เติมเต็มช่องว่างในความฝัน

เติมเต็มช่องว่างในความฝัน RENAULT R-SPACE วันเวลาเคลื่อนผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน เพิ่งฉลองปีกระต่ายกันได้ไม่นาน ปีงูใหญ่มาถึงแล้ว น้ำที่ท่วมท้นทั้งนอกบ้านและในบ้านยังแห้งไม่สนิทด้วยซ้ำ ว่ากันว่า คนที่เต็มไปด้วยความระทมทุกข์จะรู้สึกว่าเข็มนาฬิกาช่างเดินช้าเสียเหลือเกิน แต่คนที่มีความสุขวันเดือนปีจะวิ่งเร็วจี๋จนไล่ตามไม่ทัน ดังนั้น คนที่กำลังรำพึงรำพันผ่าน "ระเบียงรถใหม่" อยู่นี้ จึงน่าจะเป็นพวกหลัง ว่ากันด้วยว่า คนที่ผ่านชีวิตมายืดยาวมักจะคิดถึงแต่อดีต ส่วนคนหนุ่มคนสาวจะมองไกลไปในอนาคต เพราะฉะนั้น เพื่อหลอกตัวเองว่ายังเป็นคนหนุ่มคนสาว "ระเบียงรถใหม่" ในเดือนแรกของปีที่มี 366 วัน จึงนำเสนอเรื่องราวของรถที่ยังไม่มีขายในขณะนี้ แต่อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ในอนาคต เป็นรถอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า CONCEPT CAR หรือ "รถแนวคิด" มีทั้งหมด 7 คัน เป็นรถที่ปรากฏตัวในงานแสดงรถยนต์รายการสำคัญระดับ "อินเตอร์" รวม 2 งาน คือมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งที่ 81 ในเมืองนาฬิกา กับมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทครั้งที่ 64 ในเมืองไส้กรอก คันแรกเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่เมืองน้ำหอม อวดตัวครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาเมื่อต้นเดือนมีนาคมปีกระต่าย โดยติดป้ายชื่อ เรอโนลต์ แอร์-สปาศ (RENAULT R-SPACE) เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถอเนกประสงค์สำหรับใช้งานในครอบครัว และเป็นผลงานชิ้นที่ 3 ของทีมงานออกแบบรถแนวคิดซึ่งมี เลาเรนส์ ฟาน เดน อักเคร์ (LAURENS VAN DEN ACKER) นักออกแบบชาวดัทช์วัย 46 ปี เป็นผู้นำทีม ผลงาน 2 ชิ้นก่อนหน้านี้ คือ เรอโนลต์ เดอ ซีร์ (RENAULT DE ZIR) กับ เรอโนลต์ กัปตืร์ (RENAULT CAPTUR) โจทย์ที่กำหนดให้ในการออกแบบและพัฒนารถแนวคิดคันนี้ คือ "รถครอบครัวที่เรียบง่าย แต่เร้าใจ และสามารถแสดงปรัชญาการออกแบบรถอเนกประสงค์ของ เรอโนลต์ ได้อย่างแจ่มชัด" เพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว สิ่งที่ทีมออกแบบตัดสินใจทำก็คือ ผสมผสานความเร้าใจเข้ากับสถาปัตยกรรมของรูปทรงก้อนเดียว อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า A SINGLE-VOLUME ARCHITECTURE และผลลัพธ์ก็คือ รถอเนกประสงค์ขนาดเล็กกะทัดรัดยาว 4.25 ม. มีเส้นกรอบตัวถังที่ลื่นไหลทรงพลัง และให้ความรู้สึกของรถสปอร์ท พร้อมป้ายชื่อ เรอโนลต์ แอร์-สปาศ "แอร์-สปาศ นำคุณสมบัติต่างๆ ที่แต่ก่อนเคยมองกันว่าเป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามมารวมเข้าไว้ด้วยกัน นั่นคือ ครอบครัว ประโยชน์ใช้สอย ลักษณะสปอร์ท และความเร้าใจ" ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบรถแนวคิดและรถโชว์ของยักษ์ใหญ่เมืองน้ำหอมอธิบายแก่ผู้สื่อข่าวในงานที่รถแนวคิดคันนี้เปิดตัว "มันตอบสนองความคาดหวังของสังคมยุคโมเดิร์นได้อย่างดี" การเลือกใช้วัสดุบางชนิดและการเลือกตัวถังสีทองน้ำผึ้ง (HONEY-GOLD) มีแรงบันดาลใจจากอาหารมื้อเช้าของครอบครัวในวันอาทิตย์ "ความอบอุ่นของช่วงเวลาที่สมาชิกครอบครัวอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แสดงออกมาในรูปลักษณ์ของความร้อนและความหวาน สีขาวของนมวัว โทนสีทองของน้ำผึ้ง และสีน้ำตาลของชอโคแลท" ผู้รับผิดชอบการเลือกสีและวัสดุให้อรรถาธิบาย ฟังแล้วก็เป็นงงนิดๆ เมื่อเปิดประตูข้าง 2 บานที่เปิดแยกจากกัน โดยไม่มีเสาค้ำยันกลาง แล้วก้าวเข้าไปนั่งในรถ จุดสะดุดตาจุดแรก น่าจะเป็นห้องโดยสารส่วนหลัง ซึ่งไม่มีเก้าอี้ที่นั่ง ตำแหน่งที่ควรจะเป็นที่นั่ง ถูกแทนที่ด้วยแท่งลูกบาศก์เรียงเป็นทิวเป็นแถว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ! ผู้ออกแบบอธิบายว่าตั้งใจทำให้มีลักษณะเหมือนเป็นสนามเด็กเล่น ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กจิ๋วจำนวน 27 ตัว