X
Driven
Driving Impression
Test Drive
Test Drive Data
New Cars
รถใหม่ในประเทศ
รถใหม่ต่างประเทศ
News
ข่าวรอบโลก
ข่าวสารยานยนต์
All Around
เครื่องเสียง/Gadgets
แต่งรถ
ดูแลรักษารถยนต์
สาระสะใจ
วาไรตี้ยานยนต์
สถิติยอดจำหน่ายรถยนต์
TV Programs
รายการ โลกรถยนต์
รายการ Carnatomy
รายการ พี่น้องลองรถ
รายการ เรื่องรถ…เรื่องง่าย
รายการ คุณลุงใจดี
About Autoinfo
About Us
Advertise With Us
Privacy Policy
Terms of use
Car Buyer's Guide
ติดตามเราได้ทาง
X
Popular search in Autoinfo
50,000+ contents and images from writers
#1
Deepal S07
Hilux Champ
BYD Seal
BYD
NETA
TATA
หัวชาร์จรถ EV
รถกระบะ
ยอดขายรถยนต์
ราคารถยนต์
รถ EV
เปิดตัวรถใหม่
วิธีไหว้แม่ย่านาง
ฤกษ์ออกรถใหม่
พ่วงแบทเตอรี
วิธีดูแลรักษารถยนต์
ต่อภาษีรถยนต์ออนไลน์
รถใหม่
6 Sep 2010
แฮทช์แบคจิ๋วในรูปโฉมสุดเจ๋ง
ขณะจรดปลายนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ดเพื่อเปิด "ระเบียงรถใหม่"เดือนนี้ ฟุตบอลโลกในกาฬทวีปเพิ่งปิดฉากไปแค่ 3 วัน เสียงอื้ออึงของเจ้าแตรพลาสติค "วูวูเซลา" ยังระงมอยู่ในสองรูหู ภาพแสดงความยินดีของเหล่าสาวกทีม "กระทิงดุ" ยังติดตรึงอยู่ในสองตา เป็นฟุตบอลโลกที่ดูไม่สนุกและไม่ตื่นตาตื่นใจเหมือนที่เคยเป็นในอดีต เพราะกลยุทธ์ที่แทบทุกทีมงัดขึ้นมาใช้ต่อสู้กัน หวังผลแพ้ชนะมากกว่าความเพลินใจของผู้ชม อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า ฟุตบอลโลกครั้งแรกที่อุบัติขึ้นในทวีปแอฟริกา ทิ้งเรื่องราวให้พูดคุยกันได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีมที่เคยได้รับสมญานามว่า "หมูสนามจริง กระทิงสนามซ้อม" อย่างสเปน ความล้มเหลวเกินความคาดหมายของอดีตแชมพ์โลกผู้ยิ่งยงอย่าง อิตาลี อังกฤษ ฝรั่งเศส อาร์เจนตินา และบราซิล หรือการทำนายผลอย่างแม่นยำเหมือนรู้อนาคตของเจ้า "ปลาหมึกพอล" แชมพ์ตัวจริงเสียงจริงของการแข่งขันครั้งนี้ เดือนนี้ "ระเบียงรถใหม่" นำเรื่องราวของรถใหม่มาเล่าสู่กันฟังรวม 6 ชุด เป็นรถยุโรปล้วนๆ ของผู้ผลิตรถยนต์รวม 5 ราย และทั้งหมดล้วนเป็นรถที่อยู่ในตัวถังท้ายลาด อย่างที่เรียกกันในภาษาฝรั่งว่า HATCHBACK เริ่มกันที่ มีนี แฮทช์แบค (MINI HATCHBACK) รถยนต์นั่งขนาดจิ๋ว ซึ่งรู้จักกันดีทั่วโลก รถ มีนี แฮทช์แบค รุ่นที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน เป็นรถเจเนอเรชันที่ 2 รุ่นที่ 2 อวดตัวจริงเสียงจริงให้คนรักรถได้สัมผัสกันเป็นครั้งแรก ที่งานมหกรรมยานยนต์ปารีสเมื่อเดือนกันยายน 2006 และเริ่มจำหน่ายในตลาดยุโรป 2 เดือนหลังจากนั้น ตัวถังทรง2 กล่องซึ่งยาว 3.699-3.714 ม. กว้าง 1.683 ม. และสูง 1.407 ม. มีรูปทรงองค์เอวที่เหมือนกันมากกับรถเจเนอเรชันที่ 2 รุ่นแรก ที่อยู่ในตลาดระหว่างปี 2001-2006 จนแทบจะแยกไม่ออกว่าคันไหนรุ่นแรก คันไหนรุ่นที่ 2 ? ส่วนที่นำมาให้ชมกันนี้ เป็นรถเจเนอเรชันที่ 2 รุ่นที่ 2 ซึ่งเพิ่งได้รับการปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" เริ่มอวดตัวผ่านสื่อต่างๆ รวมทั้งสื่ออีเลคทรอนิคอย่างเวบไซท์เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และมีกำหนดออกจำหน่ายพร้อมกันในตลาดทั่วโลก วันที่ 18 กันยายน 2010 นี้ เป็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างมีสาระสำคัญ ทั้งในส่วนตัวถัง และเครื่องยนต์กลไก โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ ลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสีย และเพิ่มทางเลือกในการปรับแต่งรูปลักษณ์ของรถตามรสนิยมของผู้ใช้ การเปลี่ยนแปลงในส่วนของตัวถังภายนอก จุดที่สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน คือ การเพิ่มเติมชิ้นส่วนชุบโครเมียมในแผงกระจังหน้า กันชนหน้าที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด เพื่อลดแรงกระแทกเมื่อเกิดการชนคนเดินถนน และการเปลี่ยนดวงโคมไฟท้ายและไฟห้ามล้อเป็นไฟ LED ในรถทุกโมเดล ภายในห้องโดยสารที่นั่งได้เพียง 4 คน สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ ชุดบังคับควบคุมเครื่องเสียง และเครื่องปรับอากาศ สีของวัสดุหุ้มเบาะ และวัสดุตกแต่งหลายชิ้น ยังคงมีรถให้เลือกใช้รวม 6 โมเดลหลักเหมือนรถรุ่นปัจจุบัน คือ MINI ONE-MINI COOPER-MINI COOPER S-MINI JOHN COOPER WORKS-MINI ONE D และ MINI COOPER D แต่ที่เปลี่ยนไปคือ รายละเอียดของเครื่องยนต์ในรถแต่ละโมเดล โดยเฉพาะโมเดลที่ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล คือ MINI ONE D และ MINI COOPER D MINI ONE D และ MINI COOPER D ซึ่งเดิมติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง 4 สูบเรียง 1,560 ซีซี ของค่าย เปอโฌต์-ซีตรอง (PEUGEOT-CITROEN) ซึ่งให้กำลังสูงสุด 90 และ 110 แรงม้า ตามลำดับ เปลี่ยนเป็นติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรงของ บีเอมดับเบิลยู (BMW) ซึ่งให้กำลังสูงสุด 90 และ 112 แรงม้าตามลำดับ เป็นเครื่องยนต์ที่เคยใช้ในรถ BMW 116D และทั้ง 2 เครื่อง มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ต่ำเพียง 3.8 ลิตร/100 กม. หรือ 26.3 กม./ลิตร และมีอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต่ำอย่างน่าพอใจ คือ แค่ 99 กรัม/กม. เท่านั้นเอง สนนราคาค่าตัวของรถรุ่นยกหน้านี้ ยังไม่มีการระบุอย่างเป็นทางการ แต่คาดหมายกันว่า น่าจะเท่ากับรถรุ่นปัจจุบัน โดยเฉพาะรถพวงมาลัยขวา ซึ่งจำหน่ายอยู่ในอังกฤษ นั่นคือ เริ่มต้นที่ระดับ 11,160 ปอนด์ หรือเท่ากับประมาณ 558,000 บาท ในโมเดลพื้นฐาน คือ MINI ONE ไปจนถึง 23,400 ปอนด์ หรือเท่ากับประมาณ 1,170,000 บาท ในโมเดลหัวกะทิ คือ MINI JOHN COOPER WORKS
อ่านต่อ
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา formula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กันยายน ปี 2553
คอลัมน์ Online : รถใหม่
ลิงค์สำหรับแชร์ :
https://www.autoinfo.co.th/archive/28985
แชร์บทความ
Follow autoinfo.co.th