เมื่อหลายเดือนก่อน นิสสัน ประกาศว่าจะเป็นผู้นำรถใช้พลังงานไฟฟ้า และขณะนี้ก็มีข่าวว่าเกาหลี (ใต้) เองก็หันมารับลูก โดยทดลองเรื่องการหาวิธีเติมพลังงานไฟฟ้าให้รถยนต์ เพราะเห็นด้วยว่าน้ำมันนั้นนับวันมีแต่จะร่อยหรอ ทุกคนต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ สร้างรถไฟฟ้าให้ใช้ได้จริง

เมื่อหลายเดือนก่อน นิสสัน ประกาศว่าจะเป็นผู้นำรถใช้พลังงานไฟฟ้า และขณะนี้ก็มีข่าวว่าเกาหลี (ใต้) เองก็หันมารับลูก โดยทดลองเรื่องการหาวิธีเติมพลังงานไฟฟ้าให้รถยนต์ เพราะเห็นด้วยว่าน้ำมันนั้นนับวันมีแต่จะร่อยหรอ ทุกคนต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ สร้างรถไฟฟ้าให้ใช้ได้จริง เกาหลีบอกว่า ในขณะที่บริษัทรถยนต์ และผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ทั่วโลกกำลังก้มหน้าก้มตาเข็นรถยนต์พันทางแบบเสียบปลั๊กชาร์จได้ (PLUG IN HYBRID) รวมทั้งรถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้าขึ้นมา แต่สำหรับเกาหลี ขณะนี้กำลังทดลองวิธีที่จะปฏิวัติการเติมพลังงานไฟฟ้าแบบใหม่เข้าสู่รถยนต์ แนวคิดของเกาหลี มีความแตกต่างที่น่าสนใจ หน่วยงานวิจัยชั้นนำของเกาหลีกำลังเอาจริงเอาจังกับการวิจัยเรื่องการชาร์จพลังงานไฟฟ้าจากสายเคเบิลใต้ดิน และมุ่งไปที่การทำแบทเตอรีให้เบา และมีราคาที่ถูกลง ทีมนักวิทยาศาสตร์ และวิศวกรเกาหลี 55 คน ซึ่งทำงานอยู่ที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าแห่งเกาหลี (KOREA ADVANCED INSTITUTE OF SCIENCE & TECHNOLOGY) ซึ่งอยู่ในมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า KAIST กำลังออกแบบสถานีบริการที่เคลื่อนที่ได้ หรือ SHUTTLE SERVICE อยู่ที่สวนสนุกในกรุงโซล โดยพาหนะที่จะขับเคลื่อนด้วยพลังงานที่นำมาจากการเหนี่ยวนำจากสนามแม่เหล็ก ซึ่งมาจากสายเคเบิลที่ฝังอยู่ใต้ดิน พูดถึงเรื่องใต้ดิน ดูเหมือนจะเป็นธรรมชาติของคนเกาหลี อย่างที่เราเรียกว่า SECOND NATURE ซึ่งหมายถึง วิถีชีวิตที่คนชาติหนึ่งๆ ทำกันอย่างเป็นธรรมชาติ เช่น หญิงแอฟริกันชอบเอาของทูนหัว ส่วนคนเกาหลีเอง ก็ใช้ใต้ถุนบ้านเป็นที่สร้างความร้อนทำให้ภายในบ้านอบอุ่น พอมาถึงเรื่องการเติมพลังงานไฟฟ้า ก็เลยคิดจะให้มาจากพื้นดินอีก เกาหลีได้เริ่มทำการทดสอบบริการเติมพลังงานไฟฟ้าตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว และปีนี้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ คือ กลางปี ก็จะเปิดให้รถบริการสาธารณะได้ทดลองใช้แนวคิดนี้ร่วมกับแนวคิดที่ว่ารถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ไม่จำเป็นต้องแบกแบทเตอรีขนาดใหญ่เทอะทะ และมีราคาแพง รถใช้พลังงานไฟฟ้านั้นจะถูกชาร์จไฟในขณะเคลื่อนที่ไปตามท้องถนนที่มีแถบพลังงานฝังอยู่ โช ดอง โฮ ผู้อำนวยการของ KOREA ADVANCED INSTITUTE OF SCIENCE & TECHNOLOGY แห่ง KAIST กล่าวว่า “ในเมื่อเราทุกคนจำเป็นต้องช่วยกันลดการปล่อยมลพิษ การใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าจึงเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป” โฮ ผู้นี้เป็นหัวหน้าโครงการ OLEV (ONLINE ELECTRIC VEHICLE) เขาเชื่อว่าเทคโนโลยีเติมพลังงานไฟฟ้าด้วยการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็ก จะเป็นเทคโนโลยีที่สะดวก และคุ้มค่าที่สุด สำหรับการเติมพลังงานให้กับรถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้า และจะช่วยแก้ปัญหาการที่แบทเตอรีสามารถเก็บพลังงานได้จำกัด และต้องใช้เวลาในการชาร์จนาน เมื่อต้องฝังแถบแม่เหล็กลงไปใต้ดินแบบนี้ ก็ต้องมีปัญหาเรื่องต้องทำให้พื้นถนนไร้เครื่องกีดขวาง ซึ่งต้องใช้เวลานานอย่างแน่นอนกว่าจะเป็นไปได้ และกว่าจะทำให้ระบบนี้เป็นที่แพร่หลาย