ที่ซ่อนอยู่ข้างใต้ ทำให้สามารถเพิ่ม หรือลดระดับของแท่งลูกบาศก์แต่ละแท่ง และพลิกแพลงรูปลักษณ์แท่งลูกบาศก์ทั้งกลุ่มได้รวม 4 แบบ คือ ตั้งแต่เป็นพื้นเรียบๆ ไปจนถึงเป็นโต๊ะ และเก้าอี้ที่นั่งได้จริง และทั้งหมดนี้จะทำได้เฉพาะเมื่อรถยังจอดนิ่งอยู่กับที่เท่านั้น อธิบายไปก็เหนื่อยไป ปกติรถแนวคิดมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบที่วันหนึ่งจะเปลี่ยนสภาพเป็นรถตลาด กับแบบที่วันหนึ่งจะถูกส่งไปเก็บไว้ในกรุ คันนี้น่าจะเป็นแบบหลัง รถตู้งามหรูดั่งรถสปอร์ท PEUGEOT HX1 รถแนวคิดสายพันธุ์ฝรั่งเศสอีกคันหนึ่งที่ดูแล้ว มีโอกาสน้อยมากที่จะกลายสภาพเป็นรถตลาด ไม่วาชาตินี้หรือชาติไหน ? เพิ่งอวดตัวแบบ WELT PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทในเยอรมนี เมื่อกลางเดือนกันยายนปีกระต่าย เป็นรถแนวคิดที่กำเนิดขึ้นในเมืองน้ำหอม ด้วยโจทย์ "ทำรถนั่ง 6 คน ที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นเป็นเป้าสายตา มีบุคลิกของรถสปอร์ท ทรงประสิทธิภาพ และขับได้อย่างเร้าใจมิมีใดเทียม" เพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว สิ่งที่ทีมงานออกแบบและพัฒนารถแนวคิดคันนี้ ตัดสินใจทำก็คือ รังสรรค์รถที่สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ในทุกกรณีและในทุกช่วงเวลา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้ชีวิตของผู้ขับและผู้โดยสาร สิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวเนื่องกับลักษณะของการขับขี่ หรือสิ่งแวดล้อมใดๆ ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เรื่องที่นั่งเทียนเขียนขึ้นเอง แต่ว่ากันตามถ้อยคำที่ค่าย "สิงห์เผ่น" ร่ายยาวไว้ในข้อมูลที่เผยแพร่ตามสื่อต่างๆ รวมทั้งสื่อเวบไซท์ ตัวถังยาว 4.954 ม. กว้าง 1.990 ม.และสูง 1.373 ม. ของรถแนวคิด เปอโฌต์ อาชอิกซ์ 1 วัดค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศได้เท่ากับ 0.28 เป็นตัวเลขที่เยี่ยมยอดมาก โดยเฉพาะเมื่อคำนึงว่าตั้งใจออกแบบให้เป็นรถตู้อเนกประสงค์ไม่ใช่รถสปอร์ท หน้าตาและรูปทรงองค์เอวของตัวถังที่กว้าง แต่เตี้ยดูดีมากเมื่อจอดนิ่งอยู่กับที่ และยิ่งดูดีขึ้นไปอีก เมื่อผู้ขับเอื้อมมือไปกดปุ่มเปิดประตูข้าง เป็นประตูบานโต 2 บาน ที่เปิดแยกจากกันโดยไม่มีเสาค้ำยันกลางดังที่เห็นในภาพ แต่ที่มองไม่เห็นในภาพ คือ จังหวะและลักษณะการเปิดประตูที่บอกไม่ถูกว่าเหมือนอะไร ? บอกได้แต่เพียงว่า ค่าย "สิงห์เผ่น" เรียกประตูแบบนี้เป็นภาษาของอดีตชาติศัตรูว่า HALF-SCISSOR DOORS ซึ่งยังคิดไม่ออกว่าควรจะแปลเป็นภาษาไทยยังไงดี เมื่อก้าวผ่านประตูกรรไกรที่ว่านี้แล้วเข้าไปนั่งในห้องโดยสารที่กว้างขวางสมเป็นรถตู้อเนกประสงค์ ก็อาจเกิดความสงสัยว่า ทำไมมีเก้าอี้ที่นั่งแค่ 4 ตัว ไหนบอกว่าเป็นรถนั่ง 6 คน ? ที่จริงนั่งได้ 6 คน อย่างที่เขาว่านั่นแหละ แต่เก้าอี้ที่นั่งแถว 2 ซ่อนตัว ซ้อนอยู่ใต้เก้าอี้ที่นั่งแถวแรก ถ้าไม่สังเกตจริงๆ ก็จะมองไม่เห็น เมื่อต้องการใช้งาน ก็เพียงแค่ดึงออกมาง่ายๆ เป็นเก้าอี้ที่นั่งที่ผู้ผลิตรถยนต์เมืองน้ำหอมเรียกในภาษาของเมืองผู้ดีว่า PULL-OUT SEATS หรือ "เก้าอี้ชักเข้าชักออก" เหมือนคำพูดของนักการเมืองในประเทศอ่อนการพัฒนาบางประเทศที่ผู้อ่าน "ฟอร์มูลา" คุ้นเคยกันดีนั่นแหละ ที่น่าสนใจไม่ยิ่งหย่อนกว่ารูปลักษณ์ทั้งภายนอกและภายในของตัวถัง คือ ระบบขับ เป็นระบบขับที่ทำขึ้นและใช้งานได้แล้วจริงๆ ไม่ใช่ดูเพ้อๆ ฝันๆ เหมือนตัวถัง เป็นระบบขับเคลื่อนทุกล้อแบบไฮบริดโดยใช้เครื่องยนต์ดีเซลทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า อย่างที่เคยเห็นกันมาก่อนแล้วในรถตลาด เปอโฌต์ 3008 ไฮบริด 4 (PEUGEOT 3008 HYBRID4) ซึ่งใช้เครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,997 ซีซี ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 27 กิโลวัตต์/37 แรงม้า ที่ต่างกันก็คือ ในกรณีของรถแนวคิดคันนี้ เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรงที่ใช้ขับล้อหน้าผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ เป็นเครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์/204 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ขับล้อคู่หลัง เป็นมอเตอร์ขนาด 70 กิโลวัตต์/95 แรงม้า ซึ่งรับพลังไฟจากแบทเตอรี ลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) เมื่อทำงานร่วมกันในลักษณะของรถขับเคลื่อนทุกล้อ จะได้กำลังสูงสุด 220 กิโลวัตต์/299 แรงม้า และจะมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยแค่ 3.2 ลิตร/100 กม.