ผิดคาดเล็กๆ เหมือนกันกับทิศทางแนวโน้มการซื้อขายจำหน่ายรถยนต์ใหม่ปี 2553 ที่ยอดจำหน่ายปรับตัวสูงขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึงครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว หรือว่าพี่ไทยเราทำใจกันได้แล้วกับเรื่องของเศรษฐกิจ ปัญหาการเมืองที่คาราคาซังไม่จบไม่สิ้นกันเสียที อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ทางที่ดีทำตัวตามปกติ ถึงเวลาต้องเปลี่ยนรถใหม่ หรือรีรอดูท่าทีมานานว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ ก็ตัดสินใจฟันธงกันลงไปเลยว่า ซื้อหรือเปลี่ยนใหม่ ทำให้ตลาดรถยนต์ใหม่ในทุกตลาดเติบโตสวนกระแสอย่างต่อเนื่องจากปลายปีที่ผ่านมา จนถึงเดือนมกราคม และกุมภาพันธ์ ที่ผ่านพ้นไป

ผิดคาดเล็กๆ เหมือนกันกับทิศทางแนวโน้มการซื้อขายจำหน่ายรถยนต์ใหม่ปี 2553 ที่ยอดจำหน่ายปรับตัวสูงขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึงครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว หรือว่าพี่ไทยเราทำใจกันได้แล้วกับเรื่องของเศรษฐกิจ ปัญหาการเมืองที่คาราคาซังไม่จบไม่สิ้นกันเสียที อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ทางที่ดีทำตัวตามปกติ ถึงเวลาต้องเปลี่ยนรถใหม่ หรือรีรอดูท่าทีมานานว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ ก็ตัดสินใจฟันธงกันลงไปเลยว่า ซื้อหรือเปลี่ยนใหม่ ทำให้ตลาดรถยนต์ใหม่ในทุกตลาดเติบโตสวนกระแสอย่างต่อเนื่องจากปลายปีที่ผ่านมา จนถึงเดือนมกราคม และกุมภาพันธ์ ที่ผ่านพ้นไป ตลาดรถยนต์ในประเทศจากมกราคมถึงกุมภาพันธ์ ยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศทั้งหมดพุ่งขึ้นไปสูงถึง 103,735 คัน เติบโตมากกว่าช่วง 2 เดือนแรกของปีที่แล้วถึง 56.1 % เป็นการเติบโตอย่างพร้อมเพรียงกันในทุกตลาด โดยอยู่ในระดับเกินกว่า 50 % เกือบทั้งหมดจะยกเว้นอยู่ในส่วนของตลาดรถเอมพีวี ที่เติบโตสูงขึ้นเป็นทวีคูณ โดยสูงกว่า 2 เดือนแรกปีที่แล้วถึง 146.7 % เลยทีเดียว ผู้นำในตลาดรถยนต์ประเภทนี้กลับมาเป็นของ ฮอนดา อีกครั้งหนึ่ง จากการที่ ฮอนดา ฟรีด เอมพีวีขนาดคอมแพคท์ เริ่มทยอยส่งมอบให้แก่ลูกค้าที่สั่งจองไว้ก่อนหน้านี้ได้อย่างต่อเนื่อง และเอมพีวีรุ่นใหญ่ของ ปโรตอน ที่เข้ามาเปิดตัวแย่งส่วนแบ่งการตลาดตั้งแต่งาน มหกรรมยานยนต์ ปลายปีก่อน เป็นที่เข้าตาของผู้ต้องการใช้รถยนต์ประเภทนี้นั่นเอง ขณะที่เจ้าของมาร์เกตแชร์ส่วนใหญ่ของตลาดนี้อย่าง โตโยตา วิช อยู่ในตลาดนี้มานานแล้ว ความสดใหม่ลดน้อยถอยลงไปมากพอสมควร อีกไม่ช้าไม่นานคงถึงวาระต้องขยับขยายเปลี่ยนโมเดลกันบ้าง ย้อนกลับมาที่ตลาดรวมทั้งหมดอีกสักครั้ง ผู้ที่ยึดครองตำแหน่งหัวแถวยังคงเป็นหน้าเดิมๆ ไล่เรียงมากันตั้งแต่ โตโยตา กวาดยอดเข้ากระเป๋าไปแล้ว 41,748 คัน กินส่วนแบ่งการตลาดไป 40.2 % ตามด้วย อีซูซุ 22,210 