ทั่วไป
พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เป็นอาจารย์ทางวิปัสสนาอันควรค่าแก่การยกย่องสรรเสริญยิ่ง เนื้อธรรมทั้งหลายที่ท่านแสดงออก ล้วนเป็นธรรมชั้นสูง ย่อมไม่เป็นสิ่งแปลกประหลาดที่บรรพชิตและคฤหัสถ์ในภาคต่างๆ ของประเทศให้ความเคารพนับถือด้วยความเลื่อมใส และล้นด้วยศรัทธา
พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เป็นอาจารย์ทางวิปัสสนาอันควรค่าแก่การยกย่องสรรเสริญยิ่ง เนื้อธรรมทั้งหลายที่ท่านแสดงออก ล้วนเป็นธรรมชั้นสูง ย่อมไม่เป็นสิ่งแปลกประหลาดที่บรรพชิตและคฤหัสถ์ในภาคต่างๆ ของประเทศให้ความเคารพนับถือด้วยความเลื่อมใส และล้นด้วยศรัทธา
ผมมีหนังสือเก่าเล่มหนึ่ง เป็น ชีวประวัติและปฏิปทาของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ซึ่งเรียบเรียงโดยท่านอาจารย์ พระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
ขออนุญาตถ่ายทอดบางช่วง เรียบเรียงบางช่วง-บางตอนมาเล่าสู่กันฟัง
พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เกิดในสกุลแก่นแก้ว โดยนายคำด้วงเป็นบิดา นางจันทร์เป็นมารดา นับถือพระพุทธศาสนา เกิดวันพฤหัสบดี เดือนยี่ ปีมะแม วันที่ 20 มกราคม 2413 ที่บ้านคำบง ตำบลโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี เป็นบุตรคนโต มีพี่น้องร่วมท้อง 9 คน
ท่านบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ในสำนักวัดบ้านคำบง เมื่ออายุได้ 15 ปี บวชเรียนได้ 2 ปี ก็ต้องสึกตามคำขอร้องของบิดา และเมื่อท่านอายุได้ 22 ปี ก็ได้ลาบิดามารดา เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดเลียบ ในตัวเมืองอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2436
อุปสมบทแล้ว ท่านก็ได้มาอยู่ในสำนักวิปัสสนากับท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล วัดเลียบ เมืองอุบลราชธานี
การวิปัสสนาในระยะต้น ท่านเริ่มบริกรรมภาวนาด้วยบทพุทโธ คืนวันหนึ่งเกิดสุบินนิมิตว่า
ท่านออกเดินทางจากหมู่บ้านเข้าสู่ป่าใหญ่ รกชัฏด้วยขวากหนามแทบหาทางดั้นด้นต่อไปไม่ได้ แต่ท่านพยายามซอกซอนจนพ้นจากป่า เข้าเขตทุ่งกว้าง ขณะเดินตามทุ่งได้พบต้นชาติต้นหนึ่งซึ่งเขาตัดล้มลง ขอนจมดินนานหลายปี เปลือกและกะพี้ผุพัง
ไม้ต้นนั้นใหญ่โต ท่านได้ปีนขึ้นตามขอนชาติที่ล้มนอนอยู่ พร้อมทั้งพิจารณาอยู่ภายใน และรู้ขึ้นมาว่า
ไม้นี้จะไม่มีการงอกขึ้นมาได้อีก ซึ่งเทียบได้กับชาติของท่านว่า จะไม่กำเริบให้เป็นภพ-ชาติสืบต่อไปอีกแน่นอน
ขณะท่านยืนพิจารณาอยู่ ปรากฏมีม้าสีขาวตัวหนึ่งสูงใหญ่เดินเข้ามาเทียบขอนชาตินั้น ท่านนึกอยากจะขึ้นขี่ ก็เลยปีนขึ้นนั่งบนหลังม้าตัวแปลกประหลาดนั้น ปรากฏว่า ม้าได้พาท่านวิ่งไปโดยเต็มกำลัง
