ทั่วไป
ฉบับที่แล้วผมเขียนถึงข้อความของเงื่อนไขข้อยกเว้นภัยก่อการร้ายที่บริษัทประกันภัยไม่คุ้มครอง ซึ่งปรากฏในกรมธรรม์แทบทุกฉบับ และแทบทุกประเภทการประกันภัย ไม่ว่าจะเป็นกรมธรรม์รถยนต์ กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล กรมธรรม์ประกันอัคคีภัย กรมธรรม์ประกันการเสี่ยงภัยทุกชนิด
ฉบับที่แล้วผมเขียนถึงข้อความของเงื่อนไขข้อยกเว้นภัยก่อการร้ายที่บริษัทประกันภัยไม่คุ้มครอง ซึ่งปรากฏในกรมธรรม์แทบทุกฉบับ และแทบทุกประเภทการประกันภัย ไม่ว่าจะเป็นกรมธรรม์รถยนต์ กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล กรมธรรม์ประกันอัคคีภัย กรมธรรม์ประกันการเสี่ยงภัยทุกชนิด
ในเบื้องต้นเมื่อผู้อ่านได้ลองอ่านกันดูแล้วตีความเข้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละเหตุการณ์ แต่ละสถานที่แต่ละเวลา เป็นอย่างไรกันบ้าง หากท่านเป็นบริษัทประกันภัยท่านควรจะจ่ายค่าสินไหมหรือไม่ การบ้านข้อนี้หนักหนาสาหัสกันเลยนะครับ
คิดว่าหลายท่านคงจะหนักใจเช่นเดียวกับหลายๆ ฝ่ายทุกวันนี้ เนื่องด้วยแต่ละฝ่ายที่จะตีความล้วนแล้วแต่มีส่วนได้เสียกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริษัทประกันภัย ซึ่งจะต้องเป็นผู้จ่ายค่าสินไหมทดแทน ฝ่ายผู้เสียหาย ซึ่งไม่รู้ว่าจะไปรับเงินกับใครในความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว อีกฝ่ายรัฐบาลซึ่งต้องดูแลทั้งผู้ประกอบการธุรกิจและประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อน รวมถึงคะแนนนิยมภาพลักษณ์ของรัฐบาลเอง แม้กระทั่งฝ่ายประชาชนคนดู ซึ่งอาจไม่ได้มีส่วนได้เสียโดยตรง แต่ก็มีความเห็นอกเห็นใจผู้เสียหายเดือดร้อน
เมื่อทุกฝ่ายต่างมีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องที่จะต้องตีความ ก็เลยยังหาข้อสรุปไม่ได้ ทั้งที่เวลาผ่านไปกว่า 3 เดือนเศษ จะดูว่าการจัดการไม่มีประสิทธิภาพ หรือว่าการเมืองเข้ามาแทรก หรืออะไรก็ว่ากันไป แต่ที่แน่ๆ คนที่ได้รับความเสียหายแล้วก็ยังไม่รู้จะว่าไปพึ่งพาใคร ซึ่งถ้าประเมินถึงความเสียหายที่แท้จริงมันมากมายมหาศาล เอาแค่เฉพาะตัวทรัพย์สินเท่านั้น ยังไม่รวมชีวิตร่างกายและจิตใจ ก็มีมูลค่ามากกว่าหมื่นล้านบาท ยกตัวอย่าง เฉพาะเซนทรัลเวิร์ลด์แห่งเดียว ก็ประเมินมูลค่าความเสียหายไว้แล้วกว่า 4,300 ล้านบาท
หากว่าจะให้ตีความเงื่อนไขข้อยกเว้นว่าบริษัทประกันภัยต้องจ่าย คนที่เดือดร้อนสูงสุดน่าจะเป็น ฝ่ายของบริษัทประกันภัย (ซึ่งเกี่ยวพันกับสัญญาประกันภัยต่อโดยบริษัทผู้รับประกันต่อจะต้องร่วมจ่ายด้วย) ผลกระทบตามมา คือ เงื่อนไขข้อยกเว้นกรมธรรม์ไป จะไม่มีความหมายอะไรเลย ขณะเดียวกันผู้รับประกันภัยต่อในต่างประเทศอาจไม่เอาด้วยก็ได้ คือ ไม่รวมจ่าย บริษัทประกันภัยก็คงต้องไปฟ้องร้องกันเองวุ่นวายแน่ ซึ่งทางฝ่ายรัฐบาลอาจหาทางแก้ โดยให้สิทธิพิเศษในเงื่อนไขธุรกิจบางประการ เช่น เรื่องภาษี หรือ มีกองทุนมาจ่ายเบี้ยประกันชดเชยแทนผู้เอาประกันที่เสียหาย (ซึ่งก็อาจจะผิดหลักการการประกันภัยไปบ้างเนื่องจากมีความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว)
