พิเศษ
รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีสโตน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
"ดีสโตน" ยางรถยนต์สัญญาติไทย อยู่ในตลาดมานานกว่า 37 ปี จนสามารถสร้างมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก ลงทุนเพิ่มกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิต 4 WHEELS สัมภาษณ์ เกริก วงศาริยวานิช รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีสโตน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
4 WHEELS : บริษัท ดีสโตน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อใด ?
เกริก : บริษัท ฯ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2518 เริ่มดำเนินธุรกิจเป็นผู้ผลิตสินค้าที่ทำจากยางธรรมชาติ เช่น ถุงมือ ถุงยาง ยางรถยนต์ ยางอะไหล่ เนื่องจากมองว่าธุรกิจนี้น่าสนใจ และเป็นประเภทที่สามารถแข่งขันได้กับต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น อินโดนีเซีย หรือมาเลเซีย
ปัจจุบันเป็นผู้ผลิตยางถึง 3 ล้านตัน/ปี แต่นำมาทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยาง เพียงแค่ 10-15 % ถือว่าเป็นจำนวนน้อยมาก ส่วนที่เหลือเป็นการส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ ดังนั้น บริษัท ฯ ต้องการที่จะเพิ่มมูลค่าของยางธรรมชาติ อุตสาหกรรมยานยนต์มีการเติบโตต่อเนื่อง และมีอนาคต จึงได้ก่อตั้งบริษัท ฯ ขึ้นเป็นผู้ผลิตยางล้อรถจักรยาน, รถจักรยานยนต์, ยางผ้าใบอุตสาหกรรม และยางรถเรเดียล เพื่อจำหน่ายในประเทศ และเพื่อการส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ตะวันออกกลาง เอเชีย ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ เป็นต้น
ปัจจุบันมีบริษัทในเครือ 4 แห่ง คือ บริษัท ดีสโตน จำกัด. บริษัท ดีรับเบอร์ จำกัด, บริษัท ดีสโตน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และบริษัท ดีสโตน เรเดียลไทร์ จำกัด และมีโรงงานสำหรับผลิตสินค้าทั้งสิ้น 2 แห่ง อยู่ที่อ้อมน้อย 2 โรงงาน และบางเลน นครปฐม 3 โรงงาน โดยผลิตสินค้าอยู่ 2 บแรนด์ คือ ดีสโตน และธันเดอเลอร์
4 WHEELS : ผลิตภัณฑ์ 2 บแรนด์ แตกต่างกันอย่างไร ?
เกริก : การแบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็น 2 บแรนด์ เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่คู่ค้า โดย ธันเดอเลอร์ จะจำหน่ายในศูนย์บริการรถยนต์ บี-ควิก คุณภาพและราคาอยู่ในระดับเดียวกัน
4 WHEELS : จุดเด่นของยางดีสโตน มีอะไรบ้าง ?
เกริก : โรงงานตั้งอยู่ในประเทศไทย ซึ่งมีวัตถุดิบที่เป็นยางธรรมชาติอันดับ 1 ของโลก มีแหล่งวัตถุดิบอยู่ใกล้การผลิต รัฐบาลให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ต่อเนื่อง มีบุคลากรที่มีความสามารถ แรงงานมีฝีมือดีกว่า หรือเทียบเท่าระดับสากล และมีผลิตภัณฑ์หลากหลาย ตอบสนองความต้องการของลูกค้า เหมือนเป็น ONE STOP SERVICE โดยลูกค้าที่ต้องการซื้อยางดีสโตน จะสามารถเลือกหาได้ทุกประเภท ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ดีสโตน จะเน้นที่ความคุ้มค่าในราคาเหมาะสม ทำให้ผู้บริโภคสามารถมีทางเลือกได้มากยิ่งขึ้น
4 WHEELS : ดีสโตน มีกำลังการผลิตรวมเท่าไร ?
เกริก : เนื่องจากบริษัท ฯ มีการผลิตยางรถยนต์หลายประเภท ตั้งแต่ยางรถจักรยานยนต์ จนถึงยางรถสิบล้อ การผลิตอยู่ที่ประมาณ 100,000 ตัน/ปี
