกบริษัทจะเน้นการเร่งผลิตเพื่อส่งมอบรถที่ค้างจองมาจากปีที่แล้ว แต่ตั้งแต่เดือนเมษายนในบางบแรนด์ก็สามารถเร่งการผลิตจนไม่มียอดค้าง ทำให้ตลาดหดตัวลง หากดูจากปริมาณรวมของรถยนต์ในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม จะมีปริมาณเพียง 1 แสนคันเท่านั้น ถือว่าลดลงหากเปรียบเทียบกับช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคมของปีนี้ และตุลาคมถึงธันวาคมปีที่แล้ว แต่ถ้าเปรียบเทียบกับในอดีต 1 แสนคัน/เดือน ถือว่าเป็นยอดที่สูง
ส่วนของ มิตซูบิชิ ในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม ยอดขายจะอยู่ที่ประมาณกว่า 35,000 คัน ส่วนช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม มียอดขายขายอยู่ประมาณ 50,000 คัน ซึ่งเฉลี่ยเดือนละประมาณ 7,000 กว่าคัน ถือว่าลดลงประมาณ 30 %
ฟอร์มูลา : หลังจากนี้คุณวางแผนงานและทิศทางการดำเนินงานไว้อย่างไร ?
มูราฮาชิ : ยอดขายของเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม เฉลี่ยเดือนละ 7,000 กว่าคัน ถ้าเทียบกับช่วง 3 เดือนแรกของปีถือว่าลดลง แต่หากเทียบกับระยะ 2 ปีก่อนหน้า เป็นตัวเลขที่ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี
แต่หลังจากที่บริษัท ฯ ได้แนะนำรถยนต์ มิตซูบิชิ แอททราจ อีโคคาร์ ซีดาน ที่มาพร้อมรูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่น มีฟังค์ชันการใช้งานที่หลากหลาย เช่น กล้องมองหลัง ระบบนำทาง ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย จอภาพแบบสัมผัส ระบบควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย รวมถึงระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS และระบบความปลอดภัยครบครัน ซึ่งมั่นใจว่าจะช่วยเพิ่มยอดขายของบริษัท ฯ ให้เติบโตมากยิ่งขึ้น โดยคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณเกือบ 90,000 คัน/เดือน
สำหรับการผลักดันยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากบริษัท ฯ แนะนำรถยนต์ มิตซูบิชิ มิราจ และ แอททราจ ออกสู่ตลาด ซึ่งถือว่าเป็นสินค้าที่บริษัท ฯ ไม่เคยมีจำหน่ายในตลาด เพราะฉะนั้นจะเน้นการประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าได้รู้จักกับสินค้า โดยเน้นการทำตลาดตามสภาพ โดยครึ่งปีหลังหากมีผู้สนใจมากขึ้น บริษัท ฯ ก็จะต้องเน้นกลยุทธ์สร้างความดึงดูดใจในสินค้ารุ่นนี้มากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสภาพตลาดนั้นๆ
สำหรับ มิตซูบิชิ แอททราจ ช่วงเปิดตัวบริษัท ฯ จัดข้อเสนอพิเศษสุด สำหรับลูกค้าที่จอง เพียง 9,000 คันแรก สำหรับราคาในช่วงแนะนำ รับโบนัสพิเศษได้เงินคืน 10,000 บาท พร้อมฟรีประกันภัยชั้น 1 และข้อเสนอพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย
ส่วนรถพิคอัพนั้น จะพยายามให้ผู้ใช้รถรู้จักคุณสมบัติของ ทไรทัน มากขึ้น โดยจุดเด่น คือ เครื่องยนต์ วีจีเทอร์โบ 2.5 ลิตร 178 แรงม้า ซึ่งไม่เหมือนกับรถยี่ห้ออื่น ซึ่งบริษัท ฯ จะเน้นจุดแข็งที่มีอยู่
ฟอร์มูลา : ปีนี้ตั้งเป้ายอดขายไว้เท่าไร ?