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 21.4 % ฮอนดา จำหน่ายไปทั้งสิ้น 15,555 คัน ส่วนแบ่งการตลาด 15.0 % นิสสัน 5,577 คัน ส่วนแบ่งตลาด 5.4 % และ มิตซูบิชิ 4,850 คัน ส่วนแบ่งตลาด 4.7 % คาดว่าเมื่อผ่านไตรมาสแรกของปี 2553 นี้ไป อันดับคงจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด แต่หลังจากที่ผ่านพ้นช่วงเดือนเมษายนไป อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอันดับเกิดขึ้นได้ เพราะในช่วงระยะเวลา งกล่าวจะมีรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดอีกหลายรุ่นหลายโมเดล และเป็นโมเดลรุ่นที่เจ้าของค่ายหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นตัวเดินตลาดสร้างยอดให้ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำเสียด้วย ไม่ว่าจะเป็น นิสสัน มาร์ช อีโคคาร์คันแรกของเมืองไทย ที่ดึง “ครูกุ๊ก” เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธุ์ มาเป็นพรีเซนเตอร์ หรือมาซดา 2 ใหม่ ในสไตล์ซีดาน เป็นต้น รถยนต์นั่งส่วนบุคคล 2 เดือนแรกของปี 2553 ยังคงอยู่ในสภาพขาขึ้นต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ทั้งจากรถยนต์รุ่นใหม่ที่ออกสู่ตลาดที่ยังคงร้อนแรงอย่าง มาซดา 2 ที่วิ่งให้เห็นกันเกลื่อนเมืองอยู่ขณะที่รถยนต์นั่งป้ายแดงของบแรนด์อื่นๆ ก็มีให้เห็นมากขึ้นจากเดิมที่ไม่ค่อยให้เห็นมากนัก เช่น เก๋งเล็กจากเมืองจีน เชอรี คิวคิว หรือ มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอกซ์ ใหม่ เป็นต้น แต่สำหรับหัวแถวอย่าง โตโยตา และ ฮอนดา ถึงจะไม่คึกคักสดใส รับปีเสือ ในส่วนของโมเดลรถ แต่ก็ยังยึดตำแหน่งหัวแถวได้อย่างไม่หวั่นไหวกับกระแสคลื่นลูกใหม่แต่อย่างใด นี่ถ้าได้โมเดลใหม่สดเข้ามาเปิดตลาดอีก ตลาดรถยนต์นั่งคงจะคึกคักมากยิ่งขึ้นไปกว่านี้ ยอดรวม 2 เดือนแรกของปีอยู่ที่ 41,064 คัน สูงกว่าปีที่แล้ว 52.4 % 5 อันดับแรกของรถยนต์นั่ง ขายดีที่สุด ประกอบด้วย โตโยตา 17,465 คัน ฮอนดา 13,725 คัน มาซดา 3,513 คัน นิสสัน 1,938 คัน และเชฟโรเลต์ 1,069 คัน ขณะที่รถยนต์นั่งส่วนบุคคลยังได้รับการต้อนรับจากผู้ใช้รถอย่างต่อเนื่อง พิคอัพ 1 ตัน ก็กลับมาอยู่ในกระแสความต้องการใช้รถอีกครั้งหนึ่ง จากการที่เกษตรกรเริ่มมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จากพืชผลการเกษตรที่มีราคาดี ทำให้ความต้องการรถยนต์ใช้งานประเภทนี้มีมากขึ้นไปด้วย เดือนมกราคม และกุมภาพันธ์ 2553 รถพิคอัพ 1 ตัน สำหรับใช้งานทั่วไป ไม่จำเป็นต้องไปตะเกียกตะกายปีนเขา หรือทางทุรกันดารมากนัก มียอดจำหน่ายที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่าช่วง 2 เดือนแรกของปี 2552 ถึง 55.0 % คิดเป็นจำนวนหน่วยเท่ากับ 44,335 คัน และเป็น อีซูซุ ที่มีเวอร์ชันใหม่เอาใจแฟนๆ ที่ชื่นชอบการใช้รถพิคอัพแบบไร้ขีดจำกัด แถมด้วยมุมมองที่เท่สะดุดตาของ อีซูซุ ดี-แมกซ์ เอกซ์-ซีรีส์ ออกมาเอาใจ ทำให้เบอร์ 1 ของตลาดรถพิคอัพ 1 ตัน ขับเคลื่อน 2 ล้อ เวลานี้ ไหลกลับมาทาง อีซูซุ สามารถทำยอดจำหน่ายรวม 2 เดือนได้สูงถึง 19,246 คัน โกยส่วนแบ่งตลาดไปตุนไว้ก่อน 43.4 % วีโก ของ โตโยตา ยังอยู่ในช่วงพโรโมทความประหยัด วิ่งเหนือจรดใต้น้ำมันไม่หมดถัง ตามมาในอันดับที่ 2 ทำยอดจำหน่ายได้ 16,993 คัน ส่วนแบ่งตลาด 38.3 % ตามหลัง อีซูซุ ไปแล้ว 2,000 กว่าคัน อันดับ 3 เป็นของ นิสสัน 3,323 คัน ส่วนแบ่งตลาด 7.5 % อันดับที่ 4 มิตซูบิชิ 1,937 คัน ส่วนแบ่งตลาด 4.4 % แต่ที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เป็นครั้งแรกที่พิคอัพจาก ทาทา ทำยอดจำหน่ายเข้ามาอยู่ในอันดับที่ 5 โดย 2 เดือนจำหน่ายไปแล้ว 724 คัน ถูกทางแล้วสำหรับพิคอัพพลังงานทางเลือก ถึงแม้รูปร่างหน้าตาจะไม่แจ่มแจ๋ว แต่ประสิทธิภาพสมรรถนะเห็นได้ว่าได้รับการยอมรับจากผู้ใช้รถมากขึ้นเป็นลำดับแล้ว ถ้าใจถึงอัดแคมเปญเด็ดอีกสักหน่อย มีหวังยืนระยะในตำแหน่งนี้ได้อีกนาน ส่วนพิคอัพ 1 ตัน ขับเคลื่อน 4 ล้อ ก็มีความต้องการใช้งานมากขึ้นด้วย เช่นเดียวกับในประเภทขับเคลื่อน 2 ล้อ 2,662 คัน เป็นยอดจำหน่าย 2 เดือนแรกของปีของตลาดนี้ ปรับตัวสูงขึ้น 65.9 % เมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของปี 2553 ตลาดนี้ไม่มีพลาดสำหรับความเป็นผู้นำของตลาดที่ โตโยตา ผูกขาดมานับตั้งแต่มีรถยนต์ประเภทนี้ออกจำหน่ายในบ้านเรา มกราคม-กุมภาพันธ์ ยอดรวมของ โตโยตา อยู่ที่ 1,765 คัน มีส่วนแบ่งการตลาดที่ 66.3 % นอกนั้นก็ลดหลั่นกันไปจาก อีซูซุ 599 คัน นิสสัน 132 คัน มิตซูบิชิ 96 คัน ฟอร์ด 51 คัน เชฟโรเลต์ 18 คัน และ มาซดา 1 คัน นอกจากนี้ในส่วนของตลาดรถกิจกรรมกลางแจ้ง หรือเอสยูวี ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นอีกครั้งหนึ่งด้วยเช่นกัน 2 เดือนแรกมียอดจำหน่ายรวม 7,026 คัน มากกว่า 2 เดือนแรกปี 2552 ถึง 63.7 % ทางเลือกของผู้ใช้รถในตลาดนี้เริ่มมีมากขึ้น จากรถยนต์โมเดลใหม่ๆ บแรนด์ใหม่ๆ ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่โมเดลที่หวังยอดขายสูงส่งเท่าใดนัก แต่ก็ทำความคึกคักให้กับตลาดนี้ และผู้รักรถยนต์สไตล์นี้มากขึ้นกว่าในช่วงก่อนหน้านี้ ผู้นำตลาดนี้ 5 อันดับแรก ได้แก่ โตโยตา มียอดจำหน่ายรวม 2 เดือน 2,573 คัน ตามด้วย มิตซูบิชิ 1,521 คัน ฮอนดา 1,170 คัน อีซูซุ 903 คัน และ เชฟโรเลต์ 503 คัน เดือนหน้า มีนาคม เดือนสุดท้ายของไตรมาสแรกปี 2553 คาดว่าตลาดจะยังเติบโตในทิศทางที่เป็นบวกเหมือนเดิม แต่อาจจะไม่พุ่งปรู๊ดปร๊าดอย่างในช่วง 2 เดือนแรกของปี อันเนื่องจากปัจจัยทางการเมืองที่ส่อแววจะร้อนแรงสูงสุด โดยเฉพาะในเมืองหลวง กรุงเทพมหานครของเรา แต่ยังอาจได้แรงบวกอยู่บ้างจากช่วงเริ่มต้นของงานมอเตอร์โชว์ หักลบกันแล้วยังน่าเป็นบวกอยู่ ต้องดูกันต่อไป