CEMETERY JUNCTION
"สถานีสุดท้ายที่หัวใจจะหยุดพัก"
หนังย้อนยุค '70 ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวของชายหนุ่ม 3 คนในเมืองเล็กๆ ที่ชื่อเรดดิง ในประเทศอังกฤษ พวกเขาไม่ทำอะไรมากไปกว่า งาน ดื่ม และจ้องจะเกี่ยวสาวซักคนติดมือก่อนนอน มีบ้างบางครั้งที่ต่อยตีจนต้องนอนในคุก และพวกเขาก็คงจะทำเรื่องราวประมาณนี้กันมาจนถึงระยะหนึ่ง
จนบางคนในกลุ่มเริ่มตั้งคำถามกับชีวิตว่า...อนาคตจะเป็นอย่างไร ?
"ฟเรดดี" ไม่ชอบงานโรงงาน เขาเอือมระอากับอาการปวดเมื่อย เงินไม่พอใช้ และกลิ่นน้ำมันที่ติดมือพ่อเมื่อกลับบ้านมาเสมอๆ เขาจึงเลือกซื้อสูทโก้ๆ กระเป๋าหนังแท้สีน้ำตาล แล้วเดินไปสมัครงานกับไอดอลของเขา ผู้มีบ้านหลังใหญ่โต มีรถ โรลล์ส-รอยศ์ มีโต๊ะเก้าอี้ไว้วางชุดน้ำชา พร้อมสูทสีเทาเลื่อมตามสไตล์จารีตของผู้ดีอังกฤษ
และเพื่องานการขายประกันชีวิตจะได้เป็นงานที่ประสบความสำเร็จ ฟเรดดี ก็อาจจะต้องลงทุนตัดผม
(ซึ่งดูยาวในยุคที่คนรุ่นก่อนเย้ยกันว่า ผมยาวอย่างกับผู้หญิง) ถ้าบังเอิญเขาไม่ใช่คนที่ชอบเพลงรอค และ
ดูอย่างไรก็เป็นคนที่เหมือน "ขบถ" ของสังคม แต่เป็นขบถที่อยากมี อยากได้ อยากครอบครอง
ต่างจาก "บรูศ" หนุ่มโรงงานผู้จำเจในชั่วโมงการทำงาน เขาเลือกขบถกับทุกธรรมเนียมของสังคม บรูศ ป่วนเมือง กวนสังคม และออกหมัดก่อนแทบทุกครั้งที่มีคนขัดใจ เขามีอริเป็นตำรวจ และนอนคุกเดือนละหลายครั้ง...เหมือนจะไม่มีความสุข แต่เขาก็เป็นคนยิ้มกว้างกว่าใคร โดยเฉพาะเมื่อยิ้มนั้นถูกโปรยหลังแก้วเบียร์ และต่อหน้าสาวๆ
ปัญหาอย่างเดียวของ บรูศ ก็คือ เขาเกลียดพ่อ และไม่ชอบที่พ่อไม่สู้คน หลายครั้งเราจึงได้เห็นฉากลูกด่าพ่อ เพื่อนพ่อเพื่อนลูกมาเห็นเข้า เขาก็พากันตักเตือน แต่ บรูศ ก็ตอบเพียงสั้นๆ ว่า อย่าแส่
อีกคนหนึ่งคือ สนอร์ค ชื่อของเขาได้มาจากแว่นตาที่ใส่ ซึ่งเขาตั้งใจให้เหมือน เอลทัน จอห์น แต่มันกลับ
ไปเหมือนตัวอะไรบางอย่างที่ไม่น่าจดจำ เขาจึงแต่งเรื่องขึ้นมาใหม่ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ฟังแล้วไม่เข้าท่าเอา
ซะเลย
สนอร์ค จึงกลายเป็นคนที่ดูจะไม่เอาไหน ยิ่งทำอะไรให้ดีก็ยิ่งไม่เข้าท่า แต่ทว่า สนอร์ค กลับเป็นคนที่ดูแล้วเรียบง่ายที่สุด ต่อคำถามที่ว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร ?
