ทั่วไป
เมื่อ 2-3 วัน ก่อนได้ข่าวว่า นิสสัน แจ้งผลประกอบการที่เหนือกว่าความคาดหมาย...
เมื่อ 2-3 วัน ก่อนได้ข่าวว่า นิสสัน แจ้งผลประกอบการที่เหนือกว่าความคาดหมาย...
เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน นิสสัน ได้แจ้งต่อสาธารณชนว่ามีผลกำไร 90 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ สำหรับระยะเวลา 6 เดือน คือ จากเมษายน-กันยายน 2552 และยังแจ้งผลขาดทุนตลอดปี เหลือเพียง 400 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ จากที่เคยคาดการณ์ว่าอาจจะขาดทุนถึง 1.79 พันล้านเหรียญสหรัฐ ฯ
สาเหตุที่ผลการขาดทุนลดลงก็เนื่องมาจากการที่รัฐบาลมีโครงการให้ราคาพิเศษแก่ผู้ซื้อ โดยรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุน รวมทั้งการเติบโตที่เข้มแข็งในประเทศจีน นอกจากนี้ นิสสัน ยังมีมาตรการลดค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพอีกด้วย
แต่ขนาดนี้ซีอีโอคนเก่งคนดัง การ์โลส โกส์น ก็ยังไม่ดีอกดีใจจนออกนอกหน้า และเขาบอกว่า "สถานการณ์ก็ยังไม่น่าไว้วางใจ และเราจะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด จะต้องระมัดระวังต่อไป จนกว่าจะมีสัญญาณว่าเศรษฐกิจได้ฟื้นแล้วอย่างยั่งยืน"
นิสสัน ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองโยโกฮามา พยายามที่จะวางตัวว่าเป็นผู้นำด้านยานยนต์ที่ใช้ไฟฟ้า ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากว่า นิสสัน นั้นไม่มีเทคโนโลยีไฮบริดเช่นเดียวกับ โตโยตา หรือ ฮอนดา ทำให้ภาพลักษณ์ของการเป็นผู้ผลิตยานยนต์สีเขียวออกจะดูหมองไป
เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา นิสสัน ได้นำยานยนต์ใช้ไฟฟ้าที่ชื่อว่า ลีฟ (LEAF) ออกแสดง โดยมีเป้าหมายจะนำออกจำหน่ายในญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกาในปี 2553 ที่จะถึงนี้ รถคันที่ว่าจะสามารถแล่นได้ 160 กม./การชาร์จแบทเตอรี 1 ครั้ง ในขณะที่ราคาไม่ได้แพงกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ค่าดูแลก็ไม่ได้แพงกว่าด้วย
นิสสัน ซึ่งอยู่ค่ายเดียวกับรถยนต์ เรอโนลต์ ของฝรั่งเศส และมีผู้บริหารคนเดียวกัน คือ การ์โลส โกส์น คนนี้ กำลังวางแผนว่าจะผลิตรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าให้ได้เป็นแสนคัน/ปี เป็นเป้าหมายที่ไม่มีบริษัทรถยนต์ค่ายไหนกล้าตั้ง ในปี 2555 นิสสัน กะจะขายเจ้า ลีฟ คันนี้ไปทั่วโลก โดยที่คาดการณ์ว่าเมื่อถึงปี 2563 รถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าจะมีสัดส่วน 10 % ของรถยนต์ทั่วโลก เขาบอกว่า
"เวลานี้โลกเราห่วงใยเรื่องการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์กันมาก เรากำลังให้ข้อเสนอที่ท้าทายกับประเด็นดังกล่าว ข้อเสนอที่จะทำให้การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์" คำพูดนี้ทุกคนได้ยินก้องชัดเจนในงานมหกรรมยานยนต์โตเกียว เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว
ก็เพราะคุยดังฟังชัดแบบนี้เอง ก็ไม่รู้จะเข้าขั้นให้ข้อมูลเกินจริงหรือเปล่า รวมกับเสียงประกาศที่ว่าได้ลงทุนไปถึง 5.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ในโครงการรถไฟฟ้า และการผลิตแบทเตอรี ทำให้หุ้นของ นิสสัน พุ่งขึ้นถึง 2 เท่า ในปีนี้
ในขณะที่หุ้นของคู่แข่ง คือ โตโยตา ก็ขึ้นไป 22 % และ ฮอนดา ขึ้นไป 49 %
ในขณะที่ นิสสัน ฝันถึงปีหน้าที่สดใส คู่แข่งอย่าง โตโยตา หรือ ฮอนดา ก็มีแนวโน้มที่ดีเช่นกัน อย่างเช่น ฮอนดา ซึ่งสามารถรอดตัวจากวิกฤตเมื่อปีที่แล้วอย่างหวุดหวิด โดยไม่มีตัวเลขขาดทุนเหมือนทุกค่ายรถยนต์ และแถมรถรุ่นต่างๆ ที่ออกมาในตลาดอาเซียนอย่าง ฟรีด (FREED) ก็ไปได้ดี ส่วน โตโยตา ก็ไหวทัน รีบตัดโครงการ ฟอร์มูลา 1 ซึ่งมีแต่ใช้เงินมหาศาล โดยไม่ได้สร้างรายได้ตรงไหนทิ้งไปซะ เพื่อว่าต่อแต่นี้ จะมีแต่การผลิตที่สร้างรายได้
ดูเหมือนว่า นิสสัน ตั้งใจจะตีฆ้องร้องป่าวเรื่องรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ใช่หรือไม่ เป็นที่น่าสังเกตว่า นิสสัน หยุดพูดเรื่องแผนงานรถกระบะซึ่งตั้งใจจะให้เป็นตัวสร้างการเติบโตในอเมริกาเหนือ ดูเหมือนว่าสำหรับนักวิเคราะห์แล้ว นอกจากข่าวการเป็นผู้นำรถยนต์ใช้กระแสไฟฟ้า ซึ่งเป็นข่าวที่ถือว่าฮือฮา ฉะนั้นพวกเขาอาจจะอยากได้ยินว่า แล้วเรื่องประสิทธิภาพในการผลิตล่ะจะเป็นอย่างไร ?
ถ้าอ่านความเป็นมาของ นิสสัน เมื่อหลายทศวรรษที่ผ่านมา จะจำกันได้ว่า นิสสัน นี่แหละ คือ ผู้ผลิตรถญี่ปุ่นรายแรกที่ใช้คอนเซพท์ของพื้นตัวถังเดียวกัน (PLATFORM) ที่ทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพ แนวคิดนี้ไม่เพียงแต่ผู้ผลิตญี่ปุ่นด้วยกันเองที่ใหญ่กว่าอย่าง โตโยตา จะเลียนแบบ ผู้ผลิตยุโรป และสหรัฐอเมริกา ก็เอาไปทำตามกันเป็นทิวแถว เช่นกัน เพราะมันทำให้แต่ละบริษัทสามารถออกรถโมเดลต่างๆ โดยใช้ พแลทฟอร์ม เดียวกันได้รวดเร็วขึ้น ที่เราเห็นปีหนึ่งๆ แต่ละยี่ห้อก็ออกรถรุ่นต่างๆ ออกมาได้ถี่ยิบ ส่วนหนึ่งก็มาจากการใช้การผลิตแบบนี้นี่เอง
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะ พแลทฟอร์ม มาจากแนวคิดญี่ปุ่นหรืออย่างไร ทำให้ซีอีโอ การ์โลส โกส์น ไม่ได้ใช้ประโยชน์ตรงนี้เต็มที่ ปล่อยให้โรงงานใช้ประสิทธิภาพไม่ได้เต็มที่ ที่เคยชนะ โตโยตา กับ ฮอนดา ก็แพ้เสียแล้ว ผู้เขียนจำได้ว่าเคยมีผู้ทำสถิติไว้ว่าโรงงานแต่ละแห่งผลิตรถได้นาทีละกี่คัน ซึ่งตอนนั้น นิสสัน กินขาด แต่ขณะนี้เกิดกินไม่ขาดเสียแล้ว
นักวิเคราะห์ดูจะไม่ตื่นเต้นกับรถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้าของ นิสสัน เท่าไร เพราะยังไม่แน่ว่ากำไรจะเป็นอย่างไร ดีไม่ดีอาจลงทุนสูง ไม่คุ้มค่าก็ได้ พวกเขาพากันบอกว่าให้แก้ปัญหาที่โรงงานเสียก่อน ก่อนจะกระโดดไปเรื่องประดิษฐกรรมอันใหม่
เสียงวิจารณ์ยังตามมาเมื่อได้ยินการคาดการณ์ฟุ้งเฟื่องของ โกส์น ที่ว่าภายในอีก 10 ปี รถไฟฟ้าจะได้ส่วนแบ่งตลาดถึง 10 % ส่วนใหญ่คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ เมื่อดูพัฒนาการของตลาดรถยนต์ไฮบริดเป็นตัวอย่าง ก็ปรากฏว่าหลังจากที่ โตโยตา ออกตัว ปรีอุส มาได้ 12 ปี ส่วนแบ่งตลาดทั่วโลกเพิ่งจะเป็น 2 % เท่านั้นเอง ซึ่งเรื่องนี้นักวิเคราะห์ก็บอกว่ามันจะต้องมีตัวแปรอยู่ 2 ตัว ที่จะทำให้คนนิยมซื้อหามาขับขี่มากขึ้น เรื่องแรกก็คือ ราคา ถ้าลงกว่านี้อีกหน่อย กับเรื่องอายุของแบทเตอรี ถ้าเก็บไฟได้นานขึ้นอีก มันก็จะไปได้ฉลุย ตัวแปรนี้ก็นำมาใช้ได้กับรถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้าเหมือนกัน คือ ถ้า นิสสัน สามารถใช้แบทเตอรีที่เก็บไฟได้นาน ไม่ใช่วิ่งไป 50 กม. แล้วต้องหาที่ชาร์จ และถ้าหากตั้งราคาให้น่าซื้อได้ ก็ถึงจะไปได้สวย
ช่วยไม่ได้ที่นักวิเคราะห์จะดักคอ นิสสัน เพราะในอดีต เมื่อปี 2551 นิสสัน เคยประกาศว่าจะจับมือกับ เรอโนลต์ และบริษัท BAJAJ ของอินเดียสร้างรถเล็กจิ๋วแบบนาโนสำหรับตลาดใหม่อย่างอินเดีย และบอกว่าจะวางตลาดในปี 2554 แต่แล้วทุกอย่างก็เงียบหายไป นักวิเคราะห์กระแหนะกระแหนว่า นิสสัน ตั้งเป้าเอาไว้เองนะ แล้วจะทำได้ไหม
ต่อมา นิสสัน ก็ออกมาแถลงว่า โครงการนี้ค่อนข้างท้าทาย ยังค่อยๆ ทำไป ไม่ได้ทิ้ง แต่ไม่ได้บอกว่าจะคลอดออกมาเมื่อไหร่
อย่างไรก็ดี ข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งของโครงการรถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้า ก็คือ รัฐบาลจะมีส่วนให้ความช่วยเหลือเป็นเงินหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ในการสร้างโรงงานใหม่ หรือปรับปรุงโรงงานผลิตเดิม นอกจากนี้ตัวเลขขาดทุนที่ลดลงเรื่อยๆ จากปี 2547 ก็แสดงให้เห็นถึงฝีมือบริหารของ การ์โลส โกส์น และ นิสสัน กลายเป็นหนึ่งในบริษัทรถยนต์ที่มีกำไรดีของโลก
เรื่องโดย : เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง fomula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2553
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/28432