เมื่อผมลงมือเขียนเรื่องนี้เมืองไทยอยู่ระหว่างการออกพรรษา โดยวันออกพรรษาของปีนี้
ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม ซึ่งประจวบเหมาะกับเป็นวันสำคัญของปวงชนชาวไทย คือ เป็น
วันปิยมหาราช
วันออกพรรษา ก็คือ วันสิ้นสุดการจำพรรษา เป็นระยะเวลา 3 เดือนของพระสงฆ์เถรวาท ตรง
กับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11
พุทธศาสนิกชน มีกิจกรรมมากมายสำหรับวันออกพรรษาเป้าหมายหลักก็คือ การหันหน้าเข้าวัด
บำเพ็ญกุศลแก่พระสงฆ์ที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมมาตลอด จนครบไตรมาสพรรษากาลในวันนี้ ประเพณี
ที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนไทยนับถือศาสนาพุทธ เป็นวันถัดจากวันออกพรรษา คือ วันแรม 1 ค่ำเดือน
11 อันได้แก่ การตักบาตรเทโว
การตักบาตรเทโว เป็นการระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญทางพุทธประวัติที่ได้กล่าวถึง พระพุทธเจ้า
ได้เสด็จลงจากเทวโลกกลับจากการโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในพรรษาที่ 7
เพื่อลงมายังเมืองสังกัสสนคร
ห้วงเวลานับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ยังนับเป็นห้วงเวลาแห่ง
กฐินกาล หรือเทศกาลทอดกฐิน เป็นกิจกรรมพิเศษสำหรับพุทธศาสนิกชนร่วมบำเพ็ญกุศลในงาน
กฐินประจำปี ตามวัดต่างๆ
นอกจากนี้ คนไทยก็ยังเข้าวัดเพื่อตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้แก่ ญาติผู้ล่วงลับ ปฏิบัติธรรม
ฟังเทศน์
เรื่องการเทศน์นั้น โดยทั่วไปก็มี 2 ประเภท เทศน์เหมือนพูดจากันธรรมดาอย่างหนึ่ง และเทศน์แหล่
อีกอย่างหนึ่ง เป็นการเทศน์ โดยเพิ่มทำนองอันไพเราะลงไปในการเทศน์ และเทศน์แบบนี้ก็มักจะ
เป็นเทศน์มหาชาติ ซึ่งเป็นการเทศน์เนื่องในวันออกพรรษาโดยเฉพาะ
โดยคำว่า มหาชาติ ก็แปลได้ความเรียบง่ายว่า ชาติอันยิ่งใหญ่ หมายถึง การประสูติของพระพุทธเจ้า
เป็นพระเวสสันดร ซึ่งเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ ก่อนจะประสูติได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในชาติ
ต่อมาเทศน์มหาชาติ จึงเข้าทำนองการแสดงธรรมอันเกี่ยวด้วยเรื่องราวของพระเวสสันดร ตามที่ปรากฏในมหาเวสสันดรชาดก อันประกอบด้วยกัณฑ์ต่างๆ รวมถึง 13 กัณฑ์ 1,000 พระคาถา เริ่มแต่ กัณฑ์ทศพร เล่าเรื่องตั้งแต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วเสด็จไปเทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร และพระประยูรญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์ เป็นที่มาของพระสงฆ์สาวกกราบทูลให้ทรงแสดงเรื่องมหาเวสสันดรชาดก
กัณฑ์ที่ 2 กัณฑ์หิมพานต์ ว่าด้วยพระเวสสันดรทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสัญชัย และพระนางผุสดี ได้อะไรมาก็พระราชทานแก่คนอื่นไปสิ้น เป็นเหตุให้ประชาชนไม่พอใจ พระราชบิดาขับไล่พระเวสสันดรไปอยู่ป่าหิมพานต์