เรื่องราวของชายหนุ่ม 3 คนจึงอลหม่านอลวนกับคำถามประมาณนี้ คนหนึ่งอยากไปให้พ้นจากบ้านเกิดเมืองนอน คนหนึ่งเข้าใจว่าตนเองอยากมีชีวิตแบบไหน แต่พอได้ไปสัมผัสก็รู้สึกว่าไม่ใช่ คำถามที่หนังวางไว้จึงไม่กดดันคนดู ผู้ที่มองออกจะเห็นว่าสุดท้ายเรื่องราวจะจบลงอย่างไร
ถามว่างั้นจะดูไปทำไม ?
หนังสนุกตรงที่มีคนจริงๆ อยู่ในนั้น คนที่ต่อสู้เพื่อปกป้องเกียรติอันน้อยนิดบนโต๊ะกินข้าว คนที่หากินมาตลอดชีวิตแล้วเพิ่งรู้ว่าเดินมาผิดทางแล้ว คนที่มองหาความสุขง่ายๆ ไปวันๆ และคนที่เชื่อในสุภาษิตอาหรับที่ว่า "จงโยนหัวใจไปข้างหน้า แล้วรีบวิ่งไปรับมัน" เพราะถ้าไม่รีบ สถานีชีวิตแห่งนี้ก็อาจไม่มีรถไฟขบวนไหนผ่านมาอีกแล้วก็เป็นได้
REPO MEN
"สุดท้ายหนี้ที่ต้องจ่ายก็ต้องจ่ายวันยันค่ำ"
หนังแอคชันกึ่งดรามา ว่าด้วยเรื่องของโลกวันข้างหน้า วันที่เทคโนโลยีรุดหน้าซะจนคนมีอวัยวะเทียมกันเกลื่อนกลาด ทุกคนเสพสมใช้ชีวิตได้เต็มที่อย่างที่ใจอยาก เพราะเมื่ออย่างหนึ่งพัง ก็เพียงแค่หาอันใหม่มาใส่เข้าไปเท่านั้น เสียอย่างเดียวก็ตรงที่ อวัยวะเหล่านั้นย่อมต้องมีราคาค่าตัว และเป็นค่าตัวที่แพงหูดับตับไหม้เสียด้วย
นี่เองจึงเป็นที่มาของ REPO MEN เหล่าชายฉกรรจ์ดิบเถื่อน ผู้เป็นมืออาชีพทางด้านการปิดบัญชี ด้วยการเข้า "ยึดคืน" อวัยวะชิ้นนั้น พวกเขาจู่โจมด้วยปืนเลเซอร์ และปฏิบัติการอย่างนุ่มนวล เพื่อให้แน่ใจว่าลูกหนี้จะคืนอวัยวะได้ในสภาพสมบูรณ์ แม้ตัวลูกหนี้จะต้องถูกผ่าท้องแหวกอก เพื่อล้วงเอาอวัยวะออกมาก็ตาม
จูด ลอว์ เล่นเรื่องนี้ประกบกับ ฟอเรสต์ วิเทเคอร์ รายแรกค่อนข้างจะแตกต่างจากบทที่เขาเคยรับๆ มา ด้วยวัย 30 ปลายๆ อาจทำให้เขาคิดผิดที่เลือกรับบทแบบนี้ หรือไม่ก็อาจจะเพราะความจำเป็นบางอย่าง เพราะดูยังไงมันก็ไม่เข้ากับเขาเลยซักนิดเดียว กับบทที่มุ่งแต่การโชว์กล้ามเนื้อ แล้วกระโดดตัววาดมีดไปมา จนทอดทิ้งความฉลาดของการเป็นตัวเอกในหนังประเภทนี้
ดีที่หนังเรื่องนี้ ไม่เชิงเป็นแอคชันเพียวๆ เพียงอย่างเดียว...