มูราฮาชิ : จากสภาพตลาดรวมคาดว่าปีนี้น่าจะอยู่ที่ 1.2-1.3 ล้านคัน โดยตั้งเป้าที่จะมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 10 % หรือประมาณ 1.2 -1.3 แสนคัน ซึ่งน้อยกว่าปีที่แล้วที่มียอดขายรวมประมาณ 1.44 แสนคัน หากมองในภาพรวมของตลาดไม่ได้กระทบหรือแตกต่างกันมากนัก
ฟอร์มูลา : กลยุทธ์ที่จะใช้ในการแข่งขัน ?
มูราฮาชิ : สำหรับปีนี้รถยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก จะเป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็ก โดยเฉพาะอีโคคาร์ ที่ปัจจุบันมีการแข่งขันค่อนข้างสูง อีกทั้งทุกค่ายเริ่มเข้ามาในตลาดกันมากยิ่งขึ้น จะทำให้การแข่งขันหนักขึ้น แต่ว่าความสนใจของผู้ซื้อก็มีมากขึ้น ทำให้คิดว่าการที่รัฐบาลสนับสนุนการผลิตอีโคคาร์ เป็นสิ่งที่ดีในการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ให้เติบโต
สำหรับคู่แข่งที่มีรถยนต์ในกลุ่ม บีเซกเมนท์ ที่ได้รับความนิยมนั้นก็จะจำหน่ายรถรุ่นนี้มากอยู่แล้ว แต่สำหรับ มิตซูบิชิ ไม่มีรถในกลุ่มบีเซกเมนท์ ซึ่งแตกต่างจากค่ายอื่น ดังนั้นจึงทุ่มเทกับอีโคคาร์อย่างมาก ส่วนการที่มีอีโคคาร์เพิ่มขึ้นในตลาดนั้น มองว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะผู้บริโภคจะมีทางเลือกเพิ่มขึ้น
ฟอร์มูลา : คุณต้องปรับกลยุทธ์สำหรับศึกครั้งนี้หรือไม่ ?
มูราฮาชิ : ถ้ามองในเรื่องของสินค้าแล้ว ไม่ใช่เฉพาะอีโคคาร์เพียงอย่างเดียว สินค้าทุกกลุ่มจะมีรูปแบบเหมือนกันคือ เมื่อมีสินค้ารุ่นใหม่ออกมา หรือแม้แต่มีคู่แข่งรายใหม่เข้ามาในตลาด ก็จะทำให้มีการแข่งขันเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งแต่ละสินค้าก็จะต้องปรับกลยุทธ์สู้ศึก ไม่ว่าจะเป็นการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย การจัดพโรโมชัน หรือการลด แลก แจก แถม แต่สำหรับช่วงนี้ มิตซูบิชิ มีการแนะนำสินค้าใหม่ ซึ่งได้มีการจัดแคมเปญส่งเสริมการขายด้วยเช่นกัน
สำหรับรถรถเก่าที่จะมีการจัดแคมเปญนั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าคู่แข่งทำอย่างไร และบริษัท ฯ จะต้องทำอย่างไร เพื่อที่จะแข่งขันได้
อย่างไรก็ตามมองว่าตลาดในปัจจุบัน อยู่ในช่วงของการอิ่มตัวแค่ระยะหนึ่ง ประมาณ 3-6 เดือนเท่านั้น และหลังจากนั้นตลาดก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ซึ่ง มิตซูบิชิ คาดว่าตลาดจะกลับมาเป็นแบบเดิมได้ภายใน 3 เดือน
ฟอร์มูลา : คุณมีแผนจะขยายรถเซกเมนท์ใหม่ เพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ ?