กัณฑ์ที่ 3 กัณฑ์ทานกัณฑ์ เป็นตอนที่พระเวสสันดรให้ทานก่อนจะไปอยู่ป่าหิมพานต์ เป็นมหาทาน อันได้แก่ ช้าง ม้า รถ ทาสชายและทาสหญิง โคนม
กัณฑ์ที่ 4 กัณฑ์วนประเวศน์ เป็นตอนที่พระเวสสันดร พร้อมด้วยพระนางมัทรี พระชาลี (โอรส) และพระกัณหา (ธิดา) เสด็จจากเมืองจนถึงเขาวงกตในป่าหิมพานต์
กัณฑ์ที่ 5 กัณฑ์ชูชก ว่าด้วยชูชกพราหมณ์ ขอทานได้นางอมิตตาบุตรสาวของเพื่อนเป็นภรรยา นางใช้ให้ชูชกไปของสองกุมาร ชูชกเดินทางไปสืบข่าวในแคว้นสีวีราษฎร์ สามารถหลบหลีกการทำร้ายของชาวเมือง พบพรานเจตบุตรลวงพรานเจตบุตรให้บอกทางไปยังเขาวงกต
กัณฑ์ที่ 6 กัณฑ์จุลพน ถึงตอนชูชกเดินทางผ่านป่าตามเส้นทางที่เจตบุตรแนะ จนถึงที่อยู่ของอัจจุตฤๅษี
กัณฑ์ที่ 7 กัณฑ์มหาพน ว่าด้วยเรื่องชูชกลวงอัจจุตฤๅษี ให้บอกทางผ่านป่าไม้ใหญ่ไปยังที่ประทับของพระเวสสันดร
กัณฑ์ที่ 8 และ 9 นี้ ผู้ฟังเทศน์ อิน กับเรื่องมาก ถึงขนาดน้ำหูน้ำตาไหล โดยกัณฑ์ที่ 8 เป็นกัณฑ์กุมาร บรรยายด้วยทำนองอันไพเราะ ถึงตอนที่ชูชกทูลขอสองพระกุมาร บรรยายการทุบตีสองพระกุมาร ต่อเบื้องพระพักตรพระเวสสันดร แล้วพาออกเดินทาง ขณะเวลานั้นพระนางมัทรีมิได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ ต่อด้วยกัณฑ์ที่ 9 คือ กัณฑ์มัทรี อันเป็นตอนที่เล่าถึงพระนางมัทรีเสด็จกลับจากการหาผลไม้ในป่า ครั้นไม่พบสองพระกุมารก็ออกติดตามหาตลอดทั้งคืน จนถึงทรงวิสัญญี (สลบ) เมื่อทรงฟื้นแล้วพระเวสสันดรจึงตรัสความจริงให้พระนางมัทรีทราบ และพระนางมัทรีก็ทรงอนุโมทนาด้วย
กัณฑ์ที่ 10 คือ กัณฑ์สักกบรรพ เป็นตอนที่พระอินทร์ชักไม่สบายใจ วิตกว่าพระเวสสันดรอาจจะต้องพระราชทานพระนางมัทรี ถ้ามีใครอุตริไปทูลขอ จึงแปลงกายเป็นพราหมณ์ผู้สูงอายุเข้าไปทูลขอเสียเอง เมื่อขอได้แล้ว ก็ทูลฝากพระนางมัทรีไว้กับพระเวสสันดร
กัณฑ์ที่ 11 เป็น กัณฑ์มหาราช เล่าถึงตอนที่ชูชกเดินทางเข้าไปแคว้นสีวีราษฎร์ พระสัญชัย ทรงไถ่สองพระกุมาร ชูชกได้รับพระราชทานเลี้ยง และถึงแก่กรรมด้วยกินอาหารมากเกินควร
กัณฑ์ที่ 12 คือ กัณฑ์ฉกษัตริย์ เป็นตอนที่กษัตริย์แคว้นกลิงคราชฎร์ทรงคืนช้างปัจจัยนาเคนทร์ พระเจ้ากรุงสัญชัย พระนางผุสดี พระชาลี พระกัณหา เสด็จไปทูลเชิญพระเวสสันดร พระนางมัทรีกลับพระนคร เมื่อกษัตริย์ทั้ง 6 พระองค์ทรงพบกัน ก็ถึงกับทรงวิสัญญี ต่อมาฝนโบกขรพรรษตกจึงทรงฟื้น
กัณฑ์สุดท้าย เป็น กัณฑ์นครกัณฑ์ ว่าด้วยกษัตริย์ 6 พระองค์เสด็จกลับพระนคร พระเวสสันดรได้ครองราชย์ดังเดิม บ้านเมืองสมบูรณ์พูนสุข
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวของพระเวสสันดรชาดก ปรากฏเป็นเทศน์มหาชาติอันยิ่งใหญ่ และเป็นกิจกรรมสำคัญวันออกพรรษาของพุทธศาสนิกชนทั่วไป