ส่วนราย วิเทเคอร์ นั้น แม้บทจะไม่ค่อยต่างกัน แต่เขาก็ดึงตนเองออกจากความเป็นแอคชันที่ไร้การ
สร้างสรรค์ได้ ไม่ว่าจะคำพูด หรือการออกอาการต่างๆ บทแผ่นฟีล์ม เขาทำให้หนังน่าติดตามขึ้นเป็น
อย่างมาก แม้จะดูแย่ๆ นิดหนึ่งที่เห็นคนรุ่นนี้ซึ่งเคยพัฒนาการแสดงของตนไปสู่ขั้นลึกซึ้ง ต้องมารับบท
ที่ดูจะตื้นเขิน แถมยังค่อนข้างจะไร้ทิศทาง
เพราะถ้าจะเลือกความเป็นดรามา โดยการวางเรื่องราวแบบแอคชันชวนติดตาม หนังก็ค่อนข้างจะเลือกประเด็นมาผิด เพราะทั้งชีวิตของตัวเอกในเรื่อง ดูจะตื้นเขินเหลือประมาณ หนังอะไรประมาณนี้ดู 10
นาทีแรกก็ต้องรู้แล้วว่า สุดท้ายพระเอกย่อมต้องเป็นคนดี เพราะฉะนั้นความเป็นดรามาจึงอ่อนด้อย
ส่วนถ้าจะเลือกความเป็นแอคชัน แต่ให้หนังมีความเป็นดรามา ก็ต้องบอกว่า ไม่มันเลยซักนิด หลายๆ ฉากดูแล้วไม่สนุกเหมือนหนังเฉินหลง ที่ถึงจะแก่แต่ก็มากด้วยไอเดียความสนุก หรือหนังของ โนแลน หรือ
เมทริกซ์ ที่มีฉากต่อสู้ดูแล้วสร้างสรรค์ มากด้วยจินตนาการ (ขออภัยที่ต้องเปรียบเทียบกับเรื่องอื่น)
สุดท้ายที่พอจะมีดีอยู่ในหนังเรื่องนี้บ้างก็คือ การนำเสนอความโหดเหี้ยมของชีวิตคน ไม่ว่าจะการที่ต้องต่อสู้กับความเจ็บไข้ได้ป่วย หรือการที่ต้องเผชิญกับความเอารัดเอาเปรียบของสังคม "คนจนยากจนยิ่งจนเพราะคนร่ำรวย คนรวยร่ำรวยยิ่งรวยเพราะคนยากจน*
เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากได้อยากมีแล้วต้องกู้หนี้ยืมสิน ก็ขอให้คุณไตร่ตรองให้รอบคอบ ถ้าไม่จ่ายหนี้
มีรถเขาก็ยึดรถ มีบ้านเขาก็ยึดบ้าน และถ้าคุณมีตับมีหัวใจ ที่คุณไปเอามาจากเขา ไม่ช้าเขาก็จะตามมา
ทวงคืน...
*บางตอนจากเพลง "หมอผีครองเมือง" โดย มาโนช พุฒตาล
ศิลปิน : THE MAGIC NUMBERS
อัลบัม : THE RUNAWAY
แนวดนตรี : INDY POP
"หนีไปสู่หนหลัง"
อัลบัมชุดที่ 3 ของวงพอพอินดีชั้นดีจากเกาะอังกฤษ ที่มีแนวเพลงชัดเจนในความกลมกล่อมของรสเสียงแบบพอพรอคยุค '60-'70 ว่ากันว่าเสน่ห์ของวงนี้อยู่ที่เสียงร้องของนักร้องนำ ROMEO STODART
และเสียงคลอของนักร้องประสาน 2 สาว โดยมีเครื่องดนตรีแบบพื้นๆ เป็นแบ็คกราวน์ แต่ก็ต้องบอกว่าไพเราะกว่าวงล้ำๆ ที่มีเครื่องดนตรีแบบฟูลคอร์สเป็นไหนๆ
ในยุคก่อตั้งเมื่อปี 2002 นั้น วงเริ่มก่อตัวอยู่ในหัวของโรเมโอ และน้องสาวของเขาที่ชื่อ MICHELE ทั้งคู่พยายามแล้วพยายามอีกที่จะให้วงเกิดขึ้นได้ด้วยความสมบูรณ์พร้อม แต่ทว่าอุปสรรคก็มีไว้พิสูจน์คนจริงตัวจริงที่ไม่ย่อท้อ ไม่นานเขาก็เจอเข้ากับพี่น้องอีกคู่ที่เหมือนฟ้าจะประทานมาให้ เพราะดูยังไงทั้งคู่ก็เหมือนกันอย่างกะแกะ
พี่น้อง GANNON ชาย-หญิงจึงรวมเข้ากับคู่พี่น้อง STODART อย่างลงตัว 4 พี่น้อง 2 ตระกูลจึงรวมตัวกันภายใต้การนำของ ROMEO STODART ซึ่งรับผิดชอบการเขียนเพลงแทบทั้งหมดในอัลบัมที่ผ่านๆ มา
