ทั่วไป
เช้าวันหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้เอง ซึ่งหมายถึงสภาพของประเทศไทยในยุคนี้ ผมยืนอยู่ข้างถนน ซึ่งกว้างขนาด 4 ช่องจราจร ภายในตัวเมืองแห่งหนึ่ง บริเวณหน้าโรงเรียนระดับมัธยม ปริมาณของนักเรียนไม่น้อย เด็กมาโรงเรียนเองบ้าง พ่อแม่ผู้ปกครองมาส่งบ้าง ที่แน่ๆ คือ เด็กจำนวนหนึ่งต้อง เดินข้ามถนน เพื่อเข้าโรงเรียน
เช้าวันหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้เอง ซึ่งหมายถึงสภาพของประเทศไทยในยุคนี้ ผมยืนอยู่ข้างถนน ซึ่งกว้างขนาด 4 ช่องจราจร ภายในตัวเมืองแห่งหนึ่ง บริเวณหน้าโรงเรียนระดับมัธยม ปริมาณของนักเรียนไม่น้อย เด็กมาโรงเรียนเองบ้าง พ่อแม่ผู้ปกครองมาส่งบ้าง ที่แน่ๆ คือ เด็กจำนวนหนึ่งต้อง เดินข้ามถนน เพื่อเข้าโรงเรียน
ภาพที่เห็นชวนสลดหดหู่อย่างที่สุด เพราะเด็กเดินข้ามทางม้าลาย ต้องหาโอกาสหาจังหวะ เมื่อรถยนต์เว้นว่างจริงๆ จึงจะเดินหน้าไปได้ ต้องหยุด เมื่อมีรถยนต์แล่นผ่าน สภาพจึงกลายเป็นรถยนต์ทุกคัน ไม่ว่าหัวหงอกหัวดำหญิงหรือชาย ประชาชนหรือข้าราชการเป็นคนขับ พยายามยึดถนนเป็นของตนไว้โดยตลอด ไม่หยุดตรงทางม้าลาย ไม่สนใจเด็กนักเรียนที่กำลังยืนรอเพื่อข้ามถนน เด็กต้องเดินๆ หยุดๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้า หลบหลีกรถยนต์แต่ละคัน รถยนต์เฉียดหน้าเฉียดหลัง จนกว่าจะบรรลุถึงหน้าโรงเรียน อย่างยากลำบาก ไม่ว่าเด็กจะมาคนเดียว หรือเกาะกลุ่มก็ตาม
น่าประหลาด ไม่เห็นครูหรือเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนคอยดูแล ไม่เห็นตำรวจจราจรคอยให้ความช่วยเหลือ ผมไม่อยากเอ่ยชื่อจังหวัด และชื่อโรงเรียนเป็นการประจาน ในเมื่อประจานก็คงไม่เกิดประโยชน์สำหรับบ้านเรา เพราะ ด้าน กันไปหมดแทบทุกเรื่องก็ว่าได้
จึงไม่แปลกที่ชาวต่างชาติหรือฝรั่งมังค่านักท่องเที่ยว จึงเอาชีวิตที่เขารักและหวงแหน มาตายไกลบ้านไกลแผ่นดินเกิด ซึ่งไม่มีใครต้องการ ที่เมืองไทยอย่างน่าอนาถ รายแล้วรายเล่า ทั้งๆ ที่นักท่องเที่ยว คือ สิ่งที่เราปรารถนาเพราะนำมาซึ่งเงินทอง
ผู้ที่รับผิดชอบด้านการท่องเที่ยวก็ (ไม่) ดี สถานทูตของแต่ละประเทศก็ (ไม่) ดี มีส่วนบกพร่องเช่นกัน ไม่ชี้แจงนักท่องเที่ยว หรือคนของเขาให้รับรู้ว่า การข้ามถนนในประเทศไทย หากทำสำเร็จ แทบจะต้องมอบเหรียญกล้าหาญให้เช่นเดียวกับการผ่านศึกสงคราม ดังที่อดีตดาราตลกชื่อดัง บอบ โฮป เคยว่าไว้
ไม่เหมือนประเทศที่เจริญแล้ว แค่เราไปยืนข้างถนน ใกล้ทางม้าลายหรือทางข้าม รถยนต์ที่กำลังแล่นมาพากันหยุดให้ทันที ไม่ต้องมีสัญญาณไฟหรือตำรวจกำกับ บ่อยครั้งเราไม่ได้ตั้งใจจะข้ามถนน มัวดูนั่นดูนี่ เผอิญไปอยู่ข้างถนน คล้ายๆจะข้ามถนน ได้เรื่อง รถน้อยใหญ่หยุดรอทันที มองสีหน้าคนในรถไม่ได้มีอาการขัดอกขัดใจหรือหงุดหงิด ขณะที่ตัวเราก็ไม่ใช่พวกเขาไม่ใช่ฝรั่งมังค่า ในอันที่จะต้องเกรงใจ ผลสุดท้ายเราต้องเดินข้ามถนนแบบตกบันไดพลอยโจนก็มี
ด้วยขนบธรรมเนียมหรือมารยาทหรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งตรงกันข้ามกับไทยเราแบบฟ้ากับนรกฝรั่งหรือคนมีชื่อเสียง บุคคลที่มีคุณค่าต่อสังคมต่อโลก จึงเอาชีวิตมาทิ้งที่เมืองไทยอย่างน่าสลด ส่วนคนไทยก็ตายทุกวัน จำนวนไม่รู้เท่าไรด้วยเหตุที่ว่า
