พิเศษ
หน้าฝนทีไร คนรักรถเข้าไส้มักห่วงเรื่องการล้างรถ และการดูแลรักษาสีเป็นพิเศษ เพราะสิ่งที่มักปะปนมากับน้ำฝน ก็คือ มลพิษในอากาศ น้ำที่เจิ่งนองอยู่บนพื้นถนน ก็เต็มไปด้วยคราบน้ำมัน และขี้โคลนแสนสกปรก ที่พร้อมแทรกตัวเข้าทำร้ายสีรถของคุณ เราจึงนำเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสี และการดูแลสีรถ ทั้งทำเอง มาแนะนำ เพื่อช่วยให้ฝนนี้คนรักรถเข้าไส้ ใช้รถได้อย่างสบายใจยิ่งขึ้น
หน้าฝนทีไร คนรักรถเข้าไส้มักห่วงเรื่องการล้างรถ และการดูแลรักษาสีเป็นพิเศษ เพราะสิ่งที่มักปะปนมากับน้ำฝน ก็คือ มลพิษในอากาศ น้ำที่เจิ่งนองอยู่บนพื้นถนน ก็เต็มไปด้วยคราบน้ำมัน และขี้โคลนแสนสกปรก ที่พร้อมแทรกตัวเข้าทำร้ายสีรถของคุณ เราจึงนำเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสี และการดูแลสีรถ ทั้งทำเอง มาแนะนำ เพื่อช่วยให้ฝนนี้คนรักรถเข้าไส้ ใช้รถได้อย่างสบายใจยิ่งขึ้น
สีรถจากโรงงาน
สีที่ติดรถมาจากโรงงาน ถือว่ามีมาตรฐานสูงสุด ผ่านกรรมวิธีทันสมัย และใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมการผลิต ทั้งการพ่น หรือ ชุบ รวมถึงผ่านการอบสี ลำเลียงโดยสายพาน ภายในห้องอบสี จะมีอุณหภูมิสูงกว่า 150 องศาเซลเซียส และใช้เวลามากถึง 30 นาที เพื่อให้ได้สีผิวที่เงางาม ทนต่อรอยขีดข่วน ความร้อน และสารเคมีบางชนิดได้ดีกว่า
สีที่โรงงานใช้พ่นบนตัวรถมีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่
โซลิด (SOLID) เป็นสีที่มีส่วนผสมของแม่สีอย่างเดียว และไม่มีส่วนผสมของอลูมิเนียม กรรมวิธีการเคลือบสีธรรมดาๆ เป็นการเคลือบชั้นเดียว ผิวสีเรียบ มองใกล้ๆ จะไม่มีเม็ดอลูมิเนียมเป็นประกาย มักใช้ในรถพิคอัพขนของ และรถเก๋งรุ่นประหยัด
เมทัลลิค (METALLIC) เป็นสีที่ผสมผงอลูมิเนียมเข้าไปด้วย ช่วยสะท้อนแสงเป็นประกาย เงางามดี ใช้สารเคลือบเงาประเภท แลคเกอร์ หรือ เคลียร์ ถ้าจอดรถในที่สว่าง หรือกลางแดด จะเห็นเม็ดสีเล็กๆ เป็นประกาย ทำให้รถดูเงางามระยิบระยับ เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ซื้อรถที ต้องมีรายการจ่ายค่าสีแบบนี้ 3-5 พันบาท
เพิร์ล (มุก) (PEARL) เป็นสีที่ใช้ผงอลูมิเนียม เช่นเดียวกับสีเมทัลลิค แต่มีผง ไมคา (ผงมุก) เป็นส่วนผสมเพิ่มเติมเข้าไปอีก รถจึงเป็นประกายเงางามกว่า สีเมทัลลิค แถมยังดูนวลตากว่าอีกด้วย เดี๋ยวนี้ซื้อรถไม่ต้องจ่าย ค่าสีเมทัลลิค กันแล้ว แต่ต้องมาจ่ายเพิ่มค่าสีมุกแทน และมักจัดให้รถที่มีตัวเลือก หรือทำสีมุกโดยมาตรฐานอยู่ในรุ่นทอพเท่านั้น
ฝน-โคลน-ทราย ทำลายสีรถ
หลังจากฝนตก จะมีคราบน้ำฝนเกาะติดกับผิวสี ซึ่งจะสกปรกแค่ไหน ไม่มีใครรู้ ฝนจะเป็นกรด หรือด่าง หรือสะสมอะไรไว้ ก็ขึ้นอยู่กับมลภาวะในอากาศที่เม็ดฝนผ่านมา และจะอันตรายที่สุดเมื่อเจอฝนกรด ซึ่งจะกัดกร่อนถึงเนื้อสีได้ง่ายๆ นอกจากนี้ น้ำฝนที่นองอยู่บนพื้นยังนำพาเม็ดกรวด เม็ดทราย และขี้โคลน ซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการทำลายสีรถยนต์อย่างแท้จริง
เจ้าของรถที่ชอบจอดรถหลบฝนไว้ใต้ร่มไม้ เลิกได้เลย หากมีลมกรรโชกรุนแรง อาจจะโดนเศษของกิ่งไม้ หรือกิ่งก้านสาขาของมันหักโค่นลงมา เป็นอันตรายต่อรถยนต์ แถมซ่อมฟรีกับประกันไม่ได้ เพราะเป็นภัยธรรมชาติ นอกจากนี้ยังจะมีคราบยาง ดอก เกสร และขี้นก ทำให้เกิดรอยด่างจนยากเกินแก้ไขได้
อย่าทำ !
