เริ่มลืมตาอ้าปากกันขึ้นมาหน่อย เมื่อตัวเลขการขายเดือนกรกฎาคม ไม่ได้เลวร้ายลงไปจากเดิม ลดตัวลงเพียงนิดหน่อย แต่ยอดขายสะสมยังคงไม่กระเตื้องขึ้นมาเท่าใดนัก ก็ยังเป็นไปในทิศทางที่ดีสำหรับค่ายรถยนต์ทุกค่าย

เริ่มลืมตาอ้าปากกันขึ้นมาหน่อย เมื่อตัวเลขการขายเดือนกรกฎาคม ไม่ได้เลวร้ายลงไปจากเดิม ลดตัวลงเพียงนิดหน่อย แต่ยอดขายสะสมยังคงไม่กระเตื้องขึ้นมาเท่าใดนัก ก็ยังเป็นไปในทิศทางที่ดีสำหรับค่ายรถยนต์ทุกค่าย ก็เข้าทางกับการมองภาพรวมของภาคเอกชน ที่ยังมองว่า ถึงแม้ในบางภาคส่วน จะยังไม่ค่อยกระเตื้องเท่าใดนัก แต่ในภาพรวมแล้ว ก็มีแต่เสียงประสานกันออกมาว่า พอจะกระเตื้องขึ้นมาบ้าง งานนี้ต้องให้เครดิทกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ ที่ลงมือสำรวจเรื่องที่อยู่ในความสนใจอย่างทันท่วงที งานนี้สำนักงานสถิติ ลงมือสำรวจผู้ประกอบการ เกี่ยวกับผลกระทบจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ และน่าสนใจที่ว่า เป็นการส่งเจ้าหน้าที่ออกไปสัมภาษณ์โดยตรง ในแทบจะทุกธุรกิจที่มีคนทำงาน 200 คนขึ้นไป รวม 1,746 ราย พบว่า โดยภาพรวมแล้ว สถานการณ์ไม่ปกติในประเทศ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทย มากกว่าผลกระทบจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลก ส่วนผลกระทบของอุตสาหกรรมนั้น มองกันว่าเศรษฐกิจในช่วงกลางปี 2552 น่าจะอยู่ในจุดต่ำสุดแล้ว และคาดการณ์กันว่า ปัญหาต่างๆ จะค่อยๆ ลดลงในอีก 6 เดือนข้างหน้า นี่ก็ตรงกันกับ ม.หอการค้า ที่ประเมินว่า ตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ไตรมาส 2 ติดลบน้อยลง สะท้อนให้เห็นว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้น ตามภาวะเศรษฐกิจโลก และคาดว่า ไตรมาส 3 ก็จะติดลบน้อยลงอีก แถมเชื่อมั่นว่าจะกลับมาขยายตัวเป็นบวก ภายในไตรมาสสุดท้ายของปี 2552 แต่ประชาชนจะสามารถรับรู้ได้ ถึงรายได้ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนในไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า แต่ก็อย่างที่รู้กัน เรื่องปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่ามากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค รวมทั้งต้องพยายามทำให้การเมืองมีเสถียรภาพ แถมฝากเตือนภาคประชาชนควรใช้จ่ายตามกำลัง อย่าก่อหนี้ให้มากเกินไป เพราะเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลกยังมีโอกาสผันผวนได้อีก แถมอีกท่าน ประธานอาวุโส หอการค้าไทย ก็บอกว่า ธุรกิจยานยนต์ในครึ่งปีหลังมีสัญญาณการใช้กำลังการผลิตดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก แต่ยังต่ำกว่าปีที่แล้ว 10 % ทำให้ปีนี้ธุรกิจยานยนต์หดตัวลงประมาณ 20 % ซึ่งถือว่าไม่เลวร้ายมากนัก จึงเรียนมาเพื่อทราบ จะได้ไม่ต้องตระหนกตกใจกันมากนัก ในส่วนของค่ายรถยนต์ บรรดาโรงงานประกอบรถยนต์ ต่างก็ค่อยๆ ทยอยจ้างลูกจ้างประจำเพิ่มมากขึ้น เพราะประเมินกันว่า ยอดการขายในช่วงครึ่งปีหลัง น่าจะเพิ่มสูงขึ้น จากการที่แต่ละค่าย ต่างก็ตั้งท่าจะปรับไมเนอร์เชนจ์ รวมทั้งมีอีกหลายค่าย ที่จะเปิดตัวน้องใหม่ออกสู่ตลาด