หรือ 32.2 กม./ลิตร กับมีอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่น่าพอใจมาก คือ แค่ 83 กรัม/กม. เท่านั้นเอง เนื่องจากเป็นรถไฮบริดชนิดที่ต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟเข้าแบทเตอรี หรือที่เรียกกันในภาษารถยนต์ว่า PLUG-IN HYBRID เมื่อวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว รถแนวคิดคันนี้ จึงสามารถวิ่งได้ไกลกว่ารถไฮบริดทั่วๆ ไป คือประมาณ 30 กม. ต่อการชาร์จแต่ละครั้ง รถยักษ์ลูกเล่นแยอะแยะ CITROEN TUBIK ที่งานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทครั้งล่าสุด ซึ่งมีขึ้นในเมืองเบียร์เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีรถแนวคิดสารพัดสัญชาติอวดตัวในลักษณะ WELT PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" นับ 10 คัน แต่ละคันล้วนมีบุคลิกและคุณลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ ซีตรอง ทูบิก (CITROEN TUBIK) รถแนวคิดติดเครื่องหมาย "จ่าโท" ที่เลือกมาให้ชมกันในเดือนที่น้ำน่าจะลดหมดแล้ว เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถตู้ขนาดใหญ่โตมโหฬาร จนทีมงานของ "ระเบียงรถใหม่" เห็นพ้องต้องกันเป็นเสียงเดียว ว่าสมควรเปลี่ยนชื่อจาก TUBIK เป็น TOO BIG เป็นรถที่ออกแบบและพัฒนาตามแนวความคิดที่ว่า ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารเดินทางรวดเร็วกว่าผู้คน และเวลาที่ใช้ในการเดินทางสำคัญกว่าระยะทาง TRAVEL SHOULD BE FUN หรือ "การเดินทางต้องสนุก" ตัวถังซึ่งยาว 4.800 ม. กว้าง 2.080 ม. และสูงถึง 2.050 ม. ออกแบบเพื่อให้ผู้ขับและผู้โดยสารอีก 8 คน สามารถเดินทางไปไหนมาไหนด้วยกัน โดยไม่จำเป็นต้องทิ้งสัมภาระไว้ที่บ้าน เพราะไม่มีที่บรรทุก หน้าตาและรูปทรงองค์เอวของตัวถังที่ดูใหญ่โตมโหฬารเหมือนชื่อใหม่ที่คณะเราตั้งให้ เป็นผลงานรังสรรค์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถ ซีตรอง ไทพ์ อาช CITROEN TYPE H ที่เคยโด่งดังในอดีต (ขายได้มากกว่าครึ่งล้านคันในช่วงเวลา 34 ปีที่อยู่ในตลาด) เป็นตัวถังทรงกล่องเดียวที่ออกแบบในลักษณะอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า ASYMMETRIC ซึ่งมีผู้แปลเป็นภาษาไทยสไตล์อินตระเดียว่า "อสมมาตร" คือ ด้านขวากับด้านซ้ายมีรูปลักษณ์ไม่เหมือนกัน กล่าวคือ ประตูข้างด้านผู้ขับซึ่งมีอยู่เพียงบานเดียว เป็นประตูติดบานพับที่เปิดพลิกไปข้างหน้าเหมือนประตูรถทั่วไป แต่ด้านผู้โดยสารซึ่งก็มีบานเดียวเช่นกัน เป็นประตูบานโตที่เปิดกว้างตลอดตัวรถ โดยพลิกขึ้นข้างบนเหมือนประตูปีกนก เวลาเปิดจะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องโดยสารได้ทะลุปรุโปร่ง เป็นห้องโดยสารซึ่งออกแบบเพื่อมีรูปลักษณ์อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษอย่างไพเราะเพราะพริ้งว่า LOUNGE-STYLE COCOON แต่เมื่อแปลเป็นภาษาไทย จะฟังขัดหูพิกล คือ "รังดักแด้ที่อยู่สบายเหมือนห้องเริงรมย์" ส่วนที่เป็นห้องผู้ขับมีลักษณะเป็นวงกลมที่รวบรวม เก้าอี้ผู้ขับ แป้นบังคับควบคุม พวงมาลัย และจอแสดงภาพอย่างที่เรียกกันว่า CIRCULAR HEAD-UP DISPLAY ไว้เป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน ทีมออกแบบของค่าย "จ่าโท" เรียกรูปลักษณ์อย่างนี้ว่า CYCLOTRON ส่วนหลังซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับผู้โดยสาร ติดตั้งเก้าอี้ที่นั่งรวม 3 แถว และเพื่ออำนวยความสะดวกสบายระดับสูงสุดเก้าอี้ที่นั่งแต่ละตัวล้วนเป็นอิสระจากกัน