เทคนิค
มาคุยกันต่อเรื่องปัญหาของแอร์ และวิธีใช้งานที่ถูกต้องครับ จากประสบการณ์ของผม ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับระบบปรับอากาศของรถ มาจากความผิดพลาดของช่างเป็นส่วนใหญ่ "ส่วนใหญ่" นี้แค่ไหนหรือครับ ? ถ้าเอาอย่างไม่เป็นทางการก็แถวๆ 90 % แหละครับ นอกนั้นเป็นเพราะอายุขัย หรือไม่ก็เพราะชิ้นส่วนและอุปกรณ์มีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน
มาคุยกันต่อเรื่องปัญหาของแอร์ และวิธีใช้งานที่ถูกต้องครับ จากประสบการณ์ของผม ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับระบบปรับอากาศของรถ มาจากความผิดพลาดของช่างเป็นส่วนใหญ่ "ส่วนใหญ่" นี้แค่ไหนหรือครับ ? ถ้าเอาอย่างไม่เป็นทางการก็แถวๆ 90 % แหละครับ นอกนั้นเป็นเพราะอายุขัย หรือไม่ก็เพราะชิ้นส่วนและอุปกรณ์มีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน
ผมจะไม่เรียงลำดับนะครับ เพราะตัดสินไม่ได้ว่าข้อไหนสำคัญกว่าข้อใด ขอเล่าไปเรื่อยๆ เพื่อให้อ่านสบาย แต่อ่านจบแล้วอาจจะไม่ค่อยสบายนัก เพราะเราคงต้องตั้งคำถามในใจว่า "เอ ! มันทำกับรถของเราแบบนี้หรือเปล่า ?" คำตอบ คือแน่นอนครับ เพียงแต่ว่าจะ "ครบสูตร" หรือเกือบครบเท่านั้นเอง
เริ่มกันที่การเติมน้ำยา หรือสารทำความเย็น (REFRIGERANT) ที่ต่อไปนี้ผมขอเรียกง่ายๆ แบบที่พวกเราคุ้นเคยว่า "น้ำยา" เมื่อใดที่ต้องเติมน้ำยา ย่อมหมายความว่า มีปริมาณน้ำยาน้อยกว่าค่ามาตรฐานของรถแต่ละรุ่น ถ้าน้อยกว่าไม่มากนัก พวกเราผู้ใช้ก็จะยังไม่ทราบ เพราะไม่มีการสำแดงอาการ แต่ก็สามารถตรวจสอบได้ โดยการวัดความดันในระบบ ขณะ "แอร์" ทำงานครับ แต่ถ้าน้ำยามีปริมาณน้อยถึงระดับหนึ่ง จะมีอาการให้เรารู้สึกได้โดยง่าย คือ อากาศที่ออกมาจากช่องปล่อย มีความเย็นน้อยกว่าปกติ เมื่อไปที่ร้านหรือศูนย์บริการ ช่างที่ดีได้รับการอบรมมาอย่างถูกต้อง จะต้องตรวจหารอยรั่วก่อนครับ เพราะน้ำยาไม่มีทางหายไปเองได้ นอกจากรั่ว หรือรั่วซึมออกมาอย่างช้าๆ แบบรั่วซึมนี้ถือว่า เป็นอาการปกติหลังจากใช้งานมาหลายปีครับ น้ำยาสามารถซึมออกมาทางข้อต่อต่างๆ ได้บ้าง ในอัตราที่น้อยมาก แต่ส่วนใหญ่แล้วมักรั่วที่ใดที่หนึ่ง สังเกตได้ง่าย เพราะจะมีน้ำมันหล่อลื่นคอมเพรสเซอร์ซึมติดเป็นคราบ (ที่จริงแล้วมีวิธีตรวจรอยรั่วแบบเป็นทางการด้วยเครื่องมือครับ แต่แทบไม่มีใครใช้) ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะส่วนที่เป็นโลหะผุจนทะลุ (คอยอ่านสาเหตุตอนหลังครับ) ก็อาจจะเป็นส่วนที่เป็นท่อยางแตกหรือปริ หรือไม่ก็เป็นเพราะแหวนกันรั่ว ที่ช่างเรียกว่า โอ-ริง เสื่อมตามอายุใช้งาน (หรือไม่ก็เป็นของปลอมคุณภาพต่ำ) ถ้าเป็นการรั่วที่รังผึ้งทำความเย็น หรืออีแวพอเรเตอร์ซึ่งมีเปลือกปิดมิดชิด (ช่างเรียกรวมว่าตู้แอร์)
เราพอสังเกตเองได้จากน้ำที่กลั่นตัวและหยดลงที่พื้นถนนหรือโรงรถ ถ้ามีคราบน้ำมันลอยเป็นฝาปนอยู่ด้วย รั่วแน่ครับ ช่างที่ดีจะตรวจสอบก่อน เมื่อพบก็จะแก้ไข แล้วจึงจะทำสุญญากาศก่อนเติมน้ำยาเข้าไป ส่วนพวกที่เรียกตัวเองว่าช่าง แต่ไม่ใช่ ก็จะเติมน้ำยาโดยไม่ต้องตรวจ เป็นการหาเงินที่ง่ายและไม่เหนื่อย แต่ปัญหาก็ยังคงอยู่และอีกไม่นานปริมาณน้ำยาก็จะน้อยเกินไป จนสำแดงอาการอีก นอกจากนี้ตอนเติมน้ำยาก็จะพาความชื้นเข้าไปในระบบอีกด้วย การเติมน้ำยาแอร์ จะต้องใช้เกจวัดความดัน ด้านความดันสูงและความดันต่ำ โดยมีท่ออยู่ 3 ท่อด้วยกัน คือ ท่อความดันต่ำ ต่อเข้ากับท่อที่จะเข้าด้านดูด (SUCTION) ของคอมเพรสเซอร์ ท่อความดันสูง ต่อเข้ากับท่อที่ติดกับด้านอัด (DISCHARGE) ของคอมเพรสเซอร์ ส่วนท่อที่ 3 ต่อกับถังน้ำยาเพื่อป้อนน้ำยาเข้าสู่ระบบปรับอากาศของรถ
น้ำยาแอร์จะต้องไม่ถูกผสมกับน้ำอย่างเด็ดขาดครับ เพราะไอน้ำจะไปทำให้ประสิทธิภาพลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ยังจะกลายเป็นกรดทำลายชิ้นส่วนต่างๆ จึงต้องมีชุดดูดความชื้นในระบบ หรือดรายเออร์ ไว้ดูดความชื้นที่อาจหลงเหลือหรือพลัดเข้ามาในระบบ อากาศส่วนนี้ก็คืออากาศในท่อทั้ง 3 นี่แหละครับ วิธีกำจัดอากาศส่วนนี้ก่อนเติมน้ำยานั้นง่ายมาก ตอนติดตั้งท่อยางทั้งความดันสูงและความดันต่ำเข้ากับระบบของรถแล้ว ไอน้ำยาก็จะทะลักเข้ามาในท่อยางเพราะความดันต่ำกว่าระบบ แล้วคลุกเคล้ากับอากาศและไอน้ำในท่อ รีบคลายเกลียวที่ปลายท่อด้านที่ต่อกับเกจวัดความดัน ไม่ต้องมากครับ พอให้ได้ยินเสียงแกสรั่วชัดๆ นับ 1 ถึง 3 อากาศและความชื้นก็จะถูกไอน้ำยาไล่ออกมาหมดแล้วขันเกลียวให้หยุดรั่ว ท่อกลางที่ใช้เติมน้ำยาก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน ต่อกับถังน้ำยาเรียบร้อยแล้ว เปิดวาล์วที่ฝาถังให้น้ำยาเข้าสู่ท่อ แล้วรีบคลายเกลียวที่ปลายท่อด้านที่ติดกับเกจ ทำแบบเดียวกับ 2 ท่อแรกทุกประการ เกจบางรุ่นที่ดี จะมีลิ้นระบายติดไว้ด้วย ทำให้ไม่ต้องคลายเกลียวที่ปลายท่อ