ทั้งในช่วงปลายปี และช่วงต้นปีหน้า งานนี้ก็ต้องยกหัวแม่มือให้กับภาครัฐบาล เมื่อกระโดดลงมาปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ลดลง 2บาท ทำให้สภาพโดยรวมไม่เลวร้ายไปมากกว่านี้ ด้วยวิธีการหลากหลาย ตั้งแต่ลดอัตราจัดเก็บเงินเข้ากองทุนอนุรักษ์พลังงาน 1 ปี จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม ปีหน้า และปรับลดเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน ฯ โดยยังไม่ยอมบอกว่าจนถึงเมื่อไร เรียกว่าถ้าได้จังหวะก็จะค่อยๆ เก็บเพิ่มได้ทันที ฟากที่ถูกถอนขนห่านโดยไม่รู้ตัว คือ ผู้ใช้น้ำมันเบนซิน เพราะปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน เบนซิน 95 กับ เบนซิน 91 เพิ่มอีกอย่างละ 50 สตางค์ แต่ก็ไปยกเลิกเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์พลังงาน ราคาขายปลีก ก็เลยไม่เพิ่ม ส่วนของผู้ใช้พลังงานทดแทน ก็ตรึงราคา แอลพีจี และ ซีเอนจี ไปอีก 1 ปี แถมด้วยจะสนับสนุนมาตรการให้รถแทกซีที่ใช้ แอลพีจี เป็นเชื้อเพลิง เปลี่ยนมาเป็นใช้ ซีเอนจี ประมาณ 30,000 คัน ค่าใช้จ่ายคันละประมาณ 4 หมื่นบาท โดยงานนี้หลวงจะควักกระเป๋าจ่ายให้ ก็ไม่ทราบว่าเป็นนโยบายของใคร หรือเพื่ออะไร เพราะบนหอคอยงาช้างนะ มันอยู่สูง เมฆหมอกมันบังตาไปหมด แถมด้วยคนที่ออกมาตรการต่างๆ เหล่านี้ ถามกันตามตรงว่า เคยนั่งแทกซีกันมั่งหรือเปล่าครับ เจ้ารถที่ใช้ แอลพีจี นะ ป่านนี้มันแทบจะหมดสภาพไปแล้ว จนที่ขับแทกซีเป็นอาชีพ ต่างก็หาเช่ารถใหม่ๆ กันทั้งนั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถที่ใช้ ซีเอนจี ไปแล้ว คือว่ามันบังเอิญที่จะต้องเอาเงินจากภาษีของกระผม เอาไปจ่ายเป็นค่าเปลี่ยนระบบนะสิ รถก็เก่าแล้ว เปลี่ยนระบบใหม่มันจะคุ้มหรือ ? แถมอีกหน่อยว่า เจ้า ซีเอนจี ที่อุ้มกันอยู่กิโลละ 8.50 บาท ท่านจะปรับราคาขึ้นแบบขั้นบันได เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นไป แต่ท่านก็เอาเงินภาษีของคนที่ไม่ได้ใช้พลังงานทดแทน เอาไปชดเชยเดือนละ 300 ล้านบาท มันยุติธรรมดีอยู่แล้วหรือ แล้วเจ้าต้นทุนที่แท้จริงนะ พอจะเปิดเผยกันมั่งได้หรือเปล่าครับ แถมด้วยเรื่องจิ๊บจ้อยอีกเรื่องหนึ่ง ที่สะท้อนให้เห็นถึงระบบของบ้านเรา ว่าทุกเรื่องก็ต้องเข้าที่ประชุม คณะรัฐมนตรี เป็นเรื่องของการกำหนดมาตรฐานระดับเสียงรถยนต์ 3 ล้อ ท่านกำหนดเอาไว้ว่า มาตรฐานระดับเสียงของรถยนต์ 3 ล้อ ที่ใช้ในทางขณะที่เดินเครื่องยนต์อยู่กับที่ โดยไม่รวมเสียงแตรสัญญาณ จะต้องมีค่าระดับเสียงไม่เกิน 95 เดซิเบล เอ เมื่อตรวจวัดระดับเสียงในระยะห่างจากรถยนต์ 3 ล้อ 0.5 เมตร งานนี้เป็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดระดับเสียงของรถยนต์ 3 ล้อ จะใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วัน นับถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ที่จริงมันน่าจะแค่ปลัดกระทรวง หรือแค่รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงก็ควรทำได้ งานง่ายๆ แค่นี้ ต้องเอาเข้าที่ประชุม ครม. หรือว่างานของ ครม. มีไม่มากพอ ถึงต้องรู้ทุกเรื่องไปหมด สนุกดีนะครับประเทศไทย