ธุรกิจ
ญี่ปุ่น-คณะกรรมการผู้ตัดสิน ซึ่งเป็นสื่อมวลชนในเมืองยุ่นรวม 60 คน เลือกรถไฟฟ้า นิสสัน ลีฟ (NISSAN LEAF) เป็น JAPAN CAR OF THE YEAR หรือ "รถแห่งปีของญี่ปุ่น" ประจำปี 2011-2012 ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น พร้อมสร้างปรากฏการณ์ใหม่ ในฐานะรถไฟฟ้าแบบแรกในช่วงเวลากว่า 3 ทศวรรษ ที่สามารถคว้ารางวัลใหญ่อันทรงเกียรติ และเป็นที่ยอมรับนี้
นิสสัน ลีฟ สุดเจ๋ง
ชนะใจสื่อมวลชนเมืองยุ่น
คว้ารางวัล "รถแห่งปี"
ญี่ปุ่น-คณะกรรมการผู้ตัดสิน ซึ่งเป็นสื่อมวลชนในเมืองยุ่นรวม 60 คน เลือกรถไฟฟ้า นิสสัน ลีฟ (NISSAN LEAF) เป็น JAPAN CAR OF THE YEAR หรือ "รถแห่งปีของญี่ปุ่น" ประจำปี 2011-2012 ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น พร้อมสร้างปรากฏการณ์ใหม่ ในฐานะรถไฟฟ้าแบบแรกในช่วงเวลากว่า 3 ทศวรรษ ที่สามารถคว้ารางวัลใหญ่อันทรงเกียรติ และเป็นที่ยอมรับนี้
การพิจารณารางวัลเกียรติยศ "รถแห่งปีของญี่ปุ่น" ประจำปี 2011-2012 ซึ่งจัดขึ้นโดยองค์กรอิสระในญี่ปุ่น มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า JAPAN CAR OF THE YEAR COMMITTEE ดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ในปีนี้มีรถใหม่ที่มีสิทธิ์เข้ารับการพิจารณาเพื่อรับรางวัลรวม 55 แบบ ทุกแบบมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ คือ เริ่มจำหน่ายในญี่ปุ่นระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2010 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2011 และคาดหมายได้ว่าจะมียอดขายไม่น้อยกว่า 500 คัน/ปี โดยไม่มีการจำกัดว่าเป็นรถผลิตในญี่ปุ่น หรือนำเข้าจากต่างประเทศ
คณะกรรมการผู้ตัดสินในปีนี้ เป็นผู้แทนของหนังสือพิมพ์ นิตยสาร รายการวิทยุ และรายการทีวีที่เกี่ยวข้องกับวงการรถยนต์รวม 60 คน เท่ากับเมื่อปีที่แล้ว ส่วนกติกาการตัดสินก็คล้ายคลึงกับการตัดสินรางวัล "รถแห่งปี" ที่กระทำในยุโรปและเหมือนกับที่ใช้เมื่อปีที่แล้ว คือ กรรมการแต่ละคนมีสิทธิ์ให้คะแนนรวม 25 คะแนน โดยมีข้อแม้ว่าต้องให้ 10 คะแนน แก่รถคันเดียวที่เห็นว่าเยี่ยมที่สุด และแจกคะแนนที่เหลือให้กับรถที่เห็นว่าดีรองลงไปอีก 4 คัน คันละกี่คะแนนก็ได้ คุณสมบัติในการพิจารณาให้คะแนนมีอยู่เพียง 7 หัวข้อ ได้แก่ แนวคิด การออกแบบ สมรรถนะ การขับขี่ คุณภาพ ความปลอดภัย ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการคุ้มค่าคุ้มราคา
ผลการพิจารณาในรอบแรก เพื่อคัดเลือกรถให้เหลือเพียง 10 คัน ปรากฏว่ารถที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย เป็นรถผลิตในญี่ปุ่น และรถนำเข้าจำนวนเท่าๆ กัน คือ อย่างละ 5 คัน ในพิธีประกาศผลการตัดสินและมอบรางวัล ซึ่งกระทำในงานมหกรรมยานยนต์โตเกียวครั้งที่ 42 เมื่อวันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2011 ก็มีการเปิดเผยคะแนนที่รถแต่ละคันได้รับ ดังนี้
1. นิสสัน ลีฟ 522 คะแนน
2. เมร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาสส์ 174 คะแนน
3. เปอโฌต์ 508 170 คะแนน
4. มาซดา เดมีโอ 142 คะแนน
5. โวลโว เอส 60/วี 60 134 คะแนน
6. ไดฮัทสุ มีรา 106 คะแนน
7. โฟล์คสวาเกน พาสสัท 101 คะแนน
8. บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1 90 คะแนน
9. โตโยตา ปรีอุส อัลฟา 39 คะแนน
10. ฮอนดา ฟิท ชัทเทิล 22 คะแนน
นับเป็นการคว้ารางวัล "รถแห่งปีของญี่ปุ่น" ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น และมีกรรมการถึง 46 คน ที่ให้ 10 คะแนนเต็ม แก่รถไฟฟ้า นิสสัน ลีฟ ในงานเดียวกันนี้ มีการมอบรางวัล IMPORT CAR OF THE YEAR หรือ "รถนำเข้าแห่งปี" ด้วย ผลปรากฏว่ารถที่คว้ารางวัลนี้ คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ C-CLASS)
ก่อนคว้ารางวัลนี้ รถไฟฟ้า นิสสัน ลีฟ ได้รับรางวัลเกียรติยศอื่นๆ มาแล้วหลายรายการ รวมทั้งรางวัล "รถแห่งปีของยุโรป" ประจำปี 2010-2011 และรางวัล "รถแห่งปี" ประจำปี 2011-2012 ซึ่งจัดโดย JAPAN AUTOMOTIVE HALL OF FAME หรือ "หอเกียรติยศยานยนต์ของญี่ปุ่น"
รถแห่งปีของญี่ปุ่น (JAPAN CAR OF THE YEAR)
ปี 1980-1981 มาซดา แฟมิเลีย ปี 1996-1997 มิตซูบิชิ กาแลนท์
ปี 1981-1982 โตโยตา โซเรอร์ ปี 1997-1998 โตโยตา ปรีอุส
ปี 1982-1983 มาซดา คาเพลโล ปี 1998-1999 โตโยตา อัลเตซซา
ปี 1983-1984 ฮอนดา ซีวิค ปี 1999-2000 โตโยตา วิทซ์
ปี 1984-1985 โตโยตา เอมอาร์ 2 ปี 2000-2001 ฮอนดา ซีวิค
ปี 1985-1986 ฮอนดา แอคคอร์ด ปี 2001-2002 ฮอนดา ฟิท
ปี 1986-1987 นิสสัน พัลซาร์ ปี 2002-2003 ฮอนดา แอคคอร์ด
ปี 1987-1988 มิตซูบิชิ กาแลนท์ ปี 2003-2004 ซูบารุ เลกาซี
ปี 1988-1989 นิสสัน ซิลวีอา ปี 2004-2005 ฮอนดา เลเจนด์
ปี 1989-1990 โตโยตา เซลซิเออร์ ปี 2005-2006 มาซดา โรดสเตอร์
ปี 1990-1991 มิตซูบิชิ ไดอมันเต ปี 2006-2007 เลกซัส แอลเอส 460
ปี 1991-1992 ฮอนดา ซีวิค ปี 2007-2008 ฮอนดา ฟิท
ปี 1992-1993 นิสสัน มาร์ช ปี 2008-2009 โตโยตา ไอคิว
ปี 1993-1994 ฮอนดา แอคคอร์ด ปี 2009-2010 โตโยตา ปรีอุส
ปี 1994-1995 มิตซูบิชิ เอฟทีโอ ปี 2010-2011 ฮอนดา ซีอาร์-เซด
ปี 1995-1996 ฮอนดา ซีวิค ปี 2011-2012 นิสสัน ลีฟ
สุดยอดรถสปอร์ทดาวสามแฉก
เอสแอล-คลาสส์ รุ่นใหม่
เปิดตัวแล้วในเมืองมะกัน
เยอรมนี/สหรัฐอเมริกา-ค่าย "ดาวสามแฉก" เฉลิมฉลองศักราชใหม่ ส่งรถสปอร์ทเปิดประทุน เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอล-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ SL-CLASS) รุ่นใหม่ล่าสุด ไปเปิดตัวที่งานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ในสหรัฐอเมริกา ตัวถังยาวและกว้างกว่ารถรุ่นเดิม แต่น้ำหนักตัวกลับเบากว่า เพราะชิ้นส่วนตัวถังเกือบทุกชิ้น ทำจากอลูมิเนียม รับใบสั่งจองแล้วในเมืองเบียร์ โดยมีรถให้เลือกใช้เพียง 2 โมเดล
หลังจากปล่อยให้ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอล-คลาสส์ รุ่นเดิมซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 5 (รหัสโรงงาน R320) อยู่ในสายการผลิตมายาวนานตั้งแต่ปี 2001 เมื่อกลางเดือนธันวาคมปีกระต่ายนี่เอง ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์ก็ยุติการรอคอยของคนรักรถสปอร์ทที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง โดยเปิดเผยโฉมหน้าและรายละเอียดของรถรุ่นใหม่ (รหัสโรงงาน R231) รวมทั้งบอกด้วยว่า ถ้าอยากเห็นตัวจริงเสียงของรถรุ่นนี้ก่อนใครอื่น ก็ต้องไปที่งานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ซึ่งกำหนดมีขึ้นในเมืองมะกันกลางเดือนแรกของปีงูใหญ่