หากจะให้ตีความเงื่อนไขข้อยกเว้นว่าบริษัทประกันภัยไม่ต้องจ่ายเลย คนที่เดือดร้อนสูงสุด ก็เห็นว่าน่าจะเป็นฝ่ายผู้เสียหาย และฝ่ายรัฐบาลซึ่งต้องหางบประมาณมหาศาลมาช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจและผู้เดือดร้อน ผลดีที่ตามมา คือ ต่อไปฝ่ายผู้ประกอบการธุรกิจและประชาชนจะเห็นความสำคัญของการประกันภัย จะต้องศึกษาการบริหารการเสี่ยงภัยและทำประกันภัยตามความเสี่ยง คือ ไม่ประมาทอย่างที่ผ่านมา ขณะเดียวกันรัฐบาลก็จะได้รับบทเรียนเกี่ยวกับการจัดการกับผู้ชุมนุมประท้วง และการประกาศใดๆที่จะมีผลต่อเนื่องตามมา อย่างเช่นครั้งนี้ที่รัฐบาลประกาศให้ชาวโลกรู้กันทั่วว่าเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับผู้ก่อการร้าย ทำให้รัฐบาลหาทางออกให้กับฝ่ายธุรกิจและผู้เสียหายไม่ได้
เรามาดูความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องโดยตรงแต่ละฝ่าย ที่ยังอาศัยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มาเป็นข้ออ้างที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้
จะตีความว่าเป็นการก่อการร้าย หรือไม่ ล่าสุด อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีออกมายืนยันการตีความ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการก่อการร้ายแน่นอน และจะไม่เปลี่ยนแปลง คำนิยามคำว่าการก่อการร้ายใหม่ โดยให้เหตุผลว่าการไปกำหนดอะไรที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงนั้นทำไม่ได้
เมื่อรัฐบาลยืนกรานอย่างนี้ ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าวที่ทำประกันภัยอัคคีภัยและประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (IAR: INDUSTRIAL ALL RISK) ไว้ แต่ไม่ได้ซื้อประกันภัยคุ้มครองก่อการร้าย เพิ่มเติมไว้ ที่ยังคงมีความหวังอยู่บ้าง ตกที่นั่งลำบาก ชวดค่าสินไหมทดแทนไปตามๆ กันเนื่องจากบริษัทประกันภัยยืนยันไม่สามารถจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ได้ เพราะอยู่นอกเงื่อนไขความคุ้มครองในกรมธรรม์ เพราะสินไหมที่จ่ายไปบริษัทประกันภัยต้องแบกรับค่าใช้จ่ายส่วนนั้นเอง ไม่สามารถไปเรียกคืนจากบริษัทประกันภัยต่อ (รีอินชัวเรอส์) ต่างประเทศที่ซื้อประกันต่อไว้ได้
อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ ผ่านมา กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการ นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมได้เชิญบริษัทประกันภัยที่มีจำนวนลูกค้าที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าวมาก หรือมีมูลค่าทุนประกันภัยสูงรวมกว่า 10 บริษัท อาทิ บมจ. กรุงเทพประกันภัย/บมจ. เทเวศประกันภัย/บมจ. ไทยเศรษฐกิจ ประกันภัย/บจ. ธนชาตประกันภัย เป็นต้น มาพูดคุยเพื่อรับฟังความเห็นจากบริษัทประกันภัยเกี่ยวกับแนวทางพิจารณาจ่ายค่าเสียหายให้แก่ผู้เอาประกันภัย ทุกที่ยืนกรานจ่ายตามกรมธรรม์
บริษัท เทเวศประกันภัยจำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้าจากเหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา ว่าบริษัท ฯ อยู่ระหว่างการตีความของเหตุการณ์ดังกล่าว โดยต้องรอให้บริษัทรับประกันภัยต่อ (รีอินชัวเรอส์) ในต่างประเทศ เข้ามาประเมินความเสียหายและตีความว่าจะตรงกันหรือไม่ เบื้องต้นรีอินชัวเรอส์ยังยึดการตีความตามประกาศรัฐ ฯ ว่าเป็นการก่อการร้าย และจะไม่จ่ายสินไหมให้ผู้ประกอบการที่ไม่ได้ซื้อความคุ้มครองก่อการร้าย แม้ว่ารัฐบาลไทยจะพยายามช่วยเหลือผู้ประกอบการกรณีที่ไม่ได้ซื้อความคุ้มครองดังกล่าวก็ตาม