ผมไม่เคยเห็นช่างแอร์ที่ไหนปฏิบัติเช่นนี้ ยกเว้นรายที่ผมเคยสั่งให้ทำ ไอน้ำที่เข้าไปในระบบจากการเติมน้ำยาผิดวิธี จะต้องถูกกำจัดโดยสารดูดความชื้นในรีซีเวอร์ (ช่างแอร์เรียกเหมาว่าดรายเออร์) ซึ่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ในความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้นครับ
มาดูเรื่องดรายเออร์ในรีซีเวอร์กันบ้าง ในระบบที่ใช้น้ำยารุ่นเก่า (อาร์ 12) จะใช้ซิลิคาเจลเป็นสารดูดความชื้น ส่วนระบบใหม่ (อาร์ 134 เอ) จะใช้ซีโอไลท์ ในเมื่อเป็นสารดูดความชื้น มันก็จะดูดซับความชื้นซึ่งก็คือน้ำ ไม่ว่าจะในสภาวะไอหรือของเหลวเข้าไว้ในตัวมันตลอดเวลา ไม่มีการหยุดพักและความสามารถในการดูดความชื้นของมันก็มีจำกัดด้วย พอดูดซึมน้ำได้ถึงจุดสูงสุด มันก็จะอิ่มตัว และหมดสภาพในการเป็นสารดูดความชื้น เพราะฉะนั้นรีซีเวอร์/ดรายเออร์ ที่ผลิตมาอย่างถูกต้อง จะต้องมีจุกอุดทั้ง 2 ด้านอย่างสนิท ป้องกันอากาศภายนอกเข้า และจะถูกแกะก็ต่อเมื่อเราต้องการติดตั้งเข้ากับระบบปรับอากาศเท่านั้น แค่นี้ยังไม่พอครับ ติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะต้องรีบทำสุญญากาศทันที เพราะหากทิ้งไว้ให้อากาศภายนอกเข้าถึงรีซีเวอร์/ดรายเออร์ เป็นเวลานาน มันก็จะอิ่มตัวไปตั้งแต่ก่อนใช้งาน ช่างที่ดีจะต้องจัดการในส่วนอื่นให้พร้อมหมดเสียก่อน แล้วจึงติดตั้งรีซีเวอร์และทำสุญญากาศทันที
ผมจะ "ฉายภาพ" ให้ดูว่า เกิดอะไรขึ้นจริงๆ กับระบบปรับอากาศของรถที่พวกเราใช้กันอยู่ เมื่อใดก็ตามที่มีการซ่อมระบบปรับอากาศโดยต้องปล่อยน้ำยาออก และใช้เวลาซ่อมนาน เช่น คอยอะไหล่ สารดูดความชื้นในกระบอกรีซีเวอร์ จะต้องไม่ถูกอากาศภายนอกครับ ยกเว้นกรณีที่จะเปลี่ยนรีซีเวอร์ใหม่ ถ้าจะใช้อันเดิมเพราะราคาของใหม่ของรถบางรุ่นแพงมาก (บางรุ่นอันละ 6,000 บาท) ต้องถอดออกมาอุดรูทั้ง 2 ข้างให้สนิทจริงๆ ผมเคยเห็นแม้กรณีเปลี่ยนรีซีเวอร์ใหม่ ช่างพวกนี้ก็เอามาติดตั้งไว้ตั้งแต่ทำงานส่วนอื่นของระบบปรับอากาศยังไม่เสร็จ จะไปเหลืออะไรครับ บางรายทิ้งไว้หลายวันก็มี
