รถยนต์นั่ง หรือรถเก๋งนับ 10 นับ 100 ล้านคันที่วิ่งกันกลาดเกลื่อนตามท้องถนนในดาวเคราะห์ดวงเล็กกระจิริดที่เรียกกันว่า "โลก" นี้ แตกต่างกันมากทั้งในด้านสมรรถนะ ขนาดตัวถัง และสนนราคาค่าตัวที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน

รถยนต์นั่ง หรือรถเก๋งนับ 10 นับ 100 ล้านคันที่วิ่งกันกลาดเกลื่อนตามท้องถนนในดาวเคราะห์ดวงเล็กกระจิริดที่เรียกกันว่า "โลก" นี้ แตกต่างกันมากทั้งในด้านสมรรถนะ ขนาดตัวถัง และสนนราคาค่าตัวที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน เอาเฉพาะเยอรมนีซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ใหญ่ที่สุดในยุโรปเป็นตัวอย่าง หยิบแคทาลอกรถใหม่ขึ้นมาอ่านอย่างละเอียดตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย ก็พบว่า ในบรรดารถใหม่หลายร้อยแบบหลายร้อยรุ่นที่มีขายอยู่ในเมืองเบียร์ขณะนี้ เมื่อพิจารณาจากขนาดตัวถัง รถที่มีตัวถังเล็กที่สุด คือ สมาร์ท ฟอร์ทู (SMART FORTWO) รถนั่ง 2 คน ที่มีตัวถังยาวแค่ 2.695 ม. ส่วนรถที่มีตัวใหญ่ที่สุด คือ รถ มายบัค 62 (MAYBACH 62) รถสุดหรูสุดเลิศ ซึ่งมีตัวถังยาวถึง 6.171 ม. แต่เมื่อพิจารณาจากราคาค่าตัว ก็พบว่ารถค่าตัวย่อมเยาที่สุด คือ ดาซีอา ซันเดโร (DACIA SANDERO) รถจิ๋วผลิตในโรมาเนีย ซึ่งซื้อหากันได้ด้วยค่าตัวที่ต่ำเพียง 8,000 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 0.36 ล้านบาทไทยเท่านั้นเอง ส่วนรถค่าตัวโหดที่สุด ก็คือ มายบัค ลันเดาเลท (MAYBACH LANDAULET) รถเปิดประทุนสุดหรู ซึ่งติดป้ายค่าตัว 1,071,000 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 48 ล้านบาทไทย คือ เงินที่ซื้อรถแบบนี้เพียงคันเดียว สามารถซื้อรถค่าตัวถูกอย่าง ดาซีอา ซันเดโร ได้ถึง 130 คัน แล้วยังมีเงินเหลือไว้เติมน้ำมันอีกต่างหาก ที่จริงรถค่าตัวแพงกว่านี้ก็ยังมี แต่เป็นรถพิเศษที่ผลิตแค่ไม่กี่คัน และไม่ปรากฏชื่ออยู่ในแคทาลอกรถใหม่เล่มที่ว่า ตัวอย่าง คือ ยอดรถสปอร์ท บูกัตตี เวย์รน 16.4 (BUGATTI VEYRON 16.4) รถใหม่ใน "ระเบียงรถใหม่" เดือนนี้ ทั้งหมดเป็นรถขนาดเล็กกะทัดรัด อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า COMPACT CAR มีทั้งรถซีดาน รถคูเป รถแฮทช์แบค รถเปิดประทุน และรถตรวจการณ์ เป็นผลงานของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ 4 สัญชาติ รวม 6 ราย คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ (MERCEDES-BENZ) โฟล์คสวาเกน (VOLKSWAGEN) โอเพล (OPEL) ซีตรอง (CITROEN) ฟอร์ด (FORD) และ ฮอนดา (HONDA) คันแรกที่เห็นอยู่นี้เป็นผลงานใหม่ของค่าย "ดาวสามแฉก" และเป็นรถคูเปขนาดเล็กแต่สุดหรูสุดแรงที่เรียกกันอย่างเต็มยศในภาษาอังกฤษว่า HIGH-PERFORMANCE LUXURY COMPACT CAR ที่มีผู้ใช้รถต้องการความพิเศษ และไม่ชอบให้รถคันอื่นแซงขึ้นหน้า เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย พัฒนาจากรถรุ่นสามัญ คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาสส์ คูเป (MERCEDES-BENZ C-CLASS COUPE) ซึ่งเพิ่งอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งที่ 81 เมื่อต้นเดือนมีนาคมปีกระต่าย โดยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในหลายๆ ส่วน เพื่อเพิ่มพูนสมรรถนะการขับขี่และความเร็ว ในส่วนของตัวถังภายนอก ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดด้วยสองตา มีอยู่หลายจุด ตัวอย่าง คือ แผงกระจังหน้า ซึ่งเปลี่ยนจากครีบคู่เป็นครีบเดี่ยว ช่องดักลมใต้โคมไฟที่หน้าตาเปลี่ยนไป และท่อไอเสียแฝด 2 คู่ที่เห็นได้ชัดเมื่อมองจากท้ายรถ อย่างไรก็ตามความเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นหัวใจของรถรุ่นนี้ ไม่ได้อยู่ที่ตัวถัง หากอยู่ที่เครื่องยนต์ เมื่อเปิดฝากระโปรงบานโตขึ้นดู ก็จะพบว่า เครื่องยนต์ที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้นั้นเป็นเครื่อง DOHC วี 12 สูบ 48 วาล์ว ความจุ 6,208 ซีซี ที่ผู้ผลิตระบุไว้ใน "สเปค" หรือข้อมูลจำเพาะว่ามีน้ำหนักตัว 195 กก. ให้กำลังสูงสุด 457 แรงม้า ที่ 6,800 รตน. และแรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตร (61.2 กก.-ม.) ที่ 5,000 รตน. แต่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่ดูน่ากลัวเหมือนตัวเลขแรงม้า คือ มีค่าความสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 12.0 ลิตร/100 กม. หรือ 8.3 กม./ลิตร และมีอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 280 กรัม/กม. พลานุภาพจากเครื่องยนต์ที่ว่า ส่งทอดสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ AMG SPEEDSHIFT MCT ทำให้คูเปเล็กสมรรถนะสูงคันนี้ สามารถพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ใช้เวลาเพียง 4.5 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. เพื่อความปลอดภัย เห็นตัวเลขเหล่านี้แล้ว ถ้ายังไม่สะใจก็ยังมีทางออก เพราะค่าย "ดาวสามแฉก" ทำชุดแต่งพิเศษซึ่งมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า AMG PERFORMANCE PACKAGE และติดป้ายค่าตัว 7,116 ยูโร ไว้ให้ด้วย เพิ่มชุดแต่งนี้เข้าไปแล้วกำลังเครื่องยนต์จะพุ่งพรวดขึ้นอีก 30 แรงม้า คือ เป็น 487 แรงม้า และเวลาที่ใช้ในการทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. จะลดลง 0.1 วินาที คือ เหลือแค่ 4.4 วินาที แต่ความเร็วสูงสุดของรถยังจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. เช่นเดิม สนนราคาค่าตัวของ เมร์เซเดส-เบนซ์ ซี 63 เอเอมจี คูเป ซึ่งออกโชว์รูมในเมืองเบียร์ไปเรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา คือ 72,590 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 3.26 ล้านบาทไทย เป็นราคาที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 19 ไว้เรียบร้อยแล้ว