1. ทิ้งไว้ไม่ยอมล้าง
หน้าฝนอย่างนี้ หลายคนบอก ล้างแล้วเดี๋ยวก็เปื้อนอีก เลยเป็นข้ออ้างไม่ยอมล้างรถ แต่รู้ไหมว่า คราบฝังแน่น เช่น คราบยางมะตอย เศษดิน และโคลน ที่ค้างคาอยู่บนผิวสี มีความสามารถในการทำลายชั้นสี จนถึงเนื้อโลหะ กลายเป็นสนิมในที่สุด ฉะนั้นล้างรถบ้างเถอะ ก่อนที่มือบอนจะมาเขียนที่รถคุณว่า คนล้างไปนอก เพราะล้างรถบ่อยๆ นอกจากจะช่วยให้รถดูเงางามเหมือนใหม่ ยังป้องกันคราบฝังแน่น และสนิมได้อีกด้วย
2. รถเปียกอยู่แล้ว ใช้ผ้าแห้งเช็ดเลย
บางคนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หวังดีประสงค์ร้าย อยากให้รถสะอาดหลังขับลุยฝน เห็นรถเปียกอยู่แล้ว กลับบ้านปุ๊บเอาผ้าแห้งมาเช็ดเลย ไม่ได้นะ ! เพราะหลังจากขับรถลุยฝนจะมีเศษกรวด หิน ดิน ทราย ติดอยู่ที่ผิวสี ถ้านำผ้าแห้งมาเช็ดทันที ผ้าแห้งแสนดีจะกลายสภาพเป็นกระดาษทรายโดยอัตโนมัติ ทำหน้าที่สร้างริ้วรอยให้กับสีรถอย่างแข็งขัน
3. ล้างบ่อย ล้างค่ำ แล้วจอดเก็บ
ธรรมชาติของคนชอบล้างรถบ่อยๆ คือ ล้างตอนเย็นย่ำหรือค่ำๆ หลังเลิกงาน แถมล้างแล้วก็ต้องจอดเก็บเพราะจะเข้าพักผ่อนนอนหลับ รอใช้รถสะอาดเอี่ยมอ่องในเช้าวันต่อไป แต่การทำอย่างนี้ ไม่ปลอดภัยต่อสีรถคุณเลย เพราะเมื่อล้างบ่อยๆ แถมล้างตอนค่ำๆ น้ำยังไม่ทันได้ระเหยจากซอกหลืบต่างๆ ก็กลับมาเปียกชื้นอีกแล้วในค่ำวันถัดไป สนิมถามหาไม่รู้ด้วย
ล้างรถ (เอง) ให้ถูกวิธี
บางคนชอบจ้างปั๊มล้าง จ้างศูนย์ล้าง/เคลือบสี แต่บางคนบอกขอล้างเองที่บ้านดีกว่า ทั้งสบายใจ ประหยัด แต่ล้างให้ถูกวิธีต้องทำอย่างไร ขั้นตอนไหนทำก่อน ขั้นตอนไหนทำหลัง
1. ล้างน้ำเปล่าดีที่สุด
มีข้อแนะนำสารพัดที่บอกคุณว่า ล้างรถด้วยน้ำยาชนิดนั้นชนิดนี้ จะช่วยรักษาสีรถได้ดีเยี่ยม อย่างไรก็ตาม เรายืนยันว่า ล้างด้วยน้ำเปล่า (สะอาดๆ) ดีที่สุด ถ้าตรงไหนล้างไม่ออกก็ค่อยใช้น้ำยาช่วย ถ้าที่บ้านมีสายยางความยาวพอที่จะไปถึงตัวรถ คงไม่เป็นปัญหา แต่ถ้ายาวไม่พอ หรือไม่มีเลย ก็ควรเตรียมถังใส่น้ำไว้สัก 2 ถัง เพื่อไว้ล้างรถส่วนบน 1 ถัง ส่วนที่เหลืออีก 1 ถัง เตรียมไว้เพื่อล้าง ล้อ ยาง และส่วนล่างของรถ เนื่องจากเป็นชิ้นส่วนซึ่งสกปรกที่สุด
2. ผ้าเช็ดรถ