รถสปอร์ทเปิดประทุน เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอล-คลาสส์ รุ่นใหม่ มีตัวถังยาว 4.612 ม. และกว้าง 1.877 ม. คือ ยาวและกว้างกว่ารถรุ่นเดิม 5.0 และ 5.7 ซม. ตามลำดับ เป็นตัวถังที่วางตัวอยู่บนพแลทฟอร์มที่ออกแบบขึ้นใหม่ มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.27 และมีน้ำหนักตัวเบากว่ารถรุ่นเดิมประมาณ 140 กก. คำอธิบายของขนาดที่โตขึ้น แต่น้ำหนักตัวกลับเบาลงนี้ คือ ชิ้นส่วนตัวถังเกือบทุกชิ้นที่ทำจากอลูมิเนียม ติดตรึงเข้าด้วยกัน ด้วยเทคนิคและกรรมวิธีอันหลากหลายขึ้นอยู่กับขนาดความแข็งแรงที่ต้องการ เช่น การย้ำหมุด การยึดด้วยสลักเกลียว การเชื่อมแบบธรรมดา และการเชื่อมด้วยเทคนิคระดับ "สุดยอดของศาสตร์และศิลป์" อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า FRICTION STIR WELDING มีชิ้นส่วนเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นที่ไม่ได้ทำจากอลูมิเนียม ตัวอย่างเช่น แผงกระจังหน้าที่ทำจากพลาสติคเพื่อลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับคนเดินเท้าบนถนน โครงประทุนหลังคาซึ่งทำจากแมกนีเซียม และเสาค้ำยันหลังคาคู่หน้าซึ่งทำจากท่อเหล็กกล้า ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย
ส่วนประทุนหลังคาที่ใช้เป็นประทุนแบบแข็ง เปิด/ปิดด้วยระบบอีเลคทรอ-ไฮดรอลิค (ELECTRO-HYDRAULIC) โดยใช้เวลาเปิดหรือปิดแต่ละครั้งไม่เกิน 20 วินาที และมีให้เลือกใช้รวม 3 แบบ เหมือนรถเปิดประทุนรุ่นน้อง เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลเค-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ SLK-CLASS) คือ ประทุนอลูมิเนียมเคลือบสีเหมือนตัวถัง ประทุนกระจกใส และประทุนกระจก พร้อมระบบ MAGIC SKY CONTROL ซึ่งทำให้สามารถปรับความเข้มของกระจกได้หลายแบบ
เปิดให้ลูกค้าในเมืองเบียร์สั่งจองแล้วตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2011 โดยมีรถให้เลือกใช้เพียง 2 โมเดล คือ MERCEDES-BENZ SL 350 BLUEEFFICIENCY ติดตั้งเครื่องยนต์ วี 6 สูบ 3,499 ซีซี 225 กิโลวัตต์/306 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 5.9 วินาที กับ MERCEDES-BENZ SL 500 BLUEEFFICIENCY ติดตั้งเครื่องยนต์ วี 8 สูบ 4,663 ซีซี 320 กิโลวัตต์/435 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 4.6 วินาที ทั้ง 2 โมเดล ถ่ายทอดกำลังจากเครื่องยนต์สู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS สนนราคาค่าตัวรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 19 คือ 93,534 และ 117,096 ยูโร (ประมาณ 3.9 และ 4.9 ล้านบาทไทย) ตามลำดับ
รถคูเป 4 ประตู 4+1 ที่นั่ง
ติดโลโกใบพัดเครื่องบิน
ออกขายไตรมาส 2 ปีงูใหญ่
เยอรมนี-ค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" เพิ่มทางเลือกให้แก่คนรักรถเงินถุงเงินถังที่อยากเป็นเจ้าของรถหรู บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-6 (BMW 6-SERIES) โดยเพิ่มรถซีรีส์นี้ในตัวถังแบบใหม่ ติดป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-6 กรัน คูเป (BMW 6-SERIES GRAN COUPE) พร้อมยืนยันว่า จะนำตัวจริงเสียงจริงของรถแบบใหม่นี้ออกอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งที่ 82 ตอนต้นเดือนมีนาคมปีงูใหญ่ และรถจะออกโชว์รูมหลังจากนั้น
