เทคนิค
ผมเขียนต้นฉบับนี้ในช่วงที่เทศกาลสงกรานต์เพิ่งผ่านพ้นไปพอดี ต้องขอแสดงความเสียใจต่อองค์กรต่างๆ ที่ต่อต้านการเมาสุราแล้วขับหรือขี่ยานพาหนะ ที่ต้องพ่ายแพ้อำนาจเงินไปอีกครั้งหนึ่ง
ผมเขียนต้นฉบับนี้ในช่วงที่เทศกาลสงกรานต์เพิ่งผ่านพ้นไปพอดี ต้องขอแสดงความเสียใจต่อองค์กรต่างๆ ที่ต่อต้านการเมาสุราแล้วขับหรือขี่ยานพาหนะ ที่ต้องพ่ายแพ้อำนาจเงินไปอีกครั้งหนึ่ง
ผมใช้ประโยค ต่อต้านการเมาสุราแล้วขับหรือขี่ยานพาหนะ นะครับ ไม่ใช่ ต่อต้านการจำหน่ายแอลกอฮอลตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพราะการห้ามจำหน่ายแอลกอฮอลในช่วงเวลาดังกล่าวโดยไม่มีขอบเขต น่าจะส่งผลกระทบในวงกว้างเกินกว่าจุดประสงค์
ผมเชื่อว่ามาตรการที่จำกัดขอบเขตและเจาะจงกว่านี้ น่าจะเป็นทางออกที่ดีได้ และการแก้ปัญหานี้คงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการห้ามจำหน่ายแอลกอฮอลเวลาใดบ้างเท่านั้น สิ่งที่สำคัญกว่า คือ การบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด จริงจัง
สมมติให้มีการห้ามจำหน่ายแอลกอฮอลในเทศกาลนี้ครั้งต่อไป ก็จะต้องมีการซื้อตุนไว้ล่วงหน้าอยู่ดีครับ มาตรการที่น่าจะได้ผลดีกว่า คือ การตรวจตราและลงโทษผู้ที่ดื่มแอลกอฮอลแล้วขับขี่ยานพาหนะ ต้องกระทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แบบไฟไหม้ฟางและต้องชี้แจงต่อประชาชน ทั้งที่เป็นผู้ขับขี่หรือมิใช่ก็ตาม ว่าการดื่มแอลกอฮอลแล้วขับขี่ยานพาหนะแทบไม่ต่างจากการพยายามก่ออาชญากรรม เพราะมีผลต่อชีวิตและทรัพย์สินของ
ผู้บริสุทธิ์ และที่สำคัญที่สุดก็คือจรรยาบรรณของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย
ที่ผ่านมาดูเหมือนว่า ยิ่งเพิ่มโทษต่อผู้ฝ่าฝืนให้แรงขึ้นเพียงใด ก็ยิ่งเพิ่มรายได้แฝงให้เจ้าหน้าที่เหล่านี้ขึ้นเท่านั้น เป็นที่รู้กันว่า จำนวนเงินสินบนที่เรียกจะสูงตามโทษหรือความยากลำบากของผู้ฝ่าฝืนครับ หากต้องรับโทษตามกฎหมาย
ถ้าผมจำไม่ผิด จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนในเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาถึง 373 ราย ไม่ได้ทำให้คณะรัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รู้สึกกังวลแต่อย่างใด ก็แค่ ต่างจากปีที่แล้ว 5 ราย เท่านั้นเอง
กลับมาเข้าเรื่องที่เกี่ยวกับหัวเรื่องกันดีกว่าครับ ความรู้สึกของผมคงไม่ต่างจากของผู้อ่านส่วนใหญ่ เมื่อได้อ่านหรือฟังข่าวว่า ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก ขอเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลไทย ก้อนใหญ่ เพราะถ้าจะเขียนว่ามหาศาล ก็อาจจะมีใครแย้งว่าแค่นี้เขาไม่ถือว่ามากกันแล้ว