ดรายเออร์ที่สารดูดความชื้นอิ่มตัวแล้วนี้ ไม่เพียงแต่จะหมดความสามารถในการกำจัดความชื้นในระบบที่อาจมีอยู่ แม้ในระบบจะไม่มีความชื้นเหลืออยู่หลังการทำสุญญากาศแล้วก็ตาม พอเติมน้ำยาเข้าไป แล้วถูกใช้งานตามปกติ สารดูดความชื้นจะรับความร้อนจากน้ำยา แล้วคายน้ำส่วนหนึ่งออกมาผสมกับน้ำยา จนกลายเป็นกรดร้ายแรงทำลายส่วนต่างๆ ของระบบได้ด้วย
การทำสุญญากาศให้เกิดในระบบปรับอากาศนั้น บางคนแม้แต่ช่างเอง เข้าใจว่าเป็นการช่วยให้บรรจุน้ำยาแอร์ได้ดีขึ้น ไม่ทำก็บรรจุมากเกินได้สบายมากครับ จุดประสงค์ของการทำสุญญากาศ คือ การทำให้น้ำที่หลงเหลืออยู่ในท่อและชิ้นส่วนต่างๆ ระเหยเป็นไอ แล้วถูกดูดออกไปจากระบบโดยปั๊มสุญญากาศเพียงไม่กี่นาที เราก็จะได้ความดันต่ำสุดในระบบ เท่าที่ปั๊มสุญญากาศที่ใช้จะทำได้แล้ว แต่ต้องใช้เวลาพอสมควรครับ ในการรอให้น้ำที่อาจหลงเหลือระเหยจนหมด เวลาที่ใช้จึงไม่ควรน้อยกว่า 30 นาที ถ้าไม่รีบเอา 45 นาทียิ่งดี ช่างที่ไหนรีบเติมน้ำยา อย่ายอมครับ
พอทำสุญญากาศครบตามเวลา ให้ปิดวาล์ว แล้วทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที ความดันต้องไม่เพิ่มขนาดสังเกตได้ จึงแสดงว่าระบบของเราไม่รั่ว ช่างที่รู้จักคิด จะไม่รอจนเวลาครบ แต่จะลองปิดวาล์วหลังจากทำสุญญากาศไปแค่ 2 ถึง 3 นาทีเท่านั้น ถ้าลองปิดวาล์วแล้ว ความดันเพิ่มพรวดพราด ก็แสดงว่ายังมีรอยรั่วค่อนข้างหนัก จะได้แก้ไขโดยไม่ต้องเสียเวลาครับ
ถ้าไม่รั่วแน่ ก็ดำเนินการต่อชุดเกจและท่อเพื่อเติมน้ำยา ตามที่ผมอธิบายมาแล้ว ตอนเติมน้ำยานี่ก็มีขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องครับ ต้องปล่อยน้ำยาเข้าระบบตั้งแต่ยังไม่ติดเครื่องยนต์ให้คอมเพรสเซอร์ทำงาน จนความดันไอน้ำยาในระบบเท่ากับความดันในถังน้ำยา
แล้วปิดวาล์วทั้งด้านความดันสูงและความดันต่ำ ติดเครื่องยนต์แล้วเร่งประมาณ 1,500 รตน. คงที่ เปิดพัดลมแรงสุด ปรับความเย็นเต็มที่ เปิดกระจกหรือประตูรถ เพื่อไม่ให้คอมเพรสเซอร์ทำงานขาดตอน ปล่อยน้ำยาเข้าทางด้านความดันต่ำเทานั้น (ห้ามปล่อยน้ำยาด้านความดันสูงขณะคอมเพรสเซอร์ทำงานเด็ดขาด) ต้องปล่อยน้ำยาเข้าช้าๆ อย่างต่อเนื่อง วิธีที่ถูกต้อง คือ การประจุน้ำยาตามมวลหรือน้ำหนักที่โรงงานรถกำหนดไว้ให้ แต่เนื่องจากตามร้านแอร์หรือแม้แต่ศูนย์บริการ แทบไม่มีเครื่องเติมน้ำยาที่ทันสมัยระดับที่มีตาชั่งในตัว จึงต้องอาศัยการดูค่าความดันด้านความดันสูงแทน ค่าที่เหมาะสมจะกำหนดไว้ในคู่มือของศูนย์บริการ ค่าของระบบที่ใช้น้ำยาอาร์ 134 เอ จะสูงกว่าค่าของระบบอาร์ 12 พอสมควร และไม่ใช่ค่าตายตัวด้วย ขึ้นอยู่กับความเร็วของคอมเพรสเซอร์และอุณหภูมิของอากาศหน้ารถ (ที่ถูกดูดมาระบายความร้อนคอนเดนเซอร์) แค่พัดลมไฟฟ้าทำงานเร็วขึ้นหรือช้าลง ก็ทำให้ความดันแปรเปลี่ยนได้มากแล้วครับ ถ้าอนุโลมว่าอุณหภูมิอากาศหน้ารถประมาณ 30 องศาเซลเซียส ใช้ความเร็วเครื่องยนต์ขณะเติมน้ำยา 1,500 รตน. ความดันของระบบ อาร์ 12 ประมาณ 190 ปอนด์/ตารางนิ้ว ส่วนระบบ อาร์ 134 เอ ประมาณ 260 ปอนด์/ตารางนิ้ว ต่ำไปหน่อยได้ แต่ห้ามสูงเกินครับ
บางรายไม่รู้เรื่อง ชอบเอาน้ำราดคอนเดนเซอร์ไปด้วยขณะเติมน้ำยา บอกว่าจะได้เข้าเยอะดี ไร้สาระ และอันตรายด้วยครับ พอน้ำที่เปียกคอนเดนเซอร์ถูกลมที่พัดผ่าน จะระเหยเร็วมาก ความดันด้านความดันสูงจะลดลงทันที "ช่าง" พวกนี้ก็จะเติมน้ำยาเข้าไปอีก คราวนี้พอเราเอามาขับใช้งานจริง ไม่มีน้ำเปียกคอนเดนเซอร์ และรถติดอยู่บนถนนร้อนจัดตอนบ่าย ความดันจะพรุ่งพรวดขึ้นทันทีครับ นั่นหมายถึงมีปริมาณน้ำยาในระบบมากเกินไปอย่างมาก ถ้ามีจุดอ่อนอยู่ เช่นท่ออ่อนอายุมากแล้ว ก็อาจทนไม่ได้และแตกทันที ถีงไม่มีอะไรแตกทันทีทันใด คอมเพรสเซอร์ก็จะรับภาระสูงเกินไป ความเย็นในห้องโดยสารจะลดลง ความร้อนในคอมเพรสเซอร์จะสูงมาก
แล้วก็ยังมีช่างพวก "กลัวฟอง" อีกด้วย ที่ทางออกของคอนเดนเซอร์ ซึ่งน้ำยาแอร์ไหลออกมาในสภาวะของเหลว จะมีช่องใสไว้ดูระดับน้ำยา นิยมเรียกกันว่า "ตาแมว" เขามีไว้ดูเวลาน้ำยาน้อยเกินไป และเป็นฟองละเอียดให้เห็นครับ มันไม่ได้มีไว้เพื่อบอกว่าให้เติมน้ำยาจนไม่มีฟองให้เห็นเลยแม้แต่ฟองเดียว ช่าง "กลัวฟอง" พวกนี้ก็จะต้องเติมน้ำยาเข้าไปเรื่อยๆ จนมากเกินกำหนด แล้วก็จะมีความสุขอย่างยิ่ง ที่ช่องใสนี้เต็มไปด้วยน้ำยาที่ปราศจากฟอง
การเกิดฟองบางส่วนและบางสภาพใช้งานไม่ได้หมายความว่ามีน้ำยาในระบบน้อยเกินไป เมื่อใดที่ความดันบริเวณช่องใส ต่ำกว่าความดันไอของน้ำยา มันก็จะเดือดเป็นไอให้เราเห็นได้บ้าง โดยเฉพาะระบบอาร์ 134 เอ เนื้อที่สำหรับคราวนี้หมดแล้ว เพิ่งมาได้ครึ่งทางเท่านั้น ขอผลัดไปเล่าต่อในเดือนหน้าครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี jassada@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : เทคนิค
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/30907