ผ้าที่นำมาล้าง ต้องไม่มีคราบน้ำมัน สารเคมี หรือ เศษกรวดเม็ดเล็กๆ ที่พร้อมจะทำลายสีรถ แนะนำให้แยกเป็นสัดส่วน และใช้เฉพาะที่ ห้ามนำมาใช้รวมกัน ระหว่างผ้าที่ใช้เช็ดส่วนบนของรถ ซึ่งต้องเช็ดก่อน กับผ้าที่ใช้เช็ดส่วนล่างของรถ ซึ่งเช็ดทีหลัง สำหรับ ล้อ และยาง ไม่ควรนำฟองน้ำมาเช็ดเด็ดขาด เนื่องจากรูพรุนของฟองน้ำจะเป็นที่สะสมเศษ กรวด และเม็ดทราย ส่วนผ้าเช็ดแห้งใช้ผ้าชามัวร์ หรือผ้าชามัวร์สังเคราะห์ ก็จะไม่ทิ้งคราบไว้ให้รำคาญตา
3. ขัดล้อ และยาง
ขัดล้อ ควรหาพวกแปรงที่มีขนอ่อน หรือแปรงสีฟันใช้แล้ว เพื่อขจัดคราบสกปรกที่ล้อ เพราะจะไม่ทำให้เกิดร่องรอยทิ้งไว้ ส่วนขัดยาง ใช้ผ้าเช็ดอย่างเดียวไม่พอ เพราะที่แก้มยางมักออกแบบให้มีลวดลายต่างๆ ซึ่งละเอียดจนทำความสะอาดยาก หากใช้แปรงพลาสติคที่มีขนแข็งขึ้นมาอีกระดับ ก็จะช่วยให้ยางดำเหมือนใหม่อยู่ตลอดเวลา จนแทบไม่ต้องเคลือบล้อกันเลยทีเดียว
4. เคลือบสี
น้ำยาเคลือบสีรถยนต์ สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ได้แก่
1. คุณสมบัติ เป็น น้ำมัน เช่น น้ำยาเคลือบสีที่ทำจาก แวกซ์/ซิลิคอน และโพลีเมอร์ น้ำยาประเภทนี้ จะไม่ทนความร้อน เนื่องจากมีน้ำมันผสมอยู่ หากปะทะกับความร้อนนานๆ น้ำยาจะเปลี่ยนสภาพจากปกป้อง กลายเป็นทำร้ายสีรถไปเสียนี่ น้ำยาประเภทนี้ ดมดู กลิ่นจะคล้ายน้ำมันก๊าด
2. คุณสมบัติ เป็น น้ำ เช่น โพลีเอธิลีน ทนต่อความร้อนได้ดี เพราะไม่มีน้ำมันเป็นส่วนผสม จึงหมดสิทธิ์ที่จะทำร้ายสีรถเมื่อเจอกับความร้อนของแสงอาทิตย์ และความร้อนจากเครื่องยนต์
3. คุณสมบัติ เป็น น้ำ มีส่วนผสมของ คานูบา แวกซ์ สกัดโดยวัตถุดิบธรรมชาติ จะทำสภาพเป็นแผ่นฟีล์มบางๆ เคลือบสีผิวรถ ทนแสงแดด และฝน ยึดเกาะกับสีรถได้นาน รีดน้ำได้ดี สีรถลื่น และ เงางาม
จะเคลือบสีทั้งที ให้ใช้ผ้าสะอาด (ถ้าให้ดีควรจะเป็นผ้าไมโครไฟเบอร์) ชุบกับน้ำยาเคลือบสี แล้วนำมาทาวนแบบก้นหอยให้ทั่วทั้งคัน ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ช้าหรือเร็วกว่านั้นให้ดูที่น้ำยาแห้งจนขึ้นวง จากนั้นใช้ผ้าสะอาดเช็ดคราบน้ำยาออก แนะนำว่าอย่าทำกลางแดด เนื่องจากจะทำให้น้ำยาเคลือบสีเสื่อมคุณภาพลง รวมถึงควรจะเคลือบสีในสถานที่ซึ่งมีแสงสว่างเพียงพอ
พ่นกันสนิมเพิ่มเติม จำเป็นไหม ?