รวมถึงอัลบัมล่าสุดนี้ อีกทั้งเขายังมีตำแหน่งเป็นนักร้องนำ เล่นกีตาร์ และบางครั้งก็หันไปพรมนิ้วลง
บนเพียโน หรือไม่ก็คีย์บอร์ด ส่วนน้องสาว MICHELE รับตำแหน่งเบสส์ และคีย์บอร์ด โดยมี SEAN GANNON ตีกลอง และน้องสาวของเขา ANGELA เคาะเพอร์คัสชัน และเมโลดิคา
ถ้าเห็นภาพของวง บวกกับคำบรรยายข้างต้นก็จะรู้เลยว่า นี่คือวงที่รับเอาสำเนียงของคนยุคบุปผาชน
มาใช้ และไม่แน่ว่าบางทีพวกเขาอาจมีคาถาประจำใจของพวกฮิพพีที่ว่า "TURN ON, TUNE IN, DROP OUT" ด้วย
เสียก็แต่คงไม่ใช่ เพราะพวกเขาทั้ง 4 คนล้วนอุดมไปด้วยเนื้อหนังอันอวบอ้วน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นภาพลักษณ์ที่ฮิพพียุคไหนๆ ก็ไม่นิยม
เพลงของเขาจึงไม่ล่องลอยโหยหวนเหมือนตั้งใจทำมาเพื่อปลดประสาทของอาการเมายา แต่ทว่ามันคือเพลงที่น้อมนำเอาแก่นของดนตรีในยุคนั้น มาใช้แบบน่าฟัง และน่าสนใจที่จะฟังกันต่อๆ ไป หากเผอิญว่าฟังครั้งแรกแล้วรู้สึกว่าธรรมดา
ประเด็นสำคัญกว่านั้นก็คือ ยุคนี้พวกเขาเหมือนเป็นร่างทรงของดนตรีที่น่าโหยหา เสียงลากยาวที่สอดประสานกัน 3-4 คนนั้น มันช่วยปลุกคืนวันเก่าได้เป็นอย่างดี อย่าว่าแต่หลายเพลงในหลายอัลบัมเลย
พวกเขาเพียงแค่สะกิดเครื่องดนตรีให้มีเสียงเบาๆ คนละทีสองทีมันก็กลายเป็นดนตรีที่ระรื่นหูมาก
ทีเดียว ไม่เยอะแยะ แต่ก็ไม่ได้ว่างเปล่า เหมือนจะไม่มีอะไร แต่ก็มี
เป็นสไตล์เพลงที่พวกเขาผสมกันจนอยู่มือ จนได้กลิ่นเฉพาะของตัวเองตั้งแต่เพลงแรกของอัลบัมที่ 1
ถึงเพลงสุดท้ายในอัลบัมนี้
THE RUNAWAY โดยวง THE MAGIC NUMBERS จึงเป็น 12 บทเพลงที่น่าจะไปหามาฟังกันได้แล้ว แม้ว่าในเมืองไทยจะหาซื้อไม่ได้ ก็ยังพอสั่งพอโหลดกันได้ทั้งฟรี และเสียเงินสนับสนุนที่
www.themagicnumbers.net
ศิลปิน : RYAN SHAW
อัลบัม : THIS IS RYAN SHAW
แนวดนตรี : SOUL, R&B
"SOUL จอร์เจีย สำนวน BLUES ทางใต้"
อัลบัมแรกของนักร้องชายเสียง โซล SOUL จากทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา "รัฐจอร์เจีย" เพลงของเขาเข้าถึงใจคนได้ไม่ยาก ด้วยดนตรีที่คุ้นหูกันดีในพิธีทางศาสนาคริสต์ และถ้าจะบอกว่าอะไรที่ทำให้เขาน่าสนใจ นั่นก็คงเป็นเพราะเสียงร้องออกแนว SOUL ที่ไม่ค่อยจะโชว์เพาเวอร์มาก แต่ก็รู้ว่ามี ! และคงจะผิดมหันต์ถ้าละเลยที่จะเอ่ยถึง กลิ่นอายเพลง BLUES ที่อยู่ในสายเลือดคนผิวสี โดยเฉพาะคนผิวสีที่มีประวัติศาสตร์บรรพบุรุษ (รวมถึงตนเอง) ต่อสู้และฝ่าฟันเพื่อหาที่อยู่ที่ยืนอย่างสมศักดิ์ศรี ในดินแดนแห่งเสรีภาพ ที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝันว่าวันหนึ่งจะเป็นได้มากกว่าแค่ "NOBODY"