ไอ้อีที่ขับรถยนต์ มันไม่เคยเดินด้วยตีนข้ามถนนเลยชั่วชีวิตกระมัง ให้ตาย (ห่า) เถอะวะ
ก็มีคนที่เราชอบเรียกเขาแบบหลวมปากว่า ระดับล่าง ซึ่งต้องเดินข้ามถนนเป็นประจำ เคยสาปแช่งให้ได้ยินเหมือนกัน
ขอให้พวกนั่งชูคอในรถยนต์ ไม่ยอมหยุดรถชะลอรถให้คนข้ามถนน โดนรถชนตายโหง เมื่อมันเดินข้ามถนนด้วยเถิด
ตามมาด้วยคดีเพื่อคลายเครียดอย่างเคย
เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ นายมากมาก ลูกชายของ นายเหมาะเหมาะ เจียนตายเพราะนั่งรถจักรยานยนต์แล้วโดนรถกระบะเฉี่ยวท้าย นายมากมาก กระเด็นลงไปบนถนนเจ็บสาหัส เหตุเกิดตอนกลางคืน รถกระบะเผ่นหนีตามคนชื่อระเบียบ แต่งานนี้ นายเหมาะเหมาะ คนเป็นพ่อเก่งไม่หยอก เชคบิลล์ฝ่ายรถกระบะจนได้
ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องชมตำรวจที่ตามล่าหาความจริง รู้ว่ารถยนต์กระบะอยู่ในความครอบครองของ นายดีดี ครูโรงเรียนแห่งหนึ่ง เมื่อ นายมากมาก ยังเป็นผู้เยาว์ นายเหมาะเหมาะ ซึ่งเป็นพ่อเดินเรื่องเอง จ้างทนายยื่นฟ้อง นายดีดี กับ นางหรูหรู ภรรยาของ นายดีดี และ นายแจ่มแจ่ม ผู้มีชื่อเป็นเจ้าของในทะเบียนรถ เป็นจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 บังคับให้ร่วมกันชดใช้ค่ารักษาพยาบาล กับค่าโสหุ้ยต่างๆ เป็นเงินหลายแสนบาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยพากันสู้คดี เชื่อด้วยว่าจะชนะ เพราะฝ่ายโจทก์ไม่มีพยานอื่นใดมายันนอกเหนือจากนายมากมาก คนขี่มอเตอร์ไซค์ ให้การปัดไปว่า นายแจ่มแจ่ม ขายรถให้ นางหรูหรู ไปแล้ว แต่ยังไม่ได้โอนทางทะเบียน รถไม่ได้อยู่ในครอบครองของ นายดีดี กับ นางหรูหรู มีคนยืมไปใช้ นายมากมาก ต่างหากที่ประมาท รถใครเฉี่ยวชนก็ไม่รู้ พวกจำเลยจึงลอยลำไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง และขอให้เรียกบริษัทประกันที่รับประกันรถกระบะมาร่วมรับผิดด้วย
บริษัทประกันในฐานะจำเลยร่วมก็สู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ตัดสินให้ นายดีดี จ่ายค่าเสียหายเกือบเต็มตามฟ้อง รวมทั้งค่าเดินทางไปกลับจากบ้านถึงโรงพยาบาลขณะที่ นายมากมาก ลูกชายนอนรักษาตัว และให้บริษัทประกันรับผิดในวงเงิน 2 หมื่นบาทพร้อมดอกเบี้ย ยกฟ้อง นางหรูหรู เมียของ นายดีดี และนายแจ่มแจ่ม เจ้าของรถกระบะคนเดิม ที่โดนรังวัดไปด้วยทั้งๆ ที่ขายรถให้ นางหรูหรู ไปแล้ว
โดนหนักอยู่คนเดียว คือ นายดีดี เจ้าตัวจึงดิ้นรนด้วยการยื่นอุทธรณ์ เถียงทุกชอท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิจารณาจากสำนวน ไม่ต้องนั่งมองหน้าใครให้รำคาญ แล้วพิพากษาแก้ ให้ นายดีดี กับบริษัทประกันร่วมกันจ่ายค่าเสียหายเกือบเต็มตามฟ้อง พร้อมดอกเบี้ย
บริษัทประกันคงเห็นว่าค่าเสียหายอยู่ในวงเงินประกัน จึงยอมหยวนถ้าจะแพ้คดีในที่สุด ไม่เต้นไม่ทำอะไรอีก นั่งคอยฟังผล เพราะรู้ว่า นายดีดี ต้องดิ้นต่อไปอย่างแน่นอน ถ้า นายดีดี หลุด บริษัทประกันก็หลุดด้วยอยู่แล้ว