สำหรับขณะนี้ทางมหาวิทยาลัยได้ทำการวิจัยโดยใช้รถที่ใช้ในสนามกอล์ฟแล่นอยู่ในมหาวิทยาลัยที่เมืองแดจองทางตอนใต้ของกรุงโซล สิ่งที่บรรดานักวิจัยต้องเอาชนะให้ได้ คือ ทำอย่างไร รถยนต์จึงจะดึงพลังงานได้ในปริมาณที่สูงพอจากแถบชาร์จที่อยู่ห่างจากใต้ท้องรถ และเมื่อตอนที่มหาวิทยาลัย KAIST นำเสนอโครงการทดลองนี้กับ ลี มุง บัก ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2552 แถบแม่เหล็กใต้ท้องรถทดสอบอยู่ห่างจากพื้นถนนเพียง 1 ซม. และสามารถดึงพลังงานจากเคเบิลที่ฝังอยู่ที่ถนนได้ถึง 80 % นักวิจัยได้ปรับปรุงการทดลองใหม่ และทำให้ช่องว่างระหว่างใต้ท้องรถกับถนนห่างกัน 12 ซม. ซึ่งระยะห่างอันนี้เป็นข้อกำหนดทั่วๆ ไปของการจราจรในประเทศส่วนใหญ่ มหาวิทยาลัยทำการทดลองอีกครั้งในเดือนสิงหาคมปี 2552 โดยใช้รถบัสทดลอง ปรากฏว่าประสิทธิภาพลดลงเหลือ 60 % แล้วก็ทำการทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีก จนตีตื้นขึ้นมาเป็น 72 % โดยระยะห่างใต้ท้องรถกับท้องถนนเป็น 17 ซม. ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นที่น่าพอใจ แน่นอนประเด็นที่สำคัญก็คือ ค่าใช้จ่าย ทางด้านผู้ประสานงานโครงการ คือ ซอง มิน โชล บอกว่า การฝังแถบแม่เหล็กลงบนพื้นถนน จะมีต้นทุนต่ำกว่าการทำสถานีชาร์จไฟไว้ตามสถานที่ต่างๆ ภายในเมือง เพราะค่าที่ดินในเมืองนั้นสูงลิบลิ่ว และจะไม่คุ้มทุน เพราะเจ้าของสถานีชาร์จจะสามารถเก็บเงินค่าชาร์จกับเจ้าของรถได้ไม่กี่สตางค์ นอกจากนี้ระบบ OLEV ยังต้องการใช้แบทเตอรีที่มีขนาดแค่ 1 ใน 5 ของแบทเตอรีที่รถไฟฟ้าจะใช้กัน ทำให้ประหยัดค่าวัสดุให้แบทเตอรี ด้วยเหตุที่ว่าระบบ OLEV จะทำให้แบทเตอรีถูกชาร์จระหว่างขณะกำลังวิ่งบนถนน และขณะรถติด นักวิจัยที่ KAIST ประเมินว่า เกาหลีจะต้องติดตั้งแถบแม่เหล็กนี้ครอบคลุม 30 % ของถนนในเกาหลี เพื่อทำให้ระบบนี้ทำงานได้เต็มที่ โดยที่ถนนในซอย หรือในแถบที่อยู่อาศัย คงไม่จำเป็นต้องมีแถบแม่เหล็กที่ว่านี้ ทีนี้พอ KAIST ประกาศผลวิจัยออกมา ก็เกิดมีการแย่งซีนกันขึ้นมาทีเดียว มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย ที่ ลอว์เรนศ์ เบิร์คเลย์ จัดแจงออกมาบอกว่าเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ที่นั่นก็เคยวิจัยมาเมื่อ 20 ปีก่อน เพียงแต่ยังไม่ได้นำมาขยายผลทางการค้า ทาง KAIST ก็ตอบโต้ว่า ในตอนนั้นยังไม่มีใครหยิบยกมาวิจัยต่อ ก็เพราะราคาน้ำมันยังทนกันได้ บัดนี้เราชักจะรับราคาน้ำมันกันไม่ค่อยไหว จึงต้องหันกลับมาปัดฝุ่นเทคโนโลยีนี้กันใหม่ รัฐบาลเกาหลีให้การสนับสนุนการวิจัยนี้อย่างเต็มที่ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2552 ได้อนุมัติงบประมาณจำนวน 21 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ (ประมาณ 693,000,000 บาท) สำหรับการวิจัย และกำลังพิจาราณางบประมาณก้อนใหม่ จำนวน 83 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ (ประมาณ 2,739,000,000 บาท) งบประมาณนี้อยู่ภายใต้นโยบายของรัฐบาลเกาหลีที่ต้องการผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตด้วยเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รัฐบาลท้องถิ่นหรือ กทม. เกาหลี ก็ได้ร่วมสนับสนุนด้วยงบประมาณอีก 832,000 เหรียญสหรัฐ ฯ (ประมาณ 1,7472,000 บาท) เพื่อทดสอบบริการชัทเทิลบัสที่สวนสนุกในกรุงโซล “ถ้าหากสำเร็จ เราก็จะขยายไปที่บัสเลนบางสายต่อไป” คนที่พูด คือ ยู จุน ซู ซึ่งรับผิดชอบด้านคุณภาพอากาศของกรุงโซล แผนการของ KAIST ในการทำให้งานนี้เป็นจริง จะกินเวลาตั้งแต่ปี 2555 และจะใช้เวลา 30 ปี และเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องคุยโม้ ในเมื่อเกาหลีก็มีเทคโนโลยียานยนต์ของตัวเอง และสร้างรถยนต์จนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลกแล้ว