เดี๋ยวนี้ซื้อรถใหม่ มักได้รับแถมการพ่นกันสนิมมาจากโชว์รูม ซึ่งมีหลายแบบ หลายคุณภาพ ต่างเงื่อนไขการรับประกัน ราคาก็แตกต่างกันออกไป
ปัจจุบันรถยนต์ทุกรุ่น ล้วนได้รับการชุบสารป้องกันสนิมมาจากโรงงานผลิต ซึ่งมีความทนทานได้ไม่ต่ำกว่า 10 ปี สังเกตจากรถตัวเอง หรือรถเพื่อนที่ใช้งานในสภาวะปกติ ตั้งแต่ปี 1995-2000 ดูสิ ส่วนใหญ่ก็ยังไม่เคยผุเลย บางยี่ห้อถึงกับรับประกันปลอดสนิม 10 ปี
ฉะนั้น ถึงไม่ได้พ่นกันสนิมเพิ่มเติม รถยนต์ก็มีความทนทานต่อการเป็นสนิมได้นานอยู่แล้ว ในกรณีที่จะใช้งานไม่เกิน 10 ปี ก็ไม่จำเป็นต้องพ่นกันสนิมเพิ่ม
แต่ถ้าคิดจะใช้เป็นระยะเวลานานเกินกว่านั้น การพ่นกันสนิม ก็จะช่วยยืดอายุของตัวถังออกไปได้บ้าง รวมถึงการใช้งานในแถวชายทะเล ก็ช่วยป้องกันได้มากขึ้นกว่าการชุบกันสนิมมาจากโรงงาน
นอกจากนี้ควรดูรายละเอียดให้ลึกซึ้งว่า การดูแลในครั้งต่อไป มีข้อกำหนด และเงื่อนไขการจ่ายเงินอย่างไร คุ้มค่าหรือไม่ก่อนตัดสินใจทำ
ดูแลสีที่ศูนย์บริการ
ปัจจุบันศูนย์บริการล้างรถ และเคลือบสีผุดขึ้นมากมาย ทั้งรายเก่า และรายใหม่ ต่างนำเสนอเทคนิค และวิธีการให้บริการที่แตกต่างกัน เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจที่สุด ซึ่งเหล่านี้ล้วนถูกใจคนชอบ (ให้เขา) ล้างรถ (ให้เรา) เป็นอย่างยิ่ง
ทำไมไม่ล้างเอง ?
ไม่มีเวลา ! เหนื่อย ! ขี้เกียจก้ม ! คำพูดทำนองนี้มักเป็นเหตุผลลำดับต้นๆ ที่คนไม่ชอบล้างรถเอง บอกออกมา แต่จะเหตุผลอะไรก็ตามเถอะ ถ้ามีเงินจ้างล้างเสียอย่าง ก็ไม่เห็นเสียหายอะไรไม่ใช่หรือ
อย่างไรก็ดี ไม่ค่อยมีใครให้เหตุผลเลยว่า ฉันไม่ล้างรถเอง แต่ไปล้างที่ ศูนย์ ฯ เพราะเขาล้างสะอาดกว่า เคลือบแล้วปกป้องสีรถได้ดีกว่า ตามโฆษณาที่กล่าวอ้าง ทั้งๆ ที่ ศูนย์ ฯ ที่ล้าง และดูแลสีรถได้คุณภาพหลายแห่งก็ทำอย่างนั้นได้จริง
ดีกว่าเราล้างเองจริงหรือ
ตอบได้เลยว่า ไม่จริง และ จริง เหตุผลกำปั้นทุบดินสำหรับ ไม่จริง คือ ไปใช้บริการศูนย์ ฯ ที่มันล้างไม่ได้เรื่อง ส่วนที่จริง คือ ไปใช้บริการศูนย์ ฯ ที่ล้างได้เข้าท่า
หากจะขยายความกรณีนี้ คงจะต้องกล่าวถึง ศูนย์ ฯ ที่ล้างได้เข้าท่าเท่านั้น แล้วมันหมายความว่าอย่างไร และปัจจัยใดบ้างล่ะที่ทำให้เขาล้างรถได้ดีกว่าเราล้างเอง
1. น้ำแรง