จริงดังว่า นายดีดี เดินหน้ายื่นฎีกาเถียงทุกประตูอย่างเคย เพื่อเอาตัวรอด
ศาลฎีกาบิดขี้เกียจจนไม่รู้จะบิดยังไง เมื่อคดีนี้มาถึงคิว กลั้นใจคว้าขึ้นมาพิจารณา แล้วชี้ขาดดังนี้
แม้โจทก์จะมีนายมากมากลูกชาย นายเหมาะเหมาะ คนเจ็บแค่ปากเดียวมายันว่า รถมอเตอร์ไซค์ของตนอยู่เลนซ้าย โดนท้ายรถกระบะเฉี่ยวด้านท้าย ขณะที่นายมากมากกำลังแซงรถคันหน้า แต่เจือสมกับร่องรอยที่เกิดกับรถทั้ง 2 คัน โดยเฉพาะท้ายรถกระบะมีร่องรอยทางด้านซ้ายจริงๆด้วย ศาลฎีกาจึงเชื่อว่ารถกระบะเป็นฝ่ายประมาทอย่างไม่สงสัย
ข้อที่ว่าใครขับรถกระบะ ศาลฎีกาฟังคำ นางหรูหรู เมียของ นายดีดี ให้การไว้ว่าพวกตนมีรถ 2 คัน นายดีดี ขับรถกระบะ ดิฉันใช้รถเก๋ง คำพูดของ นางหรูหรู จึงมัด นายดีดี ไปเปลาะหนึ่ง ส่วนข้ออ้างของจำเลยที่พากันบอกว่า นายตอง เป็นคนยืมรถไปใช้ แต่ไม่ยักเอาตัวมายืนยันที่ศาล ทั้งๆ ที่บอกว่าเป็นญาติแต่เพิ่งบอกชื่อนามสกุลจริงในภายหลัง พิรุธอย่างเห็นๆ ข้ออ้างของ นายดีดี ว่าวันนั้นพาลูกเสือเข้าค่าย แต่ไม่มีเอกสารหลักฐานจากโรงเรียนมายันศาลฎีกาจึงเชื่อว่า นายดีดี ขับรถกระบะในคืนเกิดเหตุอย่างแน่นอน
ข้อที่ นายดีดี เถียงอีกอย่างว่า นายเหมาะเหมาะ ฟ้องให้ตนรับผิดในฐานะจ้างวานใช้ตัวแทนขับรถ การที่ศาลล่างพากันตัดสินให้ตนรับผิดในฐานะคนขับโดยตรง จึงนอกฟ้องนอกประเด็น ศาลฎีกายันมาว่า โจทก์เขาฟ้องไปตามสภาพความจริง เพราะตอนเกิดเรื่องเขารู้มาอย่างนั้น พวกสูอ้างเหยงๆ ว่าคนอื่นขับรถ แต่ในคำฟ้องเขาเจาะจงให้สูรับผิดเต็มๆ อยู่แล้ว เมื่อพยานหลักฐานได้ความชัดว่า สูขับรถไปเกิดเหตุ ศาลตัดสินให้รับผิดได้สบายๆ
ข้อสุดท้าย นายดีดี เถียงเรื่องการตั้งตัวเป็นโจทก์ฟ้องเองของ นายเหมาะเหมาะ กับค่ารถไปกลับมาเฝ้าลูกที่โรงพยาบาลของ นายเหมาะเหมาะ ศาลฎีกาฟันลงมาว่า
นายเหมาะเหมาะ เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดู รวมถึงหน้าที่ในการดูแลรักษาพยาบาลบุตรซึ่งเป็นผู้เยาว์ เมื่อนายมากมากถูกกระทำละเมิด นายเหมาะเหมาะย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้กระทำละเมิดรับผิดชดใช้ค่าเสียหายได้โดยตรง ค่าใช้จ่ายอันเป็นค่าเดินทางไปดูแลอาการลูก เป็นค่าใช้จ่ายที่นายเหมาะเหมาะต้องเสียไปอันเนื่องมาจากการกระทำละเมิด จำเลยดิ้นไม่หลุด อย่าหยุมหยิมเกินไป
เอาละศาลฎีกาทนเมื่อยอีกหน พิพากษายืน ตามที่ศาลล่างว่ามา
เห็นได้ว่า ศาลต้องออกแรงใช้ความพยายามในการประมวลเหตุผล และตัดสินด้วยความเหนื่อยยากไม่น้อย ทำให้รู้ด้วยว่า เหตุเกิดกลางคืน โจทก์มีพยานปากเดียว ก็เอาชนะคดี มัดคอจำเลยได้
ข้อเสียอย่างเดียวที่ยังมีอยู่ในบ้านเรา คือ กว่าคดีจะเสร็จแต่ละราย ล่าช้าอย่างสุดๆ คงต้องมีการแก้ไขเพราะ ความล่าช้าคือความอยุติธรรม นี่คือสุภาษิตกฎหมาย ผมไม่ได้ยกขึ้นมาเองนะเอ้อ
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6232/2554
คดีรถ ตีพิมพ์ในฟอร์มูลา ส่งไป ๒ ธ.ค.๒๕๕๕
เรื่องโดย : จอมยุทธ formula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2556
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/31661