มูราฮาชิ : ภาพรวมของตลาดรถยนต์ในประเทศไทย ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยตลาดรวมจะเป็นรถพิคอัพ 50 % และรถเก๋งอีก 50 % เพราะฉะนั้นรถในเซกเมนท์อื่นๆ เช่น เอมพีวี ก็ถือว่าเป็นตลาดไม่ใหญ่มากนัก ทำให้บริษัท ฯ ยังไม่มองที่จะขยายไปในเซกเมนท์อื่น แต่สำหรับการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่นั้น บริษัท ฯ มองที่ค่าเงินบาทที่แข็งตัวมากขึ้น จึงอาจจะนำเข้ารถรุ่นใหม่จากญี่ปุ่นเข้ามาทำตลาด แต่เป็นเพียงแผนงานเท่านั้นขอเวลาศึกษาตลาดอีกระยะหนึ่ง เมื่อมีความพร้อมจะนำเข้ามาจำหน่าย เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้ามากขึ้น เพราะ มิตซูบิชิ มีสินค้ามากมายหลายชนิด จึงต้องศึกษาที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของคนไทย
ฟอร์มูลา : พฤติกรรมของผู้บริโภคคนไทย มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่อย่างไร ?
มูราฮาชิ : ผมมองว่าเปลี่ยนไปมากในเรื่องของพฤติกรรมการใช้รถ แต่หากเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ แล้วยังคงเน้นการใช้รถพิคอัพ เนื่องจากสามารถใช้งานได้อเนกประสงค์
ส่วนรถเก๋ง หรืออีโคคาร์ ก็มีผู้นิยมใช้มากขึ้น เนื่องจากเป็นรถที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ทำให้ผู้มีรายได้สามารถเลือกเป็นเจ้าของได้ รวมถึงผู้บริโภคมีรายได้มากขึ้น และยังมีราคาถูกกว่ารถพิคอัพ
สำหรับกระแสข่าวการคืนใบจองสำหรับโครงการรถคันแรกนั้น ในส่วนของบริษัท ฯ มีบ้างเล็กน้อย เนื่องจากยังไม่มีความพร้อม
ฟอร์มูลา : อะไรคือจุดแข็งของ มิตซูบิชิ และยังมีจุดอ่อนที่ต้องแก้ไขอีกหรือไม่ ?
มูราฮาชิ : ปัจจุบันนี้ สินค้าของ มิตซูบิชิ ถือว่ามีความแตกต่างจากคู่แข่ง เช่น รถพิคอัพ ทไรทัน ที่มีเครื่องยนต์ดีเซล ตั้งแต่ 126-178 แรงม้า ซึ่งถือว่ามีให้เลือกหลากหลาย รวมถึงยังมีรถพลังงานทางเลือก ซีเอนจี ส่วนรถยนต์นั่ง ก็มีให้เลือกหลากหลายรุ่นตั้งแต่ อีโคคาร์ แลนเซอร์ อีเอกซ์ ที่สามารถใช้น้ำมันอี 85 ทั้งนี้บริษัท ฯ มีแนวทางที่ต้องการเสนอสินค้าที่สอดคล้องใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม รวมถึงยังมีรถไฟฟ้า ที่ถึงแม้ว่ายังไม่ได้นำเข้ามาจำหน่าย แต่ก็ได้นำเข้ามาศึกษาตลาด
นอกจากนี้ในเรื่องของเครือข่ายผู้แทนจำหน่าย ได้ขยายเพิ่มเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีโชว์รูมและศูนย์บริการเกือบ 200 แห่งทั่วประเทศ ที่สามารถให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับในอดีต
ฟอร์มูลา : โชว์รูมและศูนย์บริการมีเพียงพอหรือไม่ ?
มูราฮาชิ : ปัจจุบันนี้คิดว่าเพียงพอกับความต้องการแล้ว โดยบริษัท ฯ จะเน้นที่การนำเสนอสินค้าและบริการที่ดีที่สุด นั่นคือนำความสุขมอบให้แก่ลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ มิตซูบิชิ หรือแม้แต่คนที่เดินเข้ามาติดต่อที่โชว์รูม ก็ต้องมีความสุข หรือลูกค้านำรถเข้ามาใช้บริการหลังการขายก็ต้องมีความสุข นี่ถือเป็นปรัชญาที่สำคัญที่บริษัท ฯ จะมุ่งมั่นทำให้เกิดขึ้นแก่ลูกค้าทุกคน
ฟอร์มูลา : คุณมีความคิดเห็นอย่างไร เกี่ยวกับระบบภาษีรถยนต์แบบใหม่ ?