ท่านมิได้นึกถึงสิ่งใดถึงสิงที่พึงประสงค์ และทิศทางที่จะไป เพียงแต่รู้สึกว่าเป็นระยะทางไกลมากจนคาดไม่ได้
ขณะที่ม้ากำลังวิ่ง ได้แลเห็นตู้ใบหนึ่งในความรู้สึกว่า น่าจะเป็นตู้พระไตรปิฎก ซึ่งวิจิตรด้วยเงินสีขาวงดงามมาก และม้าก็ได้พาท่านตรงเข้าหาตู้โดยท่านมิได้บังคับ
พอถึงตู้ม้าก็หยุด และท่านก็ลงจากหลังม้า หวังจะเปิดตู้ดูสิ่งภายใน ส่วนม้าปรากฏว่าหายตัวไปในขณะนั้น
ท่านตรงเข้าไปหาตู้พระไตรปิฎกนั้น แต่ไม่ทันจะเปิดดูว่ามีอะไรอยู่ภายในบ้าง ก็รู้สึกตัวตื่นขึ้น
จากนั้นมา ท่านได้ตั้งหน้าประกอบความเพียรอย่างเข้มแข็ง ด้วยบท พุทโธ พร้อมทั้งธุดงควัตรที่ปฏิบัติเป็นประจำทั้ง 7 ข้อ อันได้แก่
ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ไม่รับคหปฏิจีวรที่เขาถวายด้วยมือ
บิณฑบาตเป็นวัตรประจำวัน เว้นเฉพาะวันที่ไม่ฉัน
ไม่รับอาหารที่ตามส่งทีหลัง คือ รับเฉพาะที่ได้มาในบาตร
ฉันมื้อเดียว และไม่มีอาหารว่างใดๆ ที่เป็นอามิสเข้ามาปะปนในวันนั้น
ฉันในบาตร คือ มีภาชนะใบเดียวเป็นวัตร
อยู่ในป่าเป็นวัตร ตามร่มไม้ ในป่าธรรมดา ภูเขา หุบเขา เงื้อมผา และในถ้ำ
ถือผ้าไตรจีวรเป็นวัตร ด้วยผ้า 3 ผืน คือ สังฆาฏิ, จีวร และสบง (เว้นผ้าอาบน้ำฝน ซึ่งจำเป็นต้องมีในสมัยนี้)
ในระยะต่อมา ท่านได้ย้อนมาพิจารณาในเรื่องราวแห่งสุบินนิมิตจนเห็นว่า การออกบวชปฏิบัติตนสมควรแก่ธรรม ก็เท่ากับยกระดับจิตใจให้พ้นจากความผิด เปรียบดังบ้านเรือนอันเป็นที่รวมแห่งสรรพทุกข์ และป่าที่รกชัฏอันเป็นที่ซุ่มซ่อนของภัยทั้งหลาย ซึ่งหากเข้าถึงแล้ว ย่อมเป็นคุณธรรมที่แสนสบายหายกังวลโดยประการทั้งปวง
เปรียบได้กับการที่ม้าในสุบินนิมิต องอาจเป็นพาหนะขับไปจนถึงที่อันเกษม และนำพาไปจนได้พบตู้พระไตรปิฎกอันวิจิตรงดงาม แต่วาสนาไม่อำนวยสมบูรณ์ จึงเป็นเพียงได้เห็น มิได้เปิดตู้อย่างสมใจเต็มภูมิ แห่งจตุปฏิสัมภิทาญาณทั้งสี่
ท่านอาจารย์มั่น ได้เล่าว่า เมื่อท่านไปที่ใด อยู่ที่ใด ท่านมิได้ห่างความเพียร ทั้งบิณฑบาต กวาดลานวัด ขัดกระโถนวัด เย็บผ้าย้อมผ้า ทุกขณะของความเคลื่อนไหว ท่านมีความรู้สึกราวกับว่าความเพียรมิได้ห่างไปจากตัวท่านเลย นอกจากเวลานอนหลับ
ถึงเวลาบิณฑบาตก็เตรียมนุ่งสบง ทรงจีวร ช้อนสังฆาฏิ สะพายบาตรออกบิณฑบาตในหมู่บ้านโดยอาการสำรวม ถือเป็นการเดินจงกรมไปในตัว ประคองใจมิให้เพ่นพ่าน
กลับถึงวัด หรือที่พักแล้ว ก็เตรียมอาหารที่ได้มาใส่ลงในบาตร เริ่มพิจารณาปัจจเวก เสร็จแล้วจึงเริ่มฉันโดยธรรม มิให้เป็นไปด้วยตัณหาในทุกๆ ประโยคแห่งการฉันนั้น
เสร็จจากภัตกิจ ท่านก็เข้าป่าเดินจงกรมสงบอารมณ์ นั่งสมาธิภาวนา และวิปัสสนา ไม่ให้มีข้อบกพร่องในส่วนใดส่วนหนึ่ง