แต่สำหรับผมและผู้อ่าน ซึ่งเป็นผู้เสียภาษีอย่างถูกต้องครบถ้วนมาทุกปี มันไม่ใช่แค่มากเกินไปครับ แต่มันเป็นสิ่งที่พวกเราไม่ควรเสีย เพราะฉะนั้นแค่บาทเดียวก็มากเกินไปแล้ว สำหรับเรื่องไม่ถูกต้องเช่นนี้ โชคดีที่ผู้บริหารประเทศไทยไม่บ้าตามไปด้วย เหตุผลนั้นง่ายมากครับ เพราะถ้าขืนจ่ายให้บริษัทนี้ ก็คงจะต้องจ่ายให้บริษัทอื่นๆ อีกเป็นร้อยราย
เดือนนี้ผมเลยถือโอกาสมาเล่าความเป็นไปเท่าที่ทราบของบรรดายักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมยานยนต์โลกบางรายของสหรัฐอเมริกา เนื้อหาไม่จำเป็นต้องครบถ้วนหรือทันเวลากับสถานการณ์ล่าสุดนะครับ เพราะต้นฉบับของเราต้องส่งก่อนพิมพ์จำหน่ายนานพอสมควร
โดยส่วนตัวผมไม่เคยเชื่อว่า ความล้มเหลวและความเหลวแหลกด้านอสังหาริมทรัพย์ของบรรดาธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ฯ จะเป็นสาเหตุหลักของหายนะที่เกิดขึ้นกับบริษัทรถยักษ์ใหญ่เหล่านี้ มันน่าจะเป็นเพียงกระตุ้นให้เกิดเร็วขึ้นและรุนแรงขึ้นเท่านั้นเอง
ลองมามองย้อนหลังกันดูครับว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับยักษ์ใหญ่ในอดีตบ้าง ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา จีเอม รับเงินช่วยเหลือฉุกเฉินจากรัฐบาลสหรัฐ ฯ 16.6 พันล้านดอลลาร์ ฯ ไครสเลอร์ 7 พันล้านดอลลาร์ ฯ ถ้าต้องการมูลค่าเป็นเงินบาทโดยประมาณก็คูณด้วย 35 ครับ ต่อจากนั้นอีกราว 2 เดือน คือ ในเดือนกุมภาพันธ์ ยักษ์ใหญ่คู่นี้ก็ร้องขอเงินจากรัฐบาลอีกเป็นรอบที่สอง จีเอม ขอ 13.4 พันล้านดอลลาร์ ฯ ไครสเลอร์ 2 พันล้านดอลลาร์ ฯ
รวมเป็น 9,000 ล้านดอลลาร์ ฯ ส่วน จีเอม 30,000 ล้านดอลลาร์ ฯ หรือ 1.05 ล้านล้านบาท เกือบเท่างบประมาณประจำปีของประเทศไทย
อ่านดูแล้วเหมือนจะรู้จำนวน แต่ที่จริงแล้วผมว่าคนธรรมดาอย่างเรา จินตนาการได้ยากมากครับ ว่าเงินจำนวนนี้มันมากมายขนาดไหน ถ้าเอามาแจกคนไทยทั้งประเทศ ก็จะได้รับคนละเกือบ 2 หมื่นบาท มีผู้รู้ที่เชื่อถือได้ บอกกับผมว่า มีคนไทยคนหนึ่ง โกงชาติไปได้ราวๆ ครึ่งหนึ่งของเงินจำนวนนี้ ถ้าเอากลับมา "ฟาดหัว" คนไทยให้ทั่วถึงทุกคน ตั้งแต่ทารกยันคนแก่ ก็จะได้กันคนละเกือบ 10,000 บาท ขนลุกครับ ที่เงินก้อนใหญ่พอ สามารถทำลายประเทศที่มั่นคงพอสมควรประเทศหนึ่งได้จริงๆ