ส่วนการทอดกฐินในกฐินกาลนั้น เป็นประเพณีการทอดกฐินของพุทธศาสนิกชนคนไทยมีมาช้านาน โดยมีทั้งพิธีหลวง และพิธีราษฎร์ โดยการถวายผ้าพระกฐินของพระมหากษัตริย์ จัดเป็นพระราชพิธีที่สำคัญประจำปี ผมสังเกตปัจจุบันนี้ การถวายผ้ากฐินในแง่การสนับสนุนผ้าไตรจีวรเพื่อใช้ในสังฆกรรมสำคัญของคณะสงฆ์ ถูกลดความสำคัญลงไป แต่กลับให้ความสำคัญกับบริวารของกฐินทานแทน เช่น เงิน หรือวัตถุสิ่งของ เพื่อนำสิ่งเหล่านี้มาพัฒนาถาวรวัตถุและทำนุบำรุงพระพทธศาสนา แต่ก็จัดว่าเป็นสังฆทานอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน
กฐิน เป็นศัพท์บาลี แปลตามศัพท์ว่า ไม้สะดึง คือ "กรอบไม้" หรือ "ไม้แบบ" สำหรับขึงผ้าที่จะเย็บเป็นจีวรในสมัยโบราณ ซึ่งผ้าที่เย็บสำเร็จจากกฐิน หรือไม้สะดึงแบบนี้ เรียกว่า ผ้ากฐิน (ผ้าเย็บจากไม้แบบ) กฐิน อาจจำแนกตามความหมายเพื่อความเข้าใจง่ายได้ดังนี้
1. กฐิน เป็นชื่อของกรอบไม้แม่แบบ (สะดึง) สำหรับทำจีวร ดังกล่าวข้างต้น
2. กฐิน เป็นชื่อของผ้าที่ถวายแก่พระสงฆ์เพื่อกรานกฐิน (โดยได้มาจากการใช้ไม้แม่แบบขึงเย็บ)
3. กฐิน เป็นชื่อของงานบุญประเพณีถวายผ้าไตรจีวรแก่พระสงฆ์เพื่อกรานกฐิน
4. กฐิน เป็นชื่อของสังฆกรรมการกรานกฐินของพระสงฆ์
ความเป็นมาของการทอดกฐิน เล่าขานกันว่า ภิกษุชาวเมืองปาไฐยรัฐ 30 รูป ได้เดินทางเพื่อมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี แต่ยังไม่ทันถึงเมืองสาวัตถี ก็ถึงวันเข้าพรรษาเสียก่อน พระสงฆ์ทั้ง 30 รูป จึงต้องจำพรรษา ณ เมืองสาเกตุในระหว่างทางหลังจากออกพรรษาแล้ว ภิกษุเหล่านั้นจึงได้ออกเดินทางมาเข้าเฝ้าพระศาสดาด้วยความยากลำบากเพราะฝนยังตกชุกอยู่ เมื่อเดินทางถึงวัดพระเชตวัน พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามถึงความเป็นอยู่และการเดินทาง เมื่อทราบความลำบากนั้นจึงทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้จำพรรษาครบถ้วนไตรมาสสามารถรับผ้ากฐินได้
และภิกษุผู้ได้กรานกฐินได้อานิสงส์ 5 ประการ ภายในเวลาอานิสงส์กฐิน (นับจากวันที่รับกฐินจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 4) คือ ไปไหนไม่ต้องบอกลา ไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับ 3 ผืน ฉันคณะโภชน์ได้ (ล้อมวงกันฉันภัตตาหารได้) เก็บอดิเรกจีวรไว้ได้โดยที่ยังมิได้วิกัปป์ และอธิษฐาน โดยไม่ต้องอาบัติ และจีวรลาภอันเกิดขึ้น จักได้แก่ ภิกษุผู้ได้กรานกฐินแล้ว
นี่ก็เป็นเรื่องราวของเทศกาลระหว่างการออกพรรษาครับ ไม่เกี่ยวกับเทศกาลนาคาแม่โขงที่ได้รับความนิยมในด้านการท่องเที่ยว และไม่เกี่ยวกับผู้สร้างเจตนารมณ์เริ่มหันมาตอกเหล้าดังเดิม
เรื่องโดย : สยาม เมืองยิ้ม formula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Carstereo ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2553
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/29161