ภาพยนตร์ต่างประเทศสมัยผมยังเป็นหนุ่มเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ไม่ใช่ภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่สร้างเสร็จแล้วก็เข้ามาฉายในเมืองไทยทันทีเช่นวันนี้ แต่ใช้เวลาพอสมควร กว่าโรงภาพยนตร์ชั้นหนึ่งในเมืองไทยจะได้ฉาย
ทศวรรษที่ 60 มีดารานักแสดงที่วัยรุ่นชอบหลายคน สำหรับเรื่อง WALK ON THE WILD SIDE ที่แนะนำวันนี้ เป็นภาพยนตร์จัดจำหน่ายโดยโคลัมเบีย พิคเจอร์ส ในปี 2505
นักแสดงนำ คือ ลอว์เรนศ์ ฮาร์วีย์, คาปูซีน, เจน ฟอนดา, แอนน์ แบกซ์เตอร์ และบาร์บารา สแตนวิค ผู้กำกับการแสดง คือ เอดเวิร์ด ดมิทริค ดัดแปลงมาจากนวนิยายชื่อเดียวกัน ซึ่งประพันธ์โดย เนลสัน อัลเกรน พิมพ์จำหน่ายในปี 1956 ก่อนสร้างภาพยนตร์ 6 ปี ผมชอบชื่อเรื่อง เพราะสะท้อนชีวิตบัดซบได้ดี แต่ภาพยนตร์ไม่ได้รับความสำเร็จในขณะนั้น เรียกว่าไม่ได้ทั้งเงินและกล่อง
เรื่องราวในภาพยนตร์ถูกวิจารณ์ว่า มีความแตกต่างจากหนังสือสิ้นเชิง ประเด็นนี้ ผมเห็นว่าควรให้ความเป็นธรรมแก่วงการภาพยนตร์ หรือผู้สร้างภาพยนตร์ เพราะภาพยนตร์ก็คือ ความบันเทิงเริงรมย์ในรูปแบบของภาพยนตร์ ฉะนั้น คงจะสนุกสนานตามหนังสือไปไม่ได้
หนังสือเล่าเรื่องราวด้วยตัวอักษร แต่ภาพยนตร์เป็นการเล่าเรื่องราวด้วยภาพและเสียง บทภาพยนตร์ต้องมีฉากมีตอนของมัน ลำดับความให้เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจของผู้ชม ทั้งการขึ้นต้นและลงท้าย ตลอดจนกระทั่งแต่ละปมในเรื่องก็ต้องมีแรงดึงดูดแฟนๆ ภาพยนตร์ให้ติดตาม
WALK ON THE WILD SIDE ในรูปแบบภาพยนตร์ เริ่มเรื่องระหว่าง สหรัฐ ฯ ประสบสภาวการณ์ทางด้านเศรษฐกิจตกต่ำ โดฟ (แสดงโดย ลอเรนศ์ ฮาร์วีย์) และคิทที (แสดงโดย เจน ฟอนดา) ละทิ้งเทกซัส เดินทางเข้ามาที่นิวออร์ลีนส์ โดฟ เป็นผู้ชายที่เดินทางเข้ามาด้วยความหวังว่า จะได้หวนกลับมาเจอรักดั้งเดิมกับผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ ฮอลลี (แสดงโดย คาปูซีน) ชีวิตของเขาเริ่มจากการปรองดอง เมื่อ คิทที ขโมยของจากร้านกาแฟ และเมื่อแผนการปรองดองระหว่าง คิทที กับเจ้าของร้านประสบความสำเร็จ เถ้าแก่ร้าน (เป็นฝรั่งนะครับ) ก็เลยจ้าง โดฟ ทำงาน ซึ่งเขาก็ตกลงเป็นลูกจ้างของร้านกาแฟ เพื่อการติดตามหา ฮอลลี ต่อไป
ชะตากรรมของ โดฟ ร้ายไม่น่าเชื่อ เมื่อเขาพบ ฮอลลี อยู่ในซ่องโสเภณีชื่อ "บ้านตุ๊กตา" เป็นบ้านค้าประเวณีตามสมัยปี 1930 ในเมืองนิวออร์ลีนส์ แม่เล้าหรือเจ้าบ้าน ก็คือ "โจ" (แสดงโดย บาร์บารา สแตนวิค) สามีของ โจ ขาขาดด้วยอุบัติเหตุ และนำมาซึ่งการจากกันระหว่าง โจ กับสามี ความสัมพันธ์ระหว่าง โจ กับฮอลลี เป็นไปในทางชู้สาว แบบเลสเบียนว่างั้นเถอะ ซึ่ง ฮอลลี มองประโยชน์ส่วนตัว ต่อความช่วยเหลือของ โจ ทางด้านการเงิน เพื่อการหล่อรูปปั้นที่เธอชอบ แต่ถึงอย่างไร ความจริงก็ระบุว่า ฮอลลี คือ ผู้หญิงค้าประเวณีคนหนึ่งของบ้านตุ๊กตา
ความสัมพันธ์ระหว่าง โจ กับฮอลลี ไม่ค่อยจะมีเรื่องของความรักเข้ามาแทรกซ้อน โจ พบว่า คิทที เป็นเยาวชนที่ข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย และยังถูกข่มขืน โจ จึงพยายามที่จะกดดันให้ โดฟ ออกไปจากเมืองโดยไม่มี ฮอลลี ฉากจบของเรื่องเกิดขึ้นที่บ้านตุ๊กตา มีการต่อสู้ และมีเสียงปืนดังขึ้น และคนที่ตายด้วยกระสุนปืน คือ ฮอลลี
สาระสำคัญที่พอช่วยให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับความสนใจ ก็คือ การสร้างไทเทิลโดยฝีมือของ ซาอูล บาสส์ ทั้งไทเทิลขึ้นต้นเรื่อง และเครดิทในท้ายเรื่อง เกี่ยวกับแมวตัวผู้สีดำตัวหนึ่ง ย่างก้าวด้วยดวงตาน่ากลัว เมื่อเจอกับแมวสีขาวตัวหนึ่งมันก็เปิดฉากกัดกัน จนเป็นผู้ชนะ
ในท้ายเรื่อง แมวสีดำตัวผู้นี้ก็ยังย่างก้าวต่อไป เหมือนตอนขึ้นไทเทิล และมันก็เหยียบเท้าลงไปบนหนังสือพิมพ์รายวันที่ตกกับพื้น มีพาดหัวว่า ศาลลงโทษแม่เล้าบ้านตุ๊กตาด้วยการจำคุกตลอดชีวิต เบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์นั้นเล่ากันว่า ลอเรนศ์ ฮาร์วีย์ ไม่กินเส้นกับนางเอกดัง คาปูซีน มีการเปิดเผยทางหน้าหนังสือภาพยนตร์ว่า คาปูซีน ไม่ประสงค์ให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ มีฉากการจุมพิตระหว่างเธอกับพระเอก ลอเรนศ์ ฮาร์วีย์
เพราะเธอลงความเห็นว่า ลอเรนศ์ ฮาร์วีย์ ยังเป็นผู้ชายที่ไต่ระดับไม่ถึงความเป็นชาย ขณะเดียวกัน ลอเรนศ์ ฮาร์วีย์ ก็สวนกลับว่า "บางทีนะแม่คุณ ถ้าเธอเป็นผู้หญิงมากกว่านี้หน่อย ผมก็คงเป็นผู้ชายมากขึ้น แล้วก็ขอโทษเถอะ จูบคุณเนี่ยนะ จูบขวดเบียร์ก็ไม่ต่างกันหรอก"
เพลงไทเทิล ชื่อ WALK ON THE WILD SIDE ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ในสาขาดนตรียอดเยี่ยม เพลงดั้งเดิม ผู้ประพันธ์คำร้อง คือ แมค ดาวิด และผู้ให้ทำนอง คือ เอลเมอร์ เบิร์นสไตน์ นักดนตรีดังในสมัยนั้น
รางวัลตุ๊กตาทองปีนั้น เพลงนี้เข้าไม่ถึง เพลงยอดเยี่ยมที่ชิงตุ๊กตาทองไปได้ คือ เพลงจากภาพยนตร์เรื่อง DAYS OF WINE AND ROSES ซึ่งเป็นผลงานของ เฮนรี แมนซินี (ทำนอง) และจอห์นนี เมอร์เซอร์ (คำร้อง)
ปีเดียวกันกับที่ภาพยนตร์เรี่องยิ่งใหญ่ LAWRENCE OF ARABIA ผลงานของ เดวิด ลีน และ แซม สปีเกล ได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี
ผู้เขียนบทภาพยนตร์มี 3 คน คือ จอห์น ฟานเท, เอดมันด์ มอร์ริส และเบน เฮชท์ ซึ่งผมค่อนข้างจะคุ้นเคยกับผลงานของ เบน เฮชท์ มากกว่า 2 คนแรก เขาได้รับสมญานามเป็น "เชคสเปียร์สแห่งฮอลลีวูด" ฝากผลงานไว้หลายเรื่อง รวมทั้ง SPELLBOUND (1945), A FAREWELL TO ARMS (1957 รักระหว่างรบ) GONE WITH THE WIND และ SOME LIKE IT HOT (1939 วิมานลอย และอรชรร้อนรัก)
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการ carstereo@autoinfo.co.th
นิตยสาร Carstereo ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2555
คอลัมน์ Online : คอลัมน์ประจำ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/30987