พระอาจารย์มั่น ได้เล่าถึงพระอาจารย์เสาร์ ซึ่งครั้งหนึ่ง พระอาจารย์เสาร์ ได้กล่าวกับท่านว่า
จิตท่านเป็นจิตที่โลดโผนมาก
รู้อะไรขึ้นมาแต่ละครั้งไม่มีความพอดี เดี๋ยวจะเหาะเหินเดินฟ้า เดี๋ยวก็จะดำดิน เดี๋ยวจะดำน้ำข้ามทะเล
หมายเหตุของพระอาจารย์เสาร์นี้ ท่านอาจารย์มั่นยอมรับว่า เป็นความจริงเช่นนั้น แม้ในขั้นแรกบำเพ็ญตน ยังเห็นอะไรมากมาย เช่น เห็นคนตายต่อหน้า เพ่งพิจารณาจนคนที่ตายไปนั้นกลายเป็นวงแก้ว
บางครั้งก็รู้สึกตัวว่าเหาะขึ้นไปเบื้องบน ได้เที่ยวชมสวรรค์วิมาน กว่าจะลงมาได้ก็หลายชั่วโมงอยู่ และบางทีก็ลงไปถึงดินแดนนรก เที่ยวดูนรกหลุมต่างๆ ปลงธรรมสังเวชกับสัตว์นรกทั้งหลายที่มีกรรมต่างกัน เสวยวิบากทุกข์
แต่พระอาจารย์มั่น (ตามที่พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโนเรียบเรียง) ท่านมีนิสัยองอาจกล้าหาญ และฉลาดแหลมคม ซึ่งอยากจะพูดให้สมใจว่า
ท่านเป็นนิสัยอาชาไนย ใจว่องไวและผาดโผน การฝึกทรมานก็เด็ดเดี่ยว เฉียบขาดเท่าเทียมกัน อุบายฝึกทรมานมีชนิดแปลกๆ แยบคาย ทั้งด้วยวิธีขู่เข็ญและปลอบโยนตามเหตุการณ์อันควรแก่จิตดวงมีเชาวน์เร็วแกมพยศ ซึ่งคอยแต่จะนำเรื่องเข้ามาทับถมโจมตีเจ้าของอยู่ทุกขณะที่เผลอตัว
เมื่อวันเพ็ญเดือน 3 วันมาฆบูชา ปี 2492 ก่อนท่านเริ่มป่วยเล็กน้อย ท่านเทศน์แสดงธรรมนานถึง 4 ชั่วโมง ตั้งแต่สองทุ่มตรงจนถึงเที่ยงคืน เป็นการแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ในวิสุทธิอุโบสถ ท่ามกลางบุคคลผู้บริสุทธิ์ล้วนๆ
แตกต่างจากการที่พวกเราแสดงปาฏิโมกข์ท่ามกลางผู้มีกิเลสล้วนๆ ในสมัยนี้ บวชเรียนกันก็เพียงแต่เอาชื่อเสียงเพียงว่า ตนเป็นพระเป็นเณร แล้วก็ลืมตัว ยกตนเป็นผู้มีศีลธรรม แต่หารู้ไม่ว่าศีลธรรมนั้นคืออะไร อย่างไร
เป็นต้นว่า การไม่ทำบาป ถ้าทางกายไม่ทำ หรือวาจาไม่ทำ แต่จิตใจก็ยังทำอยู่จนถึงเวลาหลับ ตื่นขึ้นมาก็สั่งสมบาปอีก หาความบริสุทธิ์ไม่พบ ดั่งนี้แล้วจะเรียกว่า เป็นวิสุทธิอุโบสถได้อย่างไร
ท่านอาจารย์บอกว่า ที่ท่านแสดงอย่างนี้ แสดงโดยหลักธรรมชาติของศีลธรรมทางด้านปฏิบัติ เพื่อนักปฏิบัติจะได้ทราบโดยถ่องแท้
และบทต่อมาที่ท่านแสดง ก็คือ สมาธิ ปัญญา ตลอดถึง วิมุตติ หลุดพ้นอย่างเต็มภูมิ และเปิดเผย ไม่ปิดบัง
ท่านพูดทำนองพูดที่วัดเจดีย์หลวง เมืองเชียงใหม่ ว่า ต่อไปท่านจะไม่ได้เทศน์ทำนองนี้อีก แล้วก็จบลง
คำพูดของท่านนั้นกลายเป็นความจริง นับแต่วันนั้นมา ท่านมิได้เทศน์ทำนองนั้นอีก ทั้งเนื้อธรรม และการแสดงธรรมนานเป็นชั่วโมง หลังจากนั้นเพียงหนึ่งเดือน ท่านก็เริ่มป่วย และถึงวาระสุดท้ายแห่งขันธ์จนได้...!
เรื่องโดย : บรรเจิด ทวี formula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/31357