จะว่าไป RYAN SHAW ก็เริ่มหาที่อยู่ที่ยืนของตนเองมาตั้งแต่อายุได้ 3 ปี เพลงที่เปล่งผ่านกระเดือกของหนุ่มน้อยคนนี้ เริ่มก้องกังวานอยู่ในโบสถ์ตั้งแต่เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ตอนที่เขายังเป็นเด็กน้อยหัดร้องเพลง ก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นรับรางวัลนักดนตรีแห่งมหาวิทยาลัย ประจำรัฐจอร์เจีย
GOSPEL MUSICAL คือ ชื่อสาขาที่เขาได้รับ ซึ่งมันหมายความว่า เขาเป็นเอกทางด้านดนตรีที่มุ่งเน้นเผยแพร่คำสอนของพระเยซูนั่นเอง
จากนั้น เขาก็เริ่มมองเห็นจุดที่อยากยืนในชีวิตวันข้างหน้า เขาลาออกจากมหาวิทยาลัยก่อนไปเข้าร่วมกับหลายวงหลายโพรเจคท์ ซึ่งล้วนเป็นแรงผลักดันให้ก้าวไปสู่ถนนสาย SOUL ปี 2004 เข้าร่วมกับวง FABEROUS SOUL SHAKERS พอปี 2006 เดโมของเขาก็เข้าสู่กระบวนการที่เรียกกันในหมู่คนทำดนตรีว่า "เกิด" จากนั้นอีกไม่กี่ปีเราจึงได้ฟังอัลบัมแรกของเขาในชื่อเชยๆ ว่า THIS IS RYAN SHAW
เพลงเปิดอัลบัมชื่อว่า DO THE 45 ไม่อยากจะบอกว่าฟังแล้วเหมือนอยู่ในบาร์ดีๆ แถวข้าวสาร หรืออนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพราะเปิดเสียงกลองมาก็เร้าอารมณ์คนได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะนั่งโต๊ะหน้า หรือแอบยักท่าอยู่โต๊ะใน เป็น SOUL โดยเนื้อแท้ ที่ไม่อายจะปรบมือและโชว์สเตพขาเมื่อได้ฟัง ยิ่งเจอลูกตอดนิดตอดหน่อยของกีตาร์สำเนียง BLUES เพลงนี้ยิ่งได้ใจ
เป็นเพลงเปิดตัวที่น่าจะใช้ได้ในทุกเวที ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก เพราะนอกจากความโดดเด่นดังที่ว่ามา เพลงนี้ยังแสดงให้เห็นถึงทีมเวิร์คที่ดีในการประสานเสียงเครื่องดนตรีหลากหลายชนิด ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องมีเสียงเพียโนแพรวพราว รูดคีย์ไปมาอย่างแน่นอน
อีกเพลงชื่อว่า WE GOT LOVE เพลงนี้ชวนให้นึกถึงบาร์น่ารักชื่อเก่าแก่แถวหลังสวน นึกถึงแล้วก็อดที่จะคิดถึงไม่ได้ กับเพลง SOUL เบาๆ ชวนให้คนรักกัน นักดนตรีเล่นดนตรีด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เพราะไม่ได้กำลังพร่ำบ่นเรื่องบ้าบอ แต่กำลังจะบอกผู้คนบนโลกว่า
เฮ้...เรากำลังมีรักนะนาย และเราในที่นี้ก็คือ "เราๆ ท่านๆ" ทุกคนนั่นล่ะ ไม่ใช่ใครที่ไหน
12 บทเพลงในอัลบัม จึงเหมาะมากสำหรับคนชอบ SOUL สำนวน BLUES ชอบดนตรีมีฝีมือ ชอบการ
มิกซ์และบันทึกเสียง ซึ่งจะรีดความเป็นอัจฉริยะของเครื่องเสียงออกมาได้แบบสุดๆ
เรื่องโดย : ปัญญ์ carstereo@autoinfo.co.th
นิตยสาร Carstereo ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2553
คอลัมน์ Online : คอลัมน์ประจำ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/29025