รถใหม่
ตั้งแต่ต้นปีมานี้ เรื่องส่วนใหญ่ในคอลัมน์เทคนิคของผม เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีประหยัดพลังงาน หรือประหยัดเชื้อเพลิง พลังงานทางเลือกเทคโนโลยียานยนต์ในอนาคตที่เกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน ซึ่งที่จริงแล้วก็คงเหมาะสม เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมยานยนต์
ตั้งแต่ต้นปีมานี้ เรื่องส่วนใหญ่ในคอลัมน์เทคนิคของผม เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีประหยัดพลังงาน หรือประหยัดเชื้อเพลิง พลังงานทางเลือกเทคโนโลยียานยนต์ในอนาคตที่เกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน ซึ่งที่จริงแล้วก็คงเหมาะสม เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมยานยนต์
ถ้าเปรียบเทียบกับอาหาร ถึงจะดีมีคุณประโยชน์ แต่ถ้ากินเป็นประจำ เราก็ต้องเบื่ออยู่ดีนะครับ ถ้าคนเขียนชักเริ่มเบื่อเรื่องพลังงานเหล่านี้ คนอ่านก็คงเบื่อเหมือนกัน อาจจะก่อนคนเขียนเสียด้วย
เดือนนี้เลยขอเปลี่ยนบรรยากาศมาคุยเรื่องรถสปอร์ทบ้างครับ ถ้าเปรียบกับอาหาร ก็คงเป็นอะไรที่ไม่ได้จำเป็นต่อร่างกาย อาจจะไม่มีประโยชน์เลย หรือมีโทษเล็กน้อยด้วย แต่ว่ามันอร่อย เรารู้สึกดีมีชีวิตชีวาตอนกินมัน
ยอดจำหน่ายของรถสปอร์ท ขึ้นอยู่กับความร่ำรวย กินดีอยู่ดีของลูกค้าครับ เพราะเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย เกินเลยไปจากความจำเป็น ฐานะของผู้ผลิตรถสปอร์ทขาย จึงขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลกโดยตรง และก็เป็นที่รู้กันว่า กำลังเวียนว่ายกันอยู่แถวๆ ก้นเหวที่ลึกเอาการ หลังเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เมื่อปลายปีที่ผ่านมา
ตั้งแต่ปี 2002 จนถึง 2007 ยอดขายรถสปอร์ททั่วโลก ค่อยๆ เพิ่มอย่างต่อเนื่องเกือบ 50 % หรือถ้าเอามาเฉลี่ยก็ประมาณปีละเกือบ 10 % ถึงจุดสูงสุดราวๆ กลางปี 2007 ด้วยยอดจำหน่ายเกือบ 170,000 คัน ก่อนที่จะค่อยๆ ร่วงลงมาอย่างต่อเนื่องจนถึงกลางปี 2008 ที่ดิ่งลงค่อนข้างหนัก เรื่อยมาจนถึงกลางปีนี้ ที่หวังกันว่า ขอให้เป็น ก้นเหว จริง เพื่อที่จะรอวันฟ้าใหม่สดใสกันเสียที
ยอดขายประจำปีนี้ ซึ่งสำรวจเมื่อกลางปี อยู่แค่ 90,000 กว่าคันเท่านั้นครับ ดูเหมือนไม่น้อย แต่ถ้าเทียบกับกลางปี 2007 ก็เกินครึ่งไปนิดเดียว หรือถ้ามองแบบไม่เปรียบเทียบโดยเฉลี่ยไปยังประเทศอุตสาหกรรมที่ร่ำรวย กับประเทศฐานะปานกลาง ก็จะเป็นจำนวนรถสปอร์ทที่ขายได้เพียงปีละไม่กี่พันไม่กี่ร้อยคันเท่านั้น ซึ่งต้องถือว่าน้อยมากครับ
ที่จริงแล้วธุรกิจสร้างรถสปอร์ท ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากธุรกิจอื่นๆ ในหลักการทั่วไป ก็คือทำผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพคงเส้นคงวา บริการหลังการขายให้ดี อย่าให้ลูกค้าผิดหวัง แล้วก็ขยายกิจการแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างมั่นคง อย่าก้าวกระโดดทำอะไรเกินตัวเพราะความโลภ
เรื่องทำนองนี้ เป็นแบบ พูดง่ายแต่ทำยากครับ เพราะกรรมการผู้จัดการและบรรดากรรมการบริหารบริษัทรถยนต์เหล่านี้ มีหน้าที่ทำกำไรให้กับผู้ถือหุ้น แล้วส่วนใหญ่คนพวกนี้ก็ถือหุ้นของบริษัทที่ทำงานให้อยู่ด้วย ทั้งแบบได้รับมาฟรีเป็นเครื่องล่อใจให้ตั้งหน้าหากำไร หรือไม่ก็ซื้อเองในราคาถูกพิเศษ ความรู้พื้นฐานพวกนี้ ก็มีกันอยู่เหลือเฟือ จนบางทีลืมไปว่า มันมีองค์ประกอบอื่นที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ประกอบกับนั่งดูบริษัทอื่นที่อาจจะเก่งหรือไม่ก็ เฮง หรืออาจจะทั้งสองอย่าง รับทรัพย์ให้เห็นต่อหน้าต่อตา จนความโลภเข้าครอบงำ ผลิตรถโดยใช้ชื่อใหม่ที่ลูกค้ายังไม่ยอมรับบ้าง บางรายก็ผลิตรถแนวที่ไม่ถนัดมาก่อน หรือไม่ก็รู้ทั้งรู้ ว่าอุปสงค์กับอุปทานของรถประเภทที่จะผลิต มันพอๆ กันอยู่แล้ว ก็ยังฝันว่าจะแย่งลูกค้าจากคู่แข่งมาได้
ตัวอย่างจริงก็มีอยู่นะครับ แต่ถ้านำมาเล่า อาจจะไม่เป็นธรรมต่อผู้แทนจำหน่ายหรือผู้ผลิตในประเทศเรา ผมเลยขอผ่านตรงนี้ไปก่อนครับ แต่ถ้ายึดมั่นกับการรู้จักประมาณตน ไม่ทำอะไรเกินตัว เน้นคุณภาพของรถ จำกัดยอดผลิตให้เหมาะสม โอกาสล้มเหลวมีน้อยมากครับ เพราะมนุษย์เรามีความต้องการของใช้ หรือของเล่นก็ตาม ที่มีความพิเศษอยู่เสมอ เมื่อใดฐานะทางการเงินเอื้ออำนวย ก็จะอยากได้มาใช้หรือครอบครอง ขนาดฐานะยังไม่เอื้อ ก็ยังเข้าคิวกันสั่งจองแล้ว ผ่อนค่างวดไม่ไหว ก็ปล่อยให้ถูกยึดคืนไป แต่แบบหลังนี่คงไม่สมควรที่ใครจะเลียนแบบครับ
ผมชอบคำตอบของ อาเมเดโอ เฟลิซา (AMEDEO FELISA) ผู้บริหาร แฟร์รารี ที่ตอบได้ดีมาก เมื่อนักข่าวถามถึงอนาคตจากปัญหายอดจำหน่ายที่ลดลงในปีนี้ ซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ที่ 10 % จากยอดจำหน่ายของปีที่แล้วประมาณ 6,400 คัน ซึ่งก็คงจะเกิน 5,500 คันไปไม่มาก เฟลิซา ตอบว่า ไม่มีปัญหา เราเอาตัวรอดได้แน่ เราเป็นตัวเสริมสอดแทรกอยู่ในตลาดหลักเท่านั้น ปริมาณผลิตที่ไม่มากของเรา คือ หลักประกันที่มั่นคง
ชัดเจน และไม่มีใครแย้งได้เลยนะครับ ผมเชื่อว่า บริษัทรถสปอร์ทระดับเดียวกัน หรือแนวเดียวกันรายอื่น อย่าง แอสตัน มาร์ทิน ลัมโบร์กินี หรือ มาเซราตี ก็คงจะมีความเห็นและปฏิบัติทำนองเดียวกัน ส่วน โพร์เช เลือกเดินในแนวอื่นไปแล้ว และก็ประสบความสำเร็จมากทีเดียวกับทุกรุ่น นอกจาก พานาเมรา ซึ่งเพิ่งออกใหม่ และต้องเจอศึกหนักพอสมควร กับคู่แข่งที่ขึ้นแท่นกันอย่างมั่นคงอยู่แล้ว คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องตัดสินครับ
นอกจากปัญหาความอยู่รอด ซึ่งขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโลก กับฝีมือและแนวคิดของผู้บริหารแล้ว ปัญหาหลักของบริษัทรถสปอร์ทเหล่านี้ ก็คือ ปัญหาสิ่งแวดล้อม พูดให้แคบลงอีก ก็คือ ปัญหาปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสียที่เครื่องยนต์ปล่อยออกมา ซึ่งถูกกฎหมายควบคุมให้ลดปริมาณลงเรื่อยๆ อย่างเป็นขั้นตอน เพราะภาระที่บริษัทเหล่านี้ต้องแบกรับนั้น มันหนักเป็นสองเท่าของบริษัทผลิตรถรายใหญ่ทั่วๆ ไป
อย่างแรก ก็คือ เงินทุนในการพัฒนาเทคนิคเครื่องยนต์ให้คายคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ไม่ได้ขึ้นกับจำนวนรถที่ผลิตหรือจำหน่าย พอมาเทียบเป็นสัดส่วนกับรายรับหรือผลกำไรแล้ว ก็สูงเอาการครับ ในขณะเดียวกัน เครื่องยนต์สปอร์ทกำลังสูงเหล่านี้ คายคาร์บอนไดออกไซด์มากตามกำลังของมันอยู่แล้ว เมื่อเทียบระยะทางที่วิ่งเท่ากัน ตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด วิศวกรเครื่องยนต์ของโรงงานรถสปอร์ท ก็เลยต้องใช้ทั้งความสามารถและเงิน มากกว่าของโรงงานรถธรรมดา เมื่อถึงเวลาคับขัน คนเรามักจะมีมุมมองแบบเข้าข้างตัวเอง
อาเมเดโอ เฟลิซา ให้ความเห็นว่า ถ้าจะให้กฎหมายนี้ยุติธรรม ก็ต้องวัดปริมาณไอเสียที่รถแต่ละคันปล่อยออกมาจริงๆ ในแต่ละปี เพราะโดยเฉลี่ยแล้ว แฟร์รารี คันหนึ่ง ถูกขับปีละ 7,000 กม. เท่านั้น จึงปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดทั้งปี น้อยกว่ารถ ไฮบริด อย่าง โตโยตา ปรีอุส ที่ขับกันปีละหลายหมื่นกม.
จริงหรือเปล่า ผมก็ยังไม่มีเวลาคำนวณ แต่ก็เป็นความเห็นที่ไม่ค่อยเข้าท่า เหมือนข้อแก้ตัว และพวกที่ออกกฎหมายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ก็คงไม่มีใครสนใจความคิดนี้ ซึ่งแกก็คงจะรู้ตัวเหมือนกัน เพราะแถลงต่อไปกับผู้สื่อข่าวว่า ในปี 2012 แฟร์รารี จะลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสียลง 40 % จากค่าของปี 2007 โดยการปรับปรุงระบบขับเคลื่อน พร้อมกับการลดน้ำหนักรวมของตัวรถ
ส่วน มาอูริซีโอ เรจจานี (MAURIZIO REGGIANI) หัวหน้าวิศวกรของ ลัมโบร์กินี แถลงว่า เราจะลดคาร์บอนไดออกไซด์ โดยการลดน้ำหนักตัวรถ ซึ่งก็ต้องอาศัยการพัฒนาวัสดุใหม่ๆ ขึ้นมาใช้ โดยไม่ทำให้คุณสมบัติในด้านความเป็นรถสปอร์ทของ ลัมโบร์กินี ลดลง เพราะเราคือผู้นำตั้งแต่เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา ในการนำวัสดุสังเคราะห์มาผสานกันเป็นชิ้นส่วนของรถ
ถึงจะช่วยให้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงได้ไม่มาก เพราะการลดน้ำหนักตัวรถลงราวๆ
100 กก. ซึ่งยากและแพงมาก ช่วยให้ปริมาณแกสเจ้าปัญหานี้ลดลงแค่ 2 % เท่านั้นครับ
ผมคิดว่าผลพลอยได้ หรืออาจจะเป็นเป้าหมายหลักก็ได้ คือ สมรรถนะของรถที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอัตราเร่งที่ลูกค้ารถสปอร์ทระดับนี้ ใช้คุยข่มกันหรือไม่ก็ใช้เป็นหัวข้อสำคัญในการเลือกซื้อ เช่น อัตราเร่ง 0-100, 0-160 หรือ 0-200 กม./ชม.
ส่วนการลดแรงเสียดทาน หรือลดพลังงานที่สูญเสียไปในระบบขับเคลื่อน ตั้งแต่ในเครื่องยนต์ เช่น แหวนลูกสูบ ชุดควบคุมวาล์ว เฟืองต่างๆ และแบริงในห้องเกียร์ เฟืองท้าย ไปจนถึงแรงเสียดทานตอนยางกลิ้งกับถนนมีโอกาสให้คาร์บอนไดออกไซด์ลดลงได้เกือบ 10 % ครับ
ลัมโบร์กินี เปิดเผยว่า จะใช้ระบบ MILD HYBRID กับรถสปอร์ทในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ส่วน แฟร์รารี บอกว่า อีกไม่เกิน 4 ปี ลูกค้าจะได้ขับ แฟร์รารี ไฮบริด แบบเต็มตัว ก็ยังเป็นอะไรที่ไม่แน่นอน และคงต้องติดตามกันต่อไปครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี jassada@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2552
คอลัมน์ Online : รถใหม่
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/28072