4 WHEELS : บริษัท ฯ มีแผนลงทุนเพิ่มขึ้นหรือไม่ ?
เกริก : บริษัท ฯ จะลงทุนสร้างโรงงานแห่งที่ 6 จังหวัดเพชรบุรี ใช้งบลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งโรงงานแห่งนี้จะใช้วัตถุดิบเพิ่มอีกประมาณ 50,000 ตัน/ปี โรงงานแห่งนี้จะเป็นโรงงานผลิตยางรถบรรทุกที่จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีโครงสร้างผ้าใบเป็นโครงสร้างเรเดียล หรือโครงสร้างออลล์ สตีล เรเดียล คือ เทคโนโลยีที่มีโครงสร้างประกอบด้วยเหล็กทั้งหมด เนื่องจากตลาดยางรถบรรทุกทั่วโลกได้มีการปรับเปลี่ยนจากโครงสร้างผ้าใบมาเป็นเรเดียล เพื่อให้ยางมีหน้าสัมผัสที่ต้านฐานมากกว่า ทำให้ลักษณะการสึกของยางสม่ำเสมอ และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากกว่าเทคโนโลยีเดิมถึง 2.5 เท่า ทั้งนี้คาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ยางรถที่เป็นโครงสร้างผ้าใบน่าจะมีสัดส่วนเหลือไม่ถึง 10 %
4 WHEELS : บริษัท ฯ วางทิศทางและนโยบายไว้อย่างไรบ้าง ?
เกริก : ปัจจุบัน ดีสโตน ผลิตยางครอบคลุมล้อเกือบทั้งหมดทุกประเภท รวมถึงมีการผลิตเพื่อการส่งออกด้วย ดังนั้นจากสภาวะการแข่งขันของตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการขึ้นค่าแรง บริษัท ฯ จึงเน้นเรื่องการลดต้นทุน แต่ยังคงรักษาคุณภาพและมาตรฐานของสินค้า ให้สามารถแข่งขันได้กับคู่แข่งในตลาด นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น จากเดิมที่มีสัดส่วนเป็น 55 % จะเพิ่มเป็น 60 %
4 WHEELS : ปีที่แล้วมียอดขายเท่าไร ?
เกริก : ประมาณ 10,000 ล้านบาท หรือประมาณ 25 ล้านเส้น
4 WHEELS : วางกลยุทธ์สำหรับการแข่งขันปีนี้ไว้อย่างไร ?
เกริก : ปัจจุบันการแข่งขันสำหรับยางรถยนต์ในเมืองไทยสูงมาก โดยต้องแข่งขันทั้งบแรนด์ในไทย และบแรนด์ต่างประเทศ รวมถึงการเปิดเสรี และการเปิดตลาดฟรีเทสต์ ในโลกไร้พรมแดน ที่ไม่สามารถปิดกั้นการแข่งขันได้ สำหรับบริษัท ฯ เน้นที่กาารพัฒนาสินค้า บริการ และราคาที่เหมาะสม เพื่อให้แข่งขันได้ แต่ก็ไม่ได้ถือว่าการแข่งขันกับบแรนด์อื่นๆ เป็นอุปสรรค เพราะมองว่าเมื่อมีวิกฤตก็มีโอกาส ในทุกสภาวะการแข่งขันทำให้เราแข็งแกร่ง และก้าวหน้าที่จะพัฒนาตนเองไปได้ด้วยดี
4 WHEELS : ราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบมากน้อยเพียงใด ?
เกริก : ช่วงปี 2554 ราคายางมีความผันผวนค่อนข้างสูง ตั้งแต่สูงสุดจนถึงกิโลกรัมละ 180 บาท และต่ำสุด 80 บาท แต่สำหรับบริษัท ฯ ไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้ เนื่องจากมีการวางแผนและลงทุนระบบซอฟท์แวร์ที่สามารถช่วยคำนวณ และประมาณการต้นทุนได้ จึงทำให้สามารถคาดคะเนต้นทุนที่ผ่านมา ปัจจุบัน อนาคต และหากมีการผันผวนจะเป็นเท่าไร ทำให้วางแผนความผันผวนได้ รวมถึงมีการเจรจากับลูกค้าได้ว่าความน่าจะเป็นในอีก 3-6 เดือนข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ทำให้ตั้งรับ หากลยุทธ์ และปรับตัวได้ดีกว่า
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ nussara@autoinfo.co.th
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2555
คอลัมน์ Online : พิเศษ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/30989