เนื่องจากรัฐบาลได้ประกาศไปแล้วว่าเหตุการณ์ที่เกิด เป็นก่อการร้าย และรีอินชัวเรอส์รับทราบว่าเป็นเช่นนั้น ซึ่งแนวโน้มของการตีความจากรีอินชัวเรอส์เอง ก็ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจน เพราะหากตีความว่าจลาจล ลูกค้าก็จะได้รับค่าสินไหมมากกว่าตีความว่าเป็นก่อการร้าย
เรายังไม่สามารถสรุปความชัดเจนได้เพราะจะมีผลต่อภาพรวมทั้งอุตสาหกรรม หากการตีความเกิดขัดแย้งจากที่รัฐบาลประกาศว่าเป็นก่อการร้าย การพิจารณาจ่ายสินไหมก็จะเป็นไปอีก ในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งลูกค้าของเรา คือ ห้างสรรพสินค้าเซน จะได้รับค่าสินไหมทดแทนที่สูงขึ้น หากเกิดการตีความว่าเป็นแค่ภัยจลาจล แต่ตอนนี้เรายึดการตีความตามที่รัฐบาลประกาศไปก่อน
นอกจากนี้บริษัทยังได้หารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) รีอินชัวเรอส์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย รวมถึงด้านกฎหมายในประเทศไทย เพื่อหารือปัญหาดังกล่าว
บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์จำกัด มหาชน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการจ่ายสินไหมให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์วันที่ 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมาว่า บริษัทยืนยันการจ่ายสินไหมให้แก่ผู้เอาประกันที่ได้รับความเสียหาย แต่ต้องซื้อความคุ้มครองภัยก่อการร้ายไว้เท่านั้น ส่วนผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายรายอื่น ไม่เข้าข่ายความคุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์ บริษัทก็ไม่จำต้องจ่ายสินไหมทดแทน
ซึ่งการตรวจสอบเงื่อนไขในกรมธรรม์จะต้องพิจารณาว่ามีข้อยกเว้นใดบ้าง เหตุการณ์ที่เกิด เป็นไปตามเงื่อนไขในกรมธรรม์หรือไม่ ดังนั้นบริษัท ฯ จำเป็นที่ต้องอิงตามประกาศของรัฐบาลที่ระบุว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม เป็นการก่อการร้าย
ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของการตีความว่าเป็นภัยก่อการร้าย หรือภัยจลาจล หากต้องมาตีความกันใหม่หรือการตีความขัดแย้งกับที่รัฐบาลประกาศ จะมีผลต่อการจ่ายสินไหมของบริษัทรับประกันภัยต่อ (รีอิชัวเรอส์) ในต่างประเทศแน่นอน เพราะต่างประเทศรับรู้ไปแล้วว่า ภัยที่เกิดเป็นก่อการร้าย ขั้นตอนขณะนี้ คือ เราต้องจ่ายสินไหมตามเงื่อนไขของกรมธรรม์เท่านั้น การพิจารณาจ่ายสินไหมเราต้องดำเนินตามมาตรฐานเดียวกัน โดยจะไม่ดำเนินแบบ 2 มาตรฐาน อาทิ ลูกค้ารายนี้ได้สินไหมส่วนลูกค้าอีกรายไม่ได้รับค่าสินไหม แม้จะมีกรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองเดียวกัน
ส่วนการเจรจากับรีอินชัวเรอส์ ขั้นตอนการสำรวจภัย จะจ่ายสินไหมได้เป็นไปตามกระบวนการประกันภัยตามปกติ ยังไม่พบปัญหาข้อโต้แย้งที่รีอินชัวเรอส์จะปฎิเสธการจ่ายสินไหมใดๆ
เมื่อยังตีความกันเป็นอย่างนี้ ก็ต้องตามกันอีกยกว่า แล้วเงื่อนไขจริงๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการก่อการร้ายตามข้อยกเว้นหรือเปล่า พบกันฉบับหน้านะครับ...
เรื่องโดย : กฤชกมล นิติธรรมโกศล formula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กันยายน ปี 2553
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/28996