เป็นรถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-6 ในตัวถัง 4 ประตูคูเป ซึ่งเป็นตัวถังแบบที่ 3 ถัดจากรถตัวถัง 2 ประตู คูเป กับตัวถังเปิดประทุน ซึ่งออกตลาดในเยอรมนีไปแล้วเมื่อปีกระต่าย และเป็นรถที่ยอดผู้ผลิตรถหรูของเมืองเบียร์ออกแบบและพัฒนาเพื่อให้เป็นคู่แข่งโดยตรงของรถสัญชาติเดียวกันอีก 2 แบบ คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเอส-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ CLS-CLASS) ของค่าย "ดาวสามแฉก" กับ เอาดี เอ 7 (AUDI A7) ของค่าย "สี่ห่วง"
ตัวถัง 5.007 ม. กว้าง 1.894 ม. และสูง 1.392 ม. (ยาวและสูงกว่าตัวถัง 2 ประตู คูเป และตัวถังเปิดประทุน 11.2 และ 2.7 ซม. ตามลำดับ) มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.29-0.31 และมีส่วนหน้า คือ ตั้งแต่ปลายจมูกรูปไตไปจนถึงขอบบนของกระจกหน้า เหมือนกันอย่างแทบไม่มีอะไรผิดเพี้ยนกับตัวถัง 2 ประตูคูเปและตัวถังเปิดประทุน แต่ส่วนกลางและส่วนท้ายที่ออกแบบขึ้นใหม่ มีหลังคาที่ดูราบแบนกว่า และประตูข้างทั้ง 4 บาน เป็นประตูแบบไร้กรอบ
ภายในห้องโดยสารทิ่ออกแบบให้นั่งได้รวม 5 คน แต่ผู้โดยสารบนเบาะหลังคงต้องนั่งเบียดกันหน่อย ผู้ผลิตจึงเรียกรถแบบนี้ว่า 4+1 ที่นั่ง วางตำแหน่งเก้าอี้ที่นั่งทั้งตอนหน้าและตอนหลังให้สูงกว่าตัวถัง 2 ประตู คูเปและตัวถังเปิดประทุนเล็กน้อย เพื่อเพิ่มทัศนวิสัย ห้องเก็บของท้ายรถในสภาพปกติ มีขนาดความจุ 460 ลิตร และจะเพิ่มเป็น 1,265 ลิตร เมื่อพับราบเบาะหลัง
ชุดที่ออกจำหน่ายในเมืองเบียร์จะมีรถให้เลือกใช้รวม 4 โมเดล คือ BMW 640I GRAN COUPE-BMW 650I GRAN COUPE-BMW 650I XDRIVE GRAN COUPE-BMW 640D GRAN COUPE ทุกโมเดลถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังหรือทั้งคู่หน้าและคู่หลังแล้วแต่กรณี ผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ STEPTRONIC โมเดลพื้นฐาน คือ BMW 640I GRAN COUPE ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 6 สูบเรียง 2,979 ซีซี 235 กิโลวัตต์/320 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 5.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 7.7 ลิตร/100 กม. หรือ 13.0 กม./ลิตร และอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 179 กรัม/กม.
2 โมเดลถัดไป คือ BMW 650I GRAN COUPE ซึ่งเป็นรถขับล้อหลัง และ BMW 650I XDRIVE GRAN COUPE ติดตั้งเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 4,395 ซีซี 330 กิโลวัตต์/450 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 4.6/4.5 วินาที ความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 8.6/9.2 ลิตร/100 กม. หรือ 11.6/10.9 กม./ลิตร และอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 199/215 กรัม/กม.
ส่วนโมเดลสุดท้ายซึ่งเป็นรถดีเซล คือ BMW 640D GRAN COUPE ติดตั้งเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบคอมมอนเรล DOHC 6 สูบเรียง 2,993 ซีซี 230 กิโลวัตต์/313 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 5.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 5.5 ลิตร/100 กม. หรือ 18.2 กม./ลิตร และอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น่าพอใจมาก คือ แค่ 146 กรัม/กม.
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา/บริษัทผู้ผลิต formula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2555
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/30392