ได้เงินไปแล้ว จีเอม ก็ยังต้องปิดโรงงานผลิตไป 5 แห่ง อยู่ดี พร้อมกับปลดคนงานไปเกือบ 50,000 คน ส่วน ไครสเลอร์ เบาหน่อย ปลดไปแค่ 3,000 คน
นักวิเคราะห์ที่น่าเชื่อถือให้ความเห็นว่า มันไม่น่าจะใช่ปัญหาของตลาดรถยนต์ตามที่ผู้บริหารบริษัทเหล่านี้ชอบอ้าง แต่น่าจะเป็นความผิดพลาดของการบริหารและการวางแผนมากกว่า เช่น มีการผลิตรถเกินกว่าที่ตลาดต้องการทั่วโลกถึง 24 ล้านคัน เมื่อรถใหม่จอดค้างจนเต็มลานจอดของบริษัท ก็ถึงเวลากระหน่ำลดราคาแบบฆ่าตัวตายทางอ้อม
นอกจากนี้ ยังมีการผลิตรถที่ตลาดไม่ได้ต้องการออกมาอีกเพียบครับ ทั้งพิคอัพขนาดใหญ่และขนาดยักษ์ รวมทั้ง เอสยูวี ทั้งใหญ่และหนักแบบฉบับของประเทศนี้ ที่ไม่มีใครฟุ่มเฟือยไหวอีกต่อไป เมื่อเจอกับราคาเบนซินติดจรวด คนเกือบทั้งประเทศหันไปซื้อรถเก๋งแทน และเป็นเก๋งขนาดกลางถึงเล็กด้วย ซึ่งผู้ผลิตกลับเป็นชาติอื่น ทั้ง ญี่ปุ่น เกาหลี และบรรดายักษ์ใหญ่จากยุโรป แบบนี้ถ้าไม่ตายก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้วครับ
จีเอม ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากปลดบแรนด์ที่ไม่ทำเงินออกไป ทิ้ง ฮัมเมอร์ แซเทิร์น และ ซาบ คงไว้เพียง โอเพล และ เชฟโรเลต์ ส่วน ไครสเลอร์ ซึ่งยังคงมีหุ้นที่ถือโดย เมร์เซเดส-เบนซ์ อยู่จำนวนหนึ่ง กำลังหาทางขายหุ้นให้กับ เฟียต ยักษ์หมายเลขหนึ่งจากอิตาลี ตอนขอเงินจากรัฐบาลสหรัฐ ฯ รอเบิร์ท นาร์เดลลี (ROBERT NARDELLI) ขู่ไว้ด้วยครับว่า เงิน 9,000 ล้านดอลลาร์ ฯ ที่ขอนี่ อย่าคิดว่ามากมายอะไร เพราะเฉลี่ยเป็นรายหัวของประชาชนชาวสหรัฐ ฯ แล้ว แค่เสียเงินภาษีเพียงคนละ 70 ดอลลาร์ ฯ เท่านั้น แต่ถ้ารัฐบาลไม่ช่วยแล้ว
ปล่อยให้ ไครสเลอร์ ล้มละลาย ชาวสหรัฐ ฯ ก็จะ "โดน" จ่ายภาษีกันคนละ 1,200 ดอลลาร์ ฯ
คนที่ได้อ่านหรือฟังก็ได้แต่ทำตาปริบๆ กัดฟันกรอด ที่ได้เห็น "สันดอน" นักบริหารใหญ่พวกนี้ ถ้า เฟียต แน่ใจว่า ไครสเลอร์ จะได้ 2,000 ล้านดอลลาร์ ฯ จากรัฐบาล ก็จะซื้อหุ้น ไครสเลอร์ ลอทแรก 35 % และเพิ่มอีก 20 % ถ้าได้ขายพแลทฟอร์มของ เฟียต ให้ ไครสเลอร์ เอาไปใช้กับรถรุ่นใหม่ และถ้าเป็นไปตามคาด ก็จะนำ อัลฟา โรเมโอ เข้าไปจำหน่ายในสหรัฐ ฯ ในปี 2011 โดยจะผลิตจากโรงงานแห่งใดแห่งหนึ่งในประเทศนี้ครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี jassada@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2552
คอลัมน์ Online : เทคนิค
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/27736