มูราฮาชิ : ผมเห็นด้วยกับการจัดเก็บภาษีใหม่ ที่จะประกาศใช้ในวันที่ 1 มค. 2559 เนื่องจากแนวทางการผลิตรถยนต์ในประเทศต่างๆ นั้น จะเน้นไปที่ CO2 ให้น้อยที่สุด โดยการคิดภาษีตามอัตราการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) นั้นถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะจะช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์นำเข้ารถมาจำหน่ายในเมืองไทยง่ายขึ้น และในแง่ของการผลิตจะทำให้ผู้ผลิตสามารถที่จะผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปจำหน่ายได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับ มิตซูบิชิ มีความพร้อมเรื่องของเทคโนโลยีใหม่ ที่จะนำมาผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการ และแนวทางเพื่อให้ตรงกับกฎเกณฑ์ใหม่ๆ อย่างแน่นอน เพราะบริษัท ฯ ได้มีแผนกวิจัยและพัฒนาสินค้าเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละประเทศ
ฟอร์มูลา : จะมีการลงทุนด้านต่างๆ เพิ่มอีกหรือไม่ ?
มูราฮาชิ : ที่ผ่านมาบริษัท ฯ ได้ลงทุนเพิ่ม 1 พันล้านบาท สำหรับการสร้างโรงงานแห่งที่ 3 ซึ่งทำให้ปัจจุบันมีกำลังการผลิตถึง 510,000 คัน โดยมองว่าตลาดไทยเติบโตอย่างมาก แต่สำหรับการขยายตลาดหรือการลงทุนเพิ่มขึ้นอีกนั้น ต้องดูอีกสักระยะหนึ่งก่อน
แผนงาน 3-5 ปี บริษัท ฯ ได้ลงทุนขยายแผนกวิจัยและพัฒนาประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถพิคอัพ รวมถึงอีโคคาร์ จำเป็นต้องมีหน่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยที่ผ่านมา มิตซูบิชิ ได้เสริมความแข็งแกร่งโดยได้ตั้งหน่วยวิจัยและพัฒนา หรืออาร์แอนด์ดี ในประเทศไทย ทั้งนี้เพื่อมุ่งพัฒนาคุณภาพรถยนต์ที่ผลิตในไทย ให้ตอบสนองความต้องการของชาวไทย การพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ และแนวโน้มเทคโนโลยีใหม่
ฟอร์มูลา : ปัจจุบันอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทย เปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง เมื่อเปรียบเทียบกับในอดีต ?
มูราฮาชิ : นอกเหนือจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศไทยที่มีเพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังมีบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนที่เพิ่มขึ้น จนสามารถผลิตรถโดยใช้ชิ้นส่วนในประเทศได้มากขึ้น บางบริษัทสามารถใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศได้ 100 % ซึ่งรถในแต่ละรุ่นที่ผลิตในประเทศไทยของ มิตซูบิชิ ปัจจุบันใช้ชิ้นส่วนในประเทศถึง 90 %
ฟอร์มูลา : แผนงานเรื่องรถพลังไฟฟ้า มีความคืบหน้าหรือไม่ ?
มูราฮาชิ : บริษัท ฯ ได้นำรถไฟฟ้าเข้ามาศึกษาตลาดประเทศไทยระยะหนึ่ง แต่สำหรับการทำตลาดคงจะต้องดูสถานการณ์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งถ้าหากเป็นไปได้อยากให้รัฐบาลทบทวนเรื่องของภาษีนำเข้า และภาษีสรรพสามิตให้มีอัตราที่ต่ำลงกว่านี้ หรืออาจจะเป็นอัตราพิเศษเหมือนในต่างประเทศ ที่ไม่คิดภาษีนำเข้าสำหรับรถไฟฟ้าล้วน จะช่วยส่งเสริมให้มีการนำเข้ามาจำหน่ายมากขึ้น เพราะการลงทุนผลิตนั้น จะต้องใช้เงินลงทุนสูง อีกทั้งยังต้องมีปริมาณความต้องการรวมถึงต้องผลิตเพื่อการส่งออกด้วย
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ nussara@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กันยายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : พิเศษ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/32395