นอกจากนั้นผู้โดยสารยังสามารถปรับแปลงเก้าอี้ที่นั่งเหล่านี้ได้ตามใจชอบ เก้าอี้แถวหน้าสามารถหมุนหันหน้าเข้าหากัน ส่วนแถวกลางซึ่งนั่งได้ 3 คน สามารถปรับเปลี่ยนเป็นโต๊ะขนาดเล็ก หรือพับพิงกับเก้าอี้แถวหลังเพื่อให้เกิดที่ว่างกว้างเกือบ 2 ตารางเมตร หรือแม้แต่พับราบเพื่อให้มีลักษณะเป็นเก้าอี้นอน อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า MERIDIENNE-STYLE SEAT นอกจากเก้าอี้ที่นั่งที่ปรับรูปลักษณ์ได้สารพัดแบบดังที่ว่า LOUNGE-STYLE COCOON ของค่าย "จ่าโท" ยังติดตั้งจอขนาดยักษ์และระบบเครื่องเสียงที่ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ผิดอะไรกับเมื่อนั่งอยู่ในห้องพักผ่อนของบ้านอีกต่างหาก ทั้งหลายทั้งปวงที่ร่ายยาวในย่อหน้านี้ เป็นลักษณะการออกแบบที่ค่าย "จ่าโท" บอกว่า น่าจะทำให้ผู้โดยสารผ่อนคลายได้อย่างดี แม้ในยามที่เดินทางไปในรถคันนี้อย่างยาวนานหลายๆ ชั่วโมงหรือเป็นวัน เนื่องจากเป็นรถแนวคิดที่ทำขึ้นเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการออกแบบตัวถังและห้องโดยสาร ค่าย "จ่าโท" จึงไม่ได้เน้นเรื่องเครื่องยนต์กลไกและระบบขับ เพียงแต่บอกไว้พอเป็นสังเขปว่า ออกแบบให้เป็นรถขับเคลื่อนทุกล้อแบบไฮบริด โดยใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในขับล้อคู่หน้า และใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับล้อคู่หลัง เป็นระบบขับที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยจากปลายท่อไอเสีย เช่นเดียวกับรถแนวคิดอีก 2 คันที่เพิ่งผ่านตาไป โอกาสที่วันหนึ่งรถแนวคิดคันนี้จะเปลี่ยนฐานะเป็นรถตลาด น่าจะใกล้เคียงกับ 0 สปอร์ทไฮบริดติดตราแมว JAGUAR C-X16 ที่เลือกมาให้ชมเป็นคันที่ 4 เป็นผลงานของผู้ผลิตรถยนต์รายเก่าแก่เมืองผู้ดีแต่มีเจ้าของนั่งเคี้ยวโรตีอยู่ในเมืองภารตะ และแตกต่างจาก 3 คันแรก ตรงที่มีโอกาสเต็มร้อยที่จะเปลี่ยนสภาพเป็นรถตลาด เพิ่งอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทครั้งที่ 64 เมื่อเดือนกันยายนปีกระต่าย พร้อมกับป้ายชื่อ แจกวาร์ ซี-เอกซ์ 16 เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถสปอร์ท 2 ที่นั่ง อนุกรมใหม่ ที่ค่าย "แมวป่า" จะบรรจุเข้าสู่สายการผลิตในเวลาไม่การเกินรอ หน้าตาและรูปทรงองค์เอวของรถตลาดรุ่นที่ว่า คาดหมายกันว่า คงจะเปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อย จากขณะที่ยังติดป้ายว่าเป็นรถแนวคิด หน้าตาและรูปทรงองค์เอวของตัวถังยาว 4.445 ม. กว้าง 2.048 ม. และสูง 1.297 ม. ที่สามารถสัมผัสได้อย่างใกล้ชิดขณะปรากฏตัวบนแท่นหมุนขนาดยักษ์ในงานแสดงรถยนต์ที่กล่าวข้างต้น เห็นแล้วต้องยอมรับว่าออกแบบได้ดี และดูดีกว่ารถรุ่นปัจจุบันของค่ายนี้ ที่มีจำหน่ายในตลาดทั่วโลกโดยติดป้ายชื่อ แจกวาร์ เอกซ์เค (JAGUAR XK) เป็นตัวถังอลูมิเนียมล้วนที่มีน้ำหนักตัวเปล่าประมาณ 1,600 กก. นักวิจารณ์บางคนให้ความเห็นว่า ส่วนหน้าเห็นแล้วชวนให้นึกถึงรถสปอร์ทของยักษ์รองเมืองยุ่น คือ นิสสัน แฟร์เลดี เซด (NISSAN FAIRLADY Z) ในขณะที่อีกคนบอกว่า บั้นท้ายเหมือน "โคลนนิง" จากรถสปอร์ทสัญชาติเดียวกันอย่าง แอสตัน มาร์ทิน (ASTON MARTIN) ได้ยินแล้วก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยสักเท่าไร แต่ยืนยันได้ว่า รถแนวคิดคันนี้ มุมที่มองแล้วดูสวยที่สุด คือ มองจากด้านหลังเฉียงๆ อย่างในภาพใหญ่ เป็นรถวางเครื่องหน้า/ขับเคลื่อนล้อหลัง เหมือนรถทุกๆ อนุกรมที่ค่ายนี้ผลิตขายปัจจุบัน ที่ไม่เหมือน คือ เป็นระบบขับเคลื่อนล้อหลังแบบไฮบริด โดยใช้เครื่องยนต์เบนซิน DOHC วี 6 สูบ 2,995 ซีซี ติดซูเพอร์ชาร์เจอร์ ให้กำลังสูงสุด 280 กิโลวัตต์/380 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร/45.9 กก.-ม. ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 70 กิโลวัตต์/95 แรงม้า 235 นิวตัน-เมตร/24.0 กก.