เรื่องโฟม หรือน้ำยาล้างรถไม่นับ เพราะเรายังยืนยันว่า ล้างรถด้วยน้ำเปล่าสะอาดๆ ดีที่สุด แต่ทุกบ้าน ใช่ว่าจะมีเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงไปเสียหมด ถึงจะซื้อมาใช้ก็คงไม่ได้แรงอัดเท่าที่ศูนย์ ฯ แรงดันน้ำที่สูงจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่ฝังในเนื้อสีให้หลุดออกไปได้ดีกว่าฉีดน้ำจากสายยาง เมื่อใช้ผ้าเปียกเช็ดตามรถก็จะสะอาดกว่า แต่เช็ดน้ำออกให้หมดก็แล้วกัน
2. เครื่องเคลือบสีและขัดเงา
ปกติแล้วเวลาที่เราเคลือบสีกันที่บ้าน มักจะใช้ฟองน้ำที่แถมมาให้กับน้ำยา ออกแรงถูวนเป็นก้นหอย ให้ทั่วทั้งคัน แล้วค่อยออกแรงใช้ผ้าแห้งเช็ดน้ำยาที่แห้งแล้วออกเป็นเสร็จ บางรายซื้อเครื่องเคลือบสีแบบไฟฟ้าราคาย่อมเยามาใช้ พบว่ามีกำลังไม่พอ ออกแรงกดหน่อยเครื่องหยุดหมุนไปซะงั้น จะซื้อเครื่องอย่างดีมาใช้ก็แพง แถมปีหนึ่งก็คงได้ใช้ไม่กี่หน แต่ที่ศูนย์ ฯ ดีๆ เขามีพร้อม จึงสามารถเคลือบได้ล้ำลึกกว่า ผลที่ออกมา ก็คือ สามารถลงน้ำยาเคลือบได้เต็มประสิทธิภาพ ตอนใช้เครื่องเช็ดออกแล้ว สีจึงแวววาว และปกป้องสีรถได้ดีกว่า
3. เครื่องดูดฝุ่น
ดูดฝุ่นนี่เรื่องใหญ่เลย ยิ่งสำหรับคนอายุเลยเลข 4 ขึ้นไป การจะก้มๆ เงยๆ ใต้เบาะ บนเบาะ คงไม่สะดวกนัก แถมเครื่องดูดฝุ่นประจำบ้านที่มักนำมาใช้ก็ใหญ่เทอะทะ สายไฟก็สั้น ครั้นจะเอาเครื่องดูดฝุ่นเล็กๆ มาใช้ ก็แรงดูดไม่พอ บางทีเอามือหยิบเศษลูกอมที่ติดพื้นพรมออกเองยังง่ายกว่า เครื่องดูดฝุ่นที่ศูนย์ ฯ มักมีแรงดูดสูงถึงสูงมาก ถ้าพนักงานพิถีพิถัน ห้องโดยสารก็สะอาดแน่นอน
4. เทคนิคแพรวพราว
สารพัดเทคนิคของแต่ละศูนย์ ฯ ซึ่งคิดค้นสูตรขึ้นมาเป็นการเฉพาะ ถือเป็นจุดขายในยุคนี้เลย เช่น โฆษณาว่ามีการล้าง และเคลือบสีหลายต่อหลายขั้นตอน มีน้ำยาแบบพิเศษ นาโน ซึ่งลงลึกไปถึงรูพรุนของสี อ่านคำโฆษณาแล้วชวนจินตนาการได้ทันทีว่า เทคนิคซับซ้อนขนาดนี้เราทำที่บ้านเองไม่ได้แน่ๆ
ล้าง/เคลือบเอง หรือ เข้าศูนย์ ฯ ดีกว่ากัน
จะล้างเอง หรือ เข้าศูนย์ ฯ (คุณภาพ) สรุปง่ายๆ อย่างนี้เลยว่า
ตั้งใจล้าง/เคลือบเองบ่อยๆ เองก็เข้าท่า ประหยัดเงิน แถมได้ออกกำลัง นานครั้งจ่ายเงินเข้าศูนย์ ฯ ล้าง/เคลือบที สะอาดล้ำลึก และปกป้องสีรถได้ดีกว่า
เรื่องโดย : ฌัฐเทพ เผ่าจินดา formula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2552
คอลัมน์ Online : พิเศษ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/27933