ทดสอบ
อเมริกันคาวบอย 2 สไตล์ ในร่าง เอสยูวี
เชฟโรเลต์ แคพทีวา 2.4 แอลทีเซด เบนซิน 2.4 ลิตร 4 สูบ 168 แรงม้า ราคา 1,580,000 บาท
คู่แข่งในตลาด
ฮันเด ทูซอน 2.0 จี 4WD เบนซิน 2.0 ลิตร 166 แรงม้า ราคา 1,895,000 บาท
ฮอนดา ซีอาร์-วี 2.4 อีแอล เนวี เบนซิน 2.4 ลิตร 170 แรงม้า ราคา 1,513,000 บาท
เชฟโรเลต์ แคพทีวา 2.0 แอลทีเซด ดีเซล เทอร์โบ 2.0 ลิตร 4 สูบ 163 แรงม้า ราคา 1,684,000 บาท
คู่แข่งในตลาด
ซังยง โครันโด เอกซ์ดีไอ ดีเซล เทอร์โบ 2.0 ลิตร 175 แรงม้า ราคา 1,790,000 บาท
ฮันเด ทูซอน 2.0 ดี 4WD ดีเซล เทอร์โบ 2.0 ลิตร 177 แรงม้า ราคา 1,690,000 บาท
จุดเด่น
- รูปลักษณ์ด้านหน้าขึงขังในสไตล์ เอสยูวี หรู
- ภายในกว้างขวาง ติดตั้งเบาะ 7 ตำแหน่ง
- สมรรถนะดี ทั้งรุ่นเบนซิน 2.4 และดีเซล 2.0
- ระบบความปลอดภับครบ (เฉพาะรุ่น แอลที และแอลทีเซด)
จุดด้อย
- รูปทรงส่วนกลาง และท้ายไม่แตกต่างจากเดิม
- ระบบเครื่องเสียงยังไม่กระหึ่มเท่าที่ควร
- ไม่ได้ติดตั้งเครื่องเล่นดีวีดีมาให้
ฟันธง
- เอสยูวี รุ่นปรับโฉม แต่ดีขึ้นกว่าเดิมราวกับเป็นรุ่นใหม่แกะกล่อง
สหรัฐอเมริกา คือ ประเทศที่อุดมไปด้วย เอสยูวี มากมาย หลากหลายรุ่น และขนาด โดยเฉพาะบรรดา เอสยูวี หรูขนาดใหญ่โต มีความหรูหราภูมิฐาน กับรูปทรงที่ขึงขัง ตามแบบฉบับสายพันธุ์ลุยที่ผสมผสานอยู่ในตัว หากมี เอสยูวี สักคันที่สามารถสะท้อน และจำลองกลิ่นอายความเป็นชาติตะวันตกดังกล่าวได้ ภายใต้ขนาดตัว และราคาที่เหมาะสมสำหรับบ้านเรา ครั้งนี้เราจึงมาทดสอบ "AMERICAN SUV" กับ เชฟโรเลต์ แคพทีวา (CHEVROLET CAPTIVA) กับ 2 ทางเลือก เครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร และดีเซล เทอร์โบ 2.0 ลิตร
ภายนอก 4 ดาว
มาดหรู สไตล์อเมริกัน
โฉมล่าสุดของ แคพทีวา ถือเป็นการปรับโฉมแบบ ยกหน้า ครั้งใหญ่ ด้านหน้าดูขึงขัง ด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ คาดกลางด้วยโลโก BOW TIE สีทองเด่น เพิ่มความเข้มด้วยไฟหน้าที่มีเหลี่ยมสันคมกว่าเดิม ขณะที่ไฟตัดหมอกย้ายตำแหน่งลงมาเล็กน้อย ล้อมกรอบด้วยโครเมียมเสริมมาดหรู ทำให้ช่วงหน้าของรถคันนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนรถสไตล์อเมริกันมากขึ้น โดยเฉพาะล้อแมกขนาดใหญ่ถึง 19 นิ้ว (ยาง 235/50 R19 เฉพาะรุ่น แอลทีเซด) เจาะกลุ่มลูกค้าที่ใช้งานในทางราบมากกว่าทางสมบุกสมบัน
อย่างไรก็ตามความแตกต่างจากการปรับโฉมกลับอยู่บริเวณส่วนหน้าของรถ รวมไปถึงล้อแมกเท่านั้น เมื่อไล่ดูมาถึงส่วนกลาง จรดด้านท้าย รูปทรงโดยรวม แทบไม่ต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้เลย มีเพียงแผ่นกันกระแทกด้านหลังเท่านั้นที่เปลี่ยนไปใช้สีเงิน คงจะดีหากทาง เชฟโรเลต์ เพิ่มความแตกต่างของรูปทรงในส่วนดังกล่าวให้มากกว่านี้
ไม่ใช่แค่ความใหญ่โตทางสายตาเท่านั้น เมื่อดูมิติตัวถังของความยาว และระยะฐานล้อ แคพทีวา อยู่ที่ 4,673 และ 2,707 มม. เมื่อเทียบกับบรรดา เอสยูวี ครอสส์โอเวอร์ อย่าง ฮันเด ทูซอน (HYUNDAI TUCSON) กับมิติ 4,410/2,640 มม. และ ฮอนดา ซีอาร์-วี (HONDA CR-V) 4,529/2,620 มม. ตามลำดับ พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่เพียงแค่การมองเห็น แต่ เอสยูวี จากแดนมะกันคันนี้ มีขนาดใหญ่กว่าคู่แข่งสัญชาติเอเซียทั้งหลายอย่างเห็นได้ชัด แต่ความใหญ่โตภายนอกจะมีผลกกับความกว้างขวางของห้องโดยสารมากน้อยแค่ไหน มาดูที่หัวข้อถัดไปกันเลย
ภายใน 4 ดาว
ครบทั้งความกว้างขวาง และอเนกประสงค์
เมื่อเข้ามาในห้องโดยสาร เราพบว่า แคพทีวา กว้างขวางเกินคาด โดยเฉพาะพื้นที่ช่วงศีรษะเหลือเฟือราวกับ เอสยูวี ที่ใช้พื้นฐานของรถกระบะ พีพีวี (PPV) เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีทีเด็ดของค่ายรถแห่งนี้ คือ เบาะนั่งแบบ ฟเลกซ์ 7 (FLEX 7) รองรับผู้โดยสารได้ 7 คน อย่างที่คุ้นเคยกันมาตั้งแต่ เอมพีวี ซาฟีรา (ZAFIRA) มีการใช้งานที่หลากหลาย และง่ายดาย โดยที่เบาะแถว 2 และ 3 สามารถพับราบไปกับพื้น เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระ อย่างไรก็ตามเบาะแถว 3 เหมาะกับการโดยสารระยะทางสั้นๆ มากกว่า เนื่องจากเนื้อที่ค่อนข้างจำกัด เมื่อเทียบกับเบาะแถว 2
บรรยากาศโดยรอบห้องโดยสาร เน้นความทันสมัย ตกแต่งโทนสีดำ เทา สลับด้วยสีเงินวาว สลับชุดแต่งคาร์บอนเคฟลาร์ คอนโซลกลางติดตั้งจอมอนิเตอร์ขนาด 7 นิ้ว สำหรับแสดงผลระบบความบันเทิง ระบบนำทางด้วยดาวเทียม และการดูวีดีโอผ่าน SD CARD (รองรับไฟล์ เอมพี 4) น่าแปลกที่ช่องใส่แผ่นซีดี ไม่สามารถใช้ดูหนังได้ รองรับแต่การฟังเพลงเท่านั้น ขณะที่ปุ่มควบคุมดูเรียบง่าย จัดวางเอาไว้ในระดับต่ำลงมาจากจอมอนิเตอร์พอสมควร ช่วงแรกที่ไม่เคยชินอาจมีความยุ่งยากในการทำความคุ้นเคยเล็กน้อย แต่ปุ่มมัลทิฟังค์ชันบนพวงมาลัยช่วยให้การใช้งานต่างๆ สะดวกต่อผู้ขับ
ระบบเสียงแบบ 3 มิติ (3 DIMENSIONAL SOUND STAGING) ถูกติดตั้งเพิ่มเติมเข้ามาเป็นครั้งแรกในรุ่นปรับโฉม กับลำโพงถึง 8 ตัว รอบห้องโดยสาร รวมไปถึงลำโพงทวีเตอร์ 2 ตัว และลำโพงเซนเตอร์เหนือคอนโซลกลางอีก 1 ตัว (ไม่ใช่ลำโพงซับวูเฟอร์) เสียงที่ออกมาในเบื้องต้นไม่ถึงกับกระหึ่มมากนัก เน้นเสียงกลางมากกว่าเสียงเบสส์ ถึงอย่างนั้นก็ให้มิติเสียงที่ครบกว่าลำโพงทั่วไปที่ติดตั้งเฉพาะตรงประตู อย่างไรก็ตาม เราคิดว่าทางผู้ผลิตน่าจะเน้นให้ระบบภาพครบครันกว่านี้ เช่น การรองรับแผ่นดีวีดี เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากระบบเสียงดังกล่าวได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพื่อใช้เป็นมีนีโฮมเธียเตอร์ขณะเดินทางไกลเป็นครอบครัว หรือเพื่อนฝูง
เครื่องยนต์ 4 ดาว
เบนซินไหลลื่น ดีเซลมาเร็ว
แคพทีวา มีทางเลือกเครื่องยนต์ 2 แบบด้วยกัน นั่นคือ แบบเบนซิน 2.4 ลิตร "ECO TEC" กำลัง 168 แรงม้า (รุ่นเดิม 136 แรงม้า) และดีเซล เทอร์โบ คอมมอนเรล กำลัง 163 แรงม้า (รุ่นเดิม 150 แรงม้า) โดยทั้งหมดนี้เป็นเครื่องยนต์บลอคใหม่ ที่ให้พละกำลังมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ผนวกกับเกียร์ลูกใหม่แบบอัตโนมัติ 6 จังหวะ (รุ่นเดิมมี 5 จังหวะ) ลองมาดูกันว่าสมรรถนะที่วัดออกมาได้ จะมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
อัตราเร่ง 0- 100 กม./ชม. รุ่นเบนซิน 2.4 ลิตร ทำได้ 13.3 วินาที (รุ่นก่อนหน้านี้ 16.6 วินาที) เพียงเริ่มต้นก็เห็นความแตกต่างแล้วว่า เครื่องยนต์เบนซินบลอคใหม่ มีอัตราเร่งช่วงต้นที่เร็วกว่ารุ่นก่อนนี้มากมาย ขณะที่รุ่นดีเซล 2.0 ลิตร ยังคงฉับไวด้วยแรงบิดที่สูงตั้งแต่รอบต่ำ อัตราเร่งในส่วนนี้ทำได้ 12.5 วินาที (รุ่นก่อนหน้านี้ 13.2 วินาที) ถือว่าเครื่องยนต์บลอคใหม่ของทั้ง 2 รุ่น มีความใกล้เคียงด้านสมรรถนะมากกว่าเดิม
ต่อมาสำหรับอัตราเร่ง 0-1,000 ม. ตัวเลขของรุ่นเบนซิน 2.4 ลิตร คือ 34.6 วินาที ที่ความเร็ว 152.8 กม./ชม. (รุ่นก่อนหน้านี้ทำได้ 37.7 วินาที ที่ความเร็ว 138.0 กม./ชม.) เรียกได้ว่า ทิ้งขาด กันเห็นๆ ระหว่างตัวปัจจุบัน และอดีต เครื่องยนต์เบนซินบลอคล่าสุดมีการตอบสนองที่ดีขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นช่วงต้น หรือช่วงปลายในส่วนนี้ หันมาดูรุ่นดีเซล 2.0 ลิตร ทำเวลาในส่วนนี้ได้ 34.0 วินาที ที่ความเร็ว 153.3 กม./ชม. (รุ่นเดิมทำได้ 34.6 วินาที ที่ความเร็ว 149.6 กม./ชม.) เครื่องยนต์ดีเซลของรุ่นล่าสุด ยังคงมีการตอบสนองที่ดีกว่ารุ่นก่อนหน้านี้เล็กน้อย และมีความเร็วปลายทัดเทียมกับเครื่องยนต์เบนซิน
อัตราเร่งยืดหยุ่นช่วงความเร็ว 80-120 กม./ชม. รุ่นเบนซิน 2.4 ลิตร ทำได้ 9.6 วินาที (รุ่นก่อนหน้านี้ 13.4 วินาที) เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ตัวเลขสมรรถนะแสดงให้เห็นว่าเครื่องยนต์เบนซินบลอคใหม่ มีความกระฉับกระเฉงกว่าเดิมมาก แม้ในจังหวะเร่งแซงเช่นนี้ ส่วนรุ่นดีเซล 2.0 ลิตร คือ 9.3 วินาที (รุ่นก่อนหน้านี้ 10.1 วินาที) ทั้งแรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่เพิ่มขึ้น ทำให้เครื่องยนต์ดีเซลรุ่นล่าสุด มีการตอบสนองดีขึ้นเช่นกัน
เรามีความรู้สึกว่าเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร เน้นการตอบสนองที่ไหลลื่น และต่อเนื่อง การออกตัวอาจไม่กระชากหวือหวา แต่การไต่ความเร็วได้อย่างง่ายดายจนกระทั่งความเร็วสูง มีบุคลิกความเป็น ผู้ดี นุ่มเรียบ แต่เฉียบในที นอกจากนี้ยังหลากหลายด้วยการรองรับน้ำมันแกสโซฮอล อี 85 อีกด้วย (FLEX FUEL) ขณะที่รุ่นดีเซล 2.0 ลิตร มีบุคลิกที่ ดิบห้าว กว่าเล็กน้อย อัตราเร่งมาไว มีแรงดึงช่วงออกตัวมากกว่า แม้แผ่วลงบ้างในช่วงกลาง และปลาย แต่สมรรถนะโดยรวมถือว่าน่าพอใจมาก แถมประหยัดด้วยราคาเชื้อเพลิงที่ต่ำกว่าน้ำมันเบนซินทั่วไป
ระบบรองรับ 5 ดาว
นุ่มหนึบ เบรคดี ความปลอดภัยครบ
ขณะขับทดสอบ พบว่าน้ำหนักของพวงมาลัยเบาแรงเกินคาด การขับขี่ในเมืองขณะเปลี่ยนเลน หรือขับไปตามตรอกซอกซอยสามารถหักเลี้ยวได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ควรใช้การควบคุมแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ของรถคันนี้ ทำให้มีอาการโยนตัวบ้างเป็นธรรมดา แต่เมื่อลองใช้ความเร็วสูงบนทางด่วน ช่วงล่างที่ดูนุ่มนวลในทีแรก กลับมีความหนึบกำลังดี ตัวรถยังมีความมั่นคงในทางราบให้สัมผัสได้ โดยรวมแล้ว ระบบรองรับได้รับการปรับแต่งให้ความรู้สึกที่ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนปรับโฉมอย่างชัดเจน ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา ยังมีระบบกระจายแรงบิดสู่ล้อคู่หน้า/หลังตามความเหมาะสมของสภาพถนน และการขับขี่ในอัตราส่วน 50:50, 60:40 และ 70:30
นอกจากช่วงล่างที่ดีแล้ว ระยะเบรคที่ความเร็ว 60 และ 100 กม./ชม. จนหยุดสนิท ของ แคพทีวา รุ่นเบนซิน 2.4 ลิตร ทำได้ดังนี้ คือ 15.2 และ 42.7 ม. (รุ่นก่อนปรับโฉม 16.3/42.3 ม.) ส่วนรุ่นดีเซล 2.0 ลิตร มีตัวเลขที่ 15.4 และ 41.9 ม. (รุ่นก่อนปรับโฉม 17.8/43.4 ม.) ถือว่าทำได้ดีกว่าคู่แข่งอย่าง ซีอาร์-วี ที่ใช้ระยะเบรค 16.6/47.9 ม. รวมไปถึง เอสยูวี แบบ พีพีวี อย่าง ฟอร์ทูเนอร์ กับระยะเบรค 16.6/ 46.3 ม. ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่า แคพทีวา มีประสิทธิภาพการเบรคที่ดี เมื่อเทียบกับขนาดตัว และน้ำหนักที่ค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับรถประเภทเดียวกันในระดับราคาที่ใกล้เคียงกัน
จุดเด่นสำคัญของรถรุ่นนี้ คือ ระบบความปลอดภัยที่ให้มาเยอะที่สุดเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัยรอบคัน ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล (TCS: TRACTION CONTROL SYSTEM) ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ (ARP: ACTIVE ROLLOVER PROTECTION) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESP: ELECTRONIC STABILITY PROGRAM) ระบบยกตัวอัตโนมัติ (SELF-LEVELIZER) โดยจะยกช่วงล่างด้านหลังให้มีความสมดุลกับด้านหน้า แม้ยามบรรทุกของหนักที่ด้านท้าย ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC: HILL DESCENT CONTROL) และระบบป้องกันการไถลเมื่อขึ้นทางลาดชัน (HSA: HILL START ASSIST) จาระไนกันยาวเหยียด เพื่อแสดงให้เห็นว่า เอสยูวี สัญชาติอเมริกันคันนี้ มีระบบความปลอดภัยแบบ จัดเต็ม จริงๆ ยิ่งรถยนต์ประเภทนี้เหมาะสำหรับการเดินทางไกล และการโดยสารเป็นหมู่คณะ ระบบความปลอดภัยที่เพียบพร้อมเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ถือเป็นมาตรฐานใหม่ที่ เอสยูวี ยุคหน้าพึงติดตั้งมาให้
สรุป
พัฒนาการที่ยอดเยี่ยมของ เอสยูวี แดนมะกัน
แม้เป็นการปรับโฉมแบบยกหน้า แต่เอาเข้าจริง แคพทีวา รุ่นล่าสุดมีการเปลี่ยนแปลงมากมายจนแทบจะเป็นรถรุ่นใหม่เลยก็ว่าได้ จากรูปทรงที่ขึงขังกว่าเดิม เข้าใกล้สไตล์อเมริกันมากขึ้น ความหรู และทันสมัย ตลอดจนประโยชน์ใช้สอยที่หลากหลาย ยังคงมีอยู่ครบครัน จุดสำคัญ คือ สมรรถนะจากเครื่องยนต์บลอคใหม่ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร และดีเซล 2.0 ลิตร บวกกับระบบความปลอดภัยที่ให้มาเกินหน้ารถยนต์ระดับเดียวกัน ทำให้เอสยูวี คันนี้สามารถเป็น AMERICAN DREAM ของใครหลายคนได้อย่างไม่ยากเย็น
ข้อมูลจำเพาะ เชฟโรเลต์ แคพทีวา 2.4 แอลทีเซด/2.0 วีซีดีไอ แอลทีเซด
ผู้แทนจำหน่าย บริษัท เชฟโรเลต เชลส์ (ประเทศไทย) จำกัด
โทร. 1743
มิติ และน้ำหนัก
ยาว/กว้าง/สูง (มม.) 4,673/1,850/1,756
ช่วงล้อ หน้า/หลัง (มม.) 1,569/1,576
ฐานล้อ (มม.) 2,707
น้ำหนัก (กก.) 1,860
ความจุถังเชื้อเพลิง (ลิตร) 65
เครื่องยนต์
แบบ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว DOUBLE CVC/ดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VCDI
ความจุ (ซีซี) 2,384 1,998
กระบอกสูบ/ช่วงชัก (มม.) 88/98 86/86
อัตราส่วนกำลังอัด 10.4:1 16.3:1
กำลังสูงสุด (แรงม้า/รตน.) 168/5,600 163/3,800
แรงบิดสูงสุด (กก.-ม./รตน.) 23.3/4,600 36.7/1,750-2,750
ระบบจ่ายเชื้อเพลิง หัวฉีดมัลทิพอยท์ คอมมอนเรล
ระบบถ่ายทอดกำลัง
เกียร์ (จังหวะ) อัตโนมัติ 6 DRIVER SHIFT CONTROL
ขับเคลื่อน (ล้อ) 4 ล้อ
ระบบรองรับ
หน้า อิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง
หลัง อิสระ มัลทิลิงค์ 4 จุด พร้อม SELF-LEVELIZER
ระบบบังคับเลี้ยว
แบบ ฟันเฟือง และตัวหนอน
ระบบห้ามล้อ
แบบ เอบีเอส ทีซีเอส เออาร์พี อีเอสซี
หน้า จาน พร้อมช่องระบายความร้อน
หลัง จาน
ราคา (บาท) 1,580,000 | 1,684,000
อัตราเร่ง (วินาที)
0-60 กม./ชม. 5.8 5.5
0-80 กม./ชม. 8.9 8.4
0-100 กม./ชม. 13.3 12.5
0-120 กม./ชม. 18.7 17.9
0-140 กม./ชม. 27.6 26.5
0-400 ม. 19.0 @ 120.2 กม./ชม. 18.5 @ 121.8 กม./ชม.
0-1,000 ม. 34.6 @ 152.8 กม./ชม. 34.0 @ 153.3 กม./ชม.
อัตราเร่งยืดหยุ่น (วินาที)
60-100 กม./ชม. 7.1 6.8
80-120 กม./ชม. 9.6 9.3
ห้ามล้อเมื่อหยุดรถกะทันหันจากความเร็ว (ม./ค่าจี)
60-0 กม./ชม 15.2/0.93 15.4/0.92
80-0 กม./ชม. 27.6/0.91 26.6/0.94
100-0 กม./ชม. 42.7/0.92 41.9/0.94
ระดับเสียงรบกวนในห้องโดยสาร (เดซิเบล A)
ที่ความเร็ว 0 กม./ชม. (จอดนิ่ง)
ที่ความเร็ว 60 กม./ชม.
ที่ความเร็ว 80 กม./ชม.
ที่ความเร็ว 100 กม./ชม.
ที่ความเร็ว 120 กม./ชม.
ที่ความเร็ว 140 กม./ชม.
ความคลาดเคลื่อนของมาตรวัดความเร็ว (กม./ชม.)
ที่ความเร็ว 60 กม./ชม.
ที่ความเร็ว 80 กม./ชม.
ที่ความเร็ว 100 กม./ชม.
ที่ความเร็ว 120 กม./ชม.
ที่ความเร็ว 140 กม./ชม.
เรื่องโดย : ภูเขม หน่อสวรรค์ poukhem@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : ทดสอบ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/30472