-ม. แต่มีลักษณะการทำงานแตกต่างจากระบบขับไฮบริดส่วนใหญ่ที่ผู้ใช้รถในบ้านเราคุ้นเคยกัน ในสภาพปกติรถแนวคิด แจกวาร์ ซี-เอกซ์ 16 จะวิ่งด้วยล้อคู่หลังด้วยกำลังของเครื่องยนต์ซูเพอร์ชาร์จ 280 กิโลวัตต์/380 แรงม้า เพียงอย่างเดียว จนเมื่อสัญญาณกราฟิคบนแผงหน้าปัดบ่งบอกว่าสามารถเรียกพลังเพิ่มจากมอเตอร์ไฟฟ้าได้ และผู้ขับรถกดปุ่มเพิ่มพลัง "PUSH TO PASS" ซึ่งติดตั้งอยู่บนพวงมาลัย มอเตอร์ไฟฟ้าก็จะเพิ่มกำลัง 70 กิโลวัตต์/95 แรงม้า เสริมการทำงานของเครื่องยนต์ในทันที แต่จะให้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ คือ แค่ 10 วินาทีเท่านั้นเอง ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่กล่าวข้างต้นและแบทเตอรี ลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) 300 โวลท์ 1.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง ที่ป้อนพลังไฟให้แก่มอเตอร์ ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว ซึ่งช่วยป้องกันการสูญเสียสมรรถนะเพราะความร้อนได้อย่างดี และก็เช่นเดียวกับรถไฮบริดส่วนใหญ่ รถแนวคิดคันนี้ติดตั้งระบบ KERS หรือ KINETIC ENERGY RECOVERY SYSTEM ซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานจลน์เป็นพลังงานไฟฟ้าป้อนเข้าสู่แบทเตอรีโดยอัตโนมัติเมื่อเหยียบห้ามล้อ นอกจากระบบขับแบบไฮบริดดังกล่าวแล้ว เพื่อผลด้านการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง รถแนวคิดคันนี้ได้ติดตั้งระบบ START/STOP SYSTEM ไว้ด้วย ระบบนี้จะตัดการทำงานของเครื่องยนต์ในเวลาเพียง 300 มิลลิวินาทีหลังจากรถหยุด และมีอุปกรณ์ที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า TSS หรือ TWIN SOLENOID STARTER ซึ่งสามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ขึ้นใหม่ๆ ในทันที่ผู้ขับเลื่อนทางจากแป้นห้ามล้อไปยังแป้นคันเร่ง สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของผู้รังสรรค์ รถไฮบริดซึ่งติดตั้งระบบเกียร์ 8 จังหวะคันนี้ สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาแค่ 4.4 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 300 กม./ชม. ที่เยี่ยมยอดมากสำหรับรถที่แรงและเร็วขนาดนี้ คือ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 14.5 กม./ลิตร และอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์แค่ 165 กรัม/กม. รถซูเพอร์จิ๋วแนวคิดซูเพอร์เจ๋ง SMART FORVISION แล้วก็ถึงคิวบู๊ของรถแนวคิดสัญชาติเยอรมันพันธุ์แท้ โดยเริ่มกันที่ สมาร์ท ฟอร์วิชัน (SMART FORVISION) ผลงานชิ้นใหม่ล่าสุดของผู้ผลิตรถจิ๋ว ซึ่งรับบทบาทเป็น THINK TANK หรือ "ถังความคิด" ในการพัฒนารถยนต์นั่งสำหรับใช้งานในเมืองให้แก่ยักษ์ใหญ่ ไดมเลร์-เบนซ์ เพิ่งอวดตัวแบบ WELT PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทครั้งล่าสุดเมื่อกลางเดือนกันยายนปีกระต่าย และอาจต้องรอจนถึงปีกระแตจึงจะเปลี่ยนสภาพจากรถแนวคิดเป็นรถตลาด เป็นผลงานจากความร่วมมือกับค่าย BASF บริษัทผู้ป้อนชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่ที่สุดที่อยู่ในแวดวงของอุตสาหกรรมเคมี และเป็นผลงานที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อแสดงให้ผู้คนได้รับรู้ว่า ผู้ผลิตรถจิ๋วรายนี้เจ๋งและแจ๋วปานใดในฐานะผู้ยืนอยู่แถวหน้าในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่มองก้าวไกลไปในอนาคต โดยผสมผสานแนวทางการออกแบบสำหรับอนาคต เข้ากับเทคโนโลยีที่เกี่ยวเนื่องกับปัจจัยสำคัญ 3 ประการ คือ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การออกแบบรถยนต์น้ำหนักเบา และการบริหารจัดการอุณหภูมิ ในตัวถังนั่งได้ 2 คน ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกันมากกับรถตลาดขนาดจิ๋วที่ผู้ใช้รถในเมืองเบียร์คุ้นเคยกันดี คือ รถ สมาร์ท ฟอร์ทู คูเป (SMART FORTWO COUPE) มีรายละเอียดมากมายที่สนับสนุนข้อความในย่อหน้าข้างต้น หากว่ากันโดยละเอียดครบถ้วนไม่มีตกไม่มีหล่น ก็คงต้องใช้เวลายาวนานกว่าช่วงเวลาที่น้ำท่วมเมืองปทุม จึงเลือกมาเพียงบางจุดที่เห็นว่าน่าสนใจ เริ่มจากหลังคารถที่ออกแบบเหมือนแซนด์วิชมีช่องปรุเป็นรูปหกเหลี่ยมทั้งเล็กและใหญ่ดังที่เห็นในภาพใหญ่หน้าซ้ายมือ สิ่งที่สอดแทรกอยู่ระหว่างแผ่นแซนด์วิชที่ว่านี้ไม่ใช่ไส้กรอกหรือหมูแฮม หากแต่เป็นเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดโปร่งใส อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า TRANSPARENT SOLAR ในวันแดดจ้าท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆหมอก พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากเซลล์เหล่านี้จะเพียงพอสำหรับระบบระบายอากาศ ทำให้ห้องโดยสารเย็นสบายแม้ว่าอากาศภายนอกร้อนระอุ ส่วนในวันที่ฟ้าหม่นแดดอ่อน พลังงานที่ได้อาจจะลดลงบ้าง แต่ก็ยังเพียงพอสำหรับการทำงานของอุปกรณ์มัลทิมีเดียและพัดลมจำนวน 3 ตัวที่ใช้ในระบบบริหารจัดการอุณหภูมิ นับเป็นการลงทุนเพียงครั้งเดียวแล้วได้พลังงานจากธรรมชาติโดยไม่มีต้นทุน จนกว่าเซลล์แสงอาทิตย์จะหมดอายุการใช้งานซึ่งก็นานหลายปี อุปกรณ์ภายในห้องโดยสารได้รับการปกป้องจากความร้อนภายนอก โดยการปิดทับกระจกข้างและกระจกหน้าบานโตด้วยแผ่นฟิล์มสะท้อนรังสีอินฟราเรดที่ BASF พัฒนาขึ้นและนำมาใช้เป็นครั้งแรกในรถยนต์ แผ่นฟีล์มดังกล่าวนี้จะสะท้อนเฉพาะแสงอินฟราเรด และไม่ปิดกั้นคลื่นวิทยุซึ่งจำเป็นต้องใช้กับระบบจีพีเอส บลูทูธ โทรศัพท์มือถือ หรือบัตรผ่านทางด่วน นอกจากนั้นยังมีการหุ้มฉนวนชิ้นส่วนตัวถังบางชิ้น ด้วยโฟมสมรรถนะสูงซึ่งก็เป็นผลิตภัณฑ์ของ BASF เช่นกัน โฟมที่สามารถติดตั้งได้ในทุกตำแหน่งของตัวรถนี้ จะช่วยให้ห้องโดยสารเย็นสบายในหน้าร้อน และลดทอนความเย็นในหน้าหนาว กันได้ทั้งความร้อนและความเย็นอย่างนี้ ถ้าแถมกันน้ำได้อีกอย่าง มีใครสั่งเข้ามาขายในเมืองไทย เป็นได้ขายกันระเบิดระเบ้อ ล้อรถทำจากพลาสติคกำลังสูงที่ BASF พัฒนาขึ้นและนำมาทดลองใช้เป็นครั้งแรกในรถแนวคิดคันนี้ เป็นล้อน้ำหนักเบาที่ช่วยลดน้ำหนักตัวของรถได้ถึง 3 กก./ล้อ ในขณะที่ประตูข้างทั้ง 2 ด้าน ทำจากวัสดุผสมสมรรถนะสูงอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า CARBON-FIBER-REINFORCED RESIN เป็นวัสดุมวลเบาที่ช่วยลดน้ำหนักได้มากกว่าร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับประตูเหล็กกล้า และประมาณร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับประตูแบบเดียวกันที่ทำจากอลูมิเนียม เป็นรถที่ออกแบบให้ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ แต่ไม่ยอมให้รายละเอียดใดๆ ต้องคาดเดากันเอาเอง หากเป็นระบบเดียวกับที่ใช้ในรถไฟฟ้า สมาร์ท ฟอร์ทู อีเลคทริค ดไรฟ (SMART FORTWO ELECTRIC DRIVE) ที่กำลังทดลองวิ่งใช้งานอยู่ในหลายเมืองของยุโรปและสหรัฐอเมริกา ก็เป็นระบบขับล้อหลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 55 กิโลวัตต์/75 แรงม้า สามารถทำความเร็วสูงสุดระดับ 120 กม./ชม. ไม่มืดไม่มัวไม่กลัวแสงอาทิตย์ AUDI A2 CONCEPT ในบ้านเราชื่อของรถหรู เอาดี (AUDI) อาจเป็นที่ยอมรับไม่เท่าเทียมกับชื่อ เมร์เซเดส-เบนซ์ (MERCEDES-BENZ) หรือ บีเอมดับเบิลยู (BMW) ที่ครองใจผู้ใช้รถเงินถุงเงินถังมานมนาน ที่จริงแล้วหากพิจารณาจากทั้งเทคโนโลยีอันก้าวล้ำนำสมัยและวิสัยทัศน์ในการแสวงหานวัตกรรมใหม่ๆ ค่าย "สี่ห่วง" สามารถสู้กันได้สบายมากกับผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเดียวกัน 2 ค่ายนี้ ในเดือนของการชุมนุมรถแนวคิดสารพัดรูปลักษณ์นี้ มีผลงานใหม่ของค่าย "สี่ห่วง" รวมอยู่ด้วย 2 ชิ้น ชิ้นแรกที่เห็นอยู่นี้เป็นรถแนวคิดที่อีกไม่นานคงเปลี่ยนสภาพเป็นรถตลาด เพิ่งปรากฏตัวแบบ WELT PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทครั้งล่าสุดเมื่อกลางเดือนกันยายนปีกระต่าย พร้อมกับป้ายชื่อ เอาดี เอ 2 คอนเซพท์ (AUDI A2 CONCEPT) เป็นรถแนวคิดซึ่งเป็นต้นแบบของรถอเนกประสงค์ขนาดจิ๋ว ที่คาดหมายกันว่าอีกไม่นานจนเกินรอค่าย "สี่ห่วง" จะนำออกสู่ตลาดในฐานะทายาทของรถ เอาดี เอ 2 (AUDI A2) ที่เคยผลิตขายเมื่อทศวรรษก่อน ตัวถังซึ่งยาว 3.804 ม. กว้าง 1.693 ม. และสูง 1.494 ม. มีน้ำหนักตัวซึ่งจำกัดไว้ที่ระดับ 1,150 กก. ด้วยเทคโนโลยีการออกแบบตัวถังน้ำหนักเบาขั้น ULTRA-LIGHTWEIGHT CONSTRUCTION ของค่ายนี้ แผงหลังคาซึ่งทำจากกระจกบานโตมีคุณสมบัติพิเศษ คือ ในสภาพปกติจะทึบแสงและป้องกันรังสีอินฟราเรดในแสงอาทิตย์ได้อย่างดี แต่เมื่อกดปุ่มเพื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าให้ไหลผ่าน จะเปลี่ยนสภาพเป็นกระจกใสที่แสงส่องผ่านได้โดยไม่มีการบิดเบี้ยวใดๆ เป็นการออกแบบเพื่อบริหารจัดการอุณหภูมิในตัวรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายในห้องโดยสารซึ่งมีพื้นเรียบไร้อุโมงค์กลาง ติดตั้งเก้าอี้ที่นั่ง 2 แถว และทำแผงหน้าปัดอุปกรณ์เป็น 2 ส่วน ส่วนที่อยู่เบื้องหน้าผู้ขับซึ่งออกแบบเป็นรูปครึ่งวงกลม ติดตั้งพวงมาลัยวงกลมที่ลบขอบทั้งด้านบนด้านล่างดังที่เห็นในภาพเล็กขวามือ ในขณะที่ด้านข้างทั้ง 2 ด้านออกแบบให้มีลักษณะเหมือนเขาสัตว์ที่ชี้ปลายเข้าสู่กึ่งกลางของพวงมาลัย สิ่งที่ติดตั้งอยู่บนเขาสัตว์ที่ว่านี้ คือ ระบบสัมผัสอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า TOUCH-SENSITIVE SURFACE ซึ่งใช้ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ แทนการกดปุ่ม มีก็แต่เพียงไฟเลี้ยวและที่ปาดน้ำฝนเท่านั้นที่ยังคงควบคุมการทำงานด้วยก้านบังคับที่ติดอยู่บนแกนพวงมาลัยเหมือนรถทั่วๆ ไป ที่ค่อนข้างจะไฮเทคและไม่เคยพบเคยเห็นในรถติดล้อคันใดก็คือ เมื่อแตะระบบสัมผัสพร้อมๆ กันทั้ง 2 ด้าน รถแนวคิดคันนี้ก็จะเปลี่ยนลักษณะการบังคับขับขี่เป็นระบบกึ่งอัตโนมัติอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า SEMI-AUTONOMOUS DRIVING MODE เป็นนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับ โดยเฉพาะการขับขี่ในสภาพการจราจรที่ติดขัด และรถวิ่งได้อย่างช้าๆ เหมือนเต่า เป็นรถขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ โดยติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 85 กิโลวัตต์/116 แรงม้า ที่ให้กำลังต่อเนื่อง 60 กิโลวัตต์/82 แรงม้า และแรงบิดต่อเนื่อง 95 นิวตัน-เมตร/9.7 กก.-ม. ไว้ที่หน้ารถ มอเตอร์ที่ว่านี้ส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าผ่านระบบเกียร์จังหวะเดียว และรับพลังไฟจากแบทเตอรี ลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขนาด 31 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งติดตั้งอยู่ในพื้นรถที่ออกแบบเป็น 2 ชั้น อย่างที่เรียกให้ชวนกินภาษาอังกฤษว่า SANDWICH FLOOR การประจุไฟแต่ละครั้งด้วยไฟบ้าน 230 โวลท์ ต้องใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง แต่จะลดเหลือเพียง 1.5 ชั่วโมง เมื่อใช้ไฟแรงสูง 3 ยก 400 โวลท์ นอกจากนั้น ยังสามารถใช้ได้ด้วยกับระบบประจุไฟไร้สาย ที่ค่ายนี้กำลังนี้กำลังพัฒนาและตั้งชื่อว่า AUDI WIRELESS CHARGING พิสัยการเดินทางและสมรรถนะความเร็วของผู้รังสรรค์ เมื่อประจุไฟเต็มหม้อรถแนวคิดติดตรา "สี่ห่วง" ซึ่งบังคับเลี้ยวด้วยระบบ STEER-BY-WIRE และห้ามล้อด้วยระบบ BRAKE-BY-WIRE อันเป็นระบบบังคับควบคุมซึ่งไม่มีการเชื่อมต่อด้วยกลไกหรือไฮดรอลิคใดๆ คันนี้ สามารถเดินทางได้ไกลประมาณ 200 กม. และสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 9.3 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 150 กม./ชม. เนื่องจากต้องการให้วิ่งได้ไกลไม่ใช่วิ่งได้เร็ว รถนาครไม่ง้องอนเชื้อเพลิงเหลว AUDI URBAN CONCEPT ปิด "ระเบียงรถใหม่" ในเดือนที่ผู้คนครึ่งค่อนเมืองยังไม่หายขาดจากโรงกลัวน้ำ ด้วยผลงานชิ้นโบว์แดงอีกชิ้นหนึ่งของค่าย "สี่ห่วง "ที่เพิ่งอวดตัวแบบ" ครั้งแรกในโลก"ที่งานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทครั้งที่ 14 พร้อมๆ กับรถแนวคิดอีก 5 คันที่ปรากฏตัวใน "ระเบียงรถใหม่" เดือนนี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถนั่ง 2 คน ที่ผสมผสานคุณลักษณะของรถแข่ง (RACE CAR) รถเปิดประทุนแบบโรดสเตอร์ (ROADSTER) รถขับเอามัน (FUN CAR) และรถนาคร (CITY CAR) ไว้ในรถคันเดียว ออกแบบและพัฒนาโดยทีมงานของค่าย "สี่ห่วง" เพื่อตอบโจทย์ที่ตั้งไว้ว่า "รถยนต์เป็นสิ่งจำเป็นปานใดในการนำมาซึ่งการขับขี่ที่น่าเพลินใจและการเดินทางในเขตเมืองด้วยแนวทางใหม่ๆ" เป็นการออกแบบและพัฒนาที่มุ่งเน้นเป็นพิเศษในสิ่งที่เป็นเนื้อแท้ของการขับขี่และให้อิสระเสรีแก่ผู้ขับในระดับสูงสุด ตัวถังยาว 3.219 ม. กว้าง 1.678 ม. และสูงแค่ 1.189 ม. มีน้ำหนักตัวเปล่าเบาหวิวแค่ 480 กก. เพราะมีเปลือกตัวถังทำจากวัสดุสังเคราะห์มวลเบาแต่แข็งแรงซึ่งเรียกกันในภาษาอังกฤษว่า CARBON FIBER-REINFORCED POLYMER หรือ CFRP ในขณะที่โครงตัวถังและส่วนที่เป็นห้องโดยสารทำจาก CFRP และอลูมิเนียมซึ่งก็เป็นโลหะมวลเบาแต่แข็งแรงเช่นกัน เป็นตัวถังที่ไม่มีประตูข้าง มีแต่หลังคาที่ออกแบบเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนหน้ากับส่วนหลัง ส่วนหน้าซึ่งวางอยู่บนรางสามารถใช้มือผลักให้ไปซ้อนทับอยู่บนส่วนหลังที่ยึดติดตรึงอยู่กับตัวถัง เวลาจะเข้าไปนั่งในรถจึงไม่ต้องมีการเปิดประตู แต่ต้องใช้มือผลักหลังคา แล้วก้าวเข้าไปนั่งในรถ เหมือนเวลาที่ก้าวเข้าไปนั่งในอ่างอาบน้ำ ภายในห้องโดยสารซึ่งติดตั้งเก้าอี้ที่นั่งคู่กัน 2 ตัว โดยที่ตัวขวาซึ่งเป็นเก้าอี้ผู้โดยสารตั้งเยื้องไปข้างหลังประมาณ 30 ซม. ออกแบบเพื่อให้ผู้ขับและผู้โดยสารไม่ว่าจะเพศเดียวกัน หรือต่างเพศมีความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งจู๋จี๋กันอยู่ในห้องขับอากาศยาน อุปกรณ์และโครงสร้างทุกชิ้นภายในห้องโดยสาร ออกแบบโดยเน้นน้ำหนักเบา แผ่นปูพื้นรถไม่ใช้พรม แต่ใช้เสื่อซึ่งทำจากเส้นใยพิเศษที่พัฒนาเพื่อใช้ทำรองเท้านักกีฬา เป็นวัสดุที่ทนทานและกันน้ำได้อย่างดี นอกจาก เอาดี เออร์เบิน คอนเซพท์ (AUDI URBAN CONCEPT) ซึ่งเป็นรถแนวคิดที่มีหลังคาไม่มีประตูแล้ว ค่าย "สี่ห่วง" ยังทำรถชื่อเดียวกันหน้าตาเหมือนกันแต่เป็นรถมีประตูไม่มีหลังคาไว้ด้วย ดังที่เห็นในภาพใหญ่ ทั้งในรูปลักษณ์ของรถมีหลังคาไร้ประตูและรถมีประตูไร้หลังคา รถแนวคิด 2 คันนี้ไม่จำเป็นต้องงอนง้อน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะผู้ออกแบบและพัฒนาตั้งใจทำให้เป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ เพราะวันใดวันหนึ่งที่อาจกลายสภาพเป็นรถตลาด กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของรถคู่นี้ คือ ผู้ใช้รถที่สนใจเทคโนโลยีและกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้วิถีใหม่ของการเดินทางด้วยรถยนต์ ระบบขับด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ของรถแนวคิดคู่นี้ ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 2 ชุด ให้กำลังรวม 15 กิโลวัตต์/20 แรงม้า ไว้ระหว่างล้อคู่หลัง มอเตอร์ดังกล่าวนี้รับพลังไฟจากแบทเตอรี ลิเธียม-ไอออน ขนาด 7.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง น้ำหนักตัวประมาณ 90 กก. ซึ่งติดตั้งตามยาวอยู่ใต้เก้าอี้ที่นั่ง การประจุไฟเต็มหม้อด้วยไฟบ้าน 230 โวลท์ โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หรือด้วยไฟแรงสูง 3 ยก 400 โวลท์ โดยใช้เวลาแค่ 20 นาที รถจะวิ่งได้ไกลประมาณ 73 กม. โดยสามารถทำอัตราเร่ง 0-60 กม./ชม. ในเวลาประมาณ 6 วินาที และอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 16.9 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ระดับ 100 กม./ชม. ซึ่งก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับรถที่ออกแบบสำหรับการใช้งานในเขตเมือง เพราะเร็วกว่านี้จะเปลืองพลังไฟจนเกินไป ผู้ที่เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยก็น่าจะห่วงอยู่ แต่ไม่จำเป็นต้องห่วงมากจนเกินไป เพราะผู้ออกแบบคิดไว้เรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะความปลอดภัยเชิงป้องกัน ห้องโดยสารออกแบบให้มี CRUMPLE ZONE ซึ่งช่วยป้องกันแรงกระแทกจากการชนได้อย่างดี แถมติดตั้งระบบถุงลมนิรภัยจำนวน 2 ชุด รวมทั้